กรุงเทพฯ--3 ส.ค.--ทาทา สตีล
บมจ. ทาทา สตีล (ประเทศไทย) ผู้ผลิตเหล็กเส้นชั้นนำของประเทศไทย เผยผลประกอบการในไตรมาสที่ 1/2553-2554 (เมษายน — มิถุนายน 2553) ปรับตัวในทิศทางบวก โดยมีกำไรสุทธิ 28 ล้านบาท จากยอดขายสุทธิ 6,194 ล้านบาท และปริมาณการขายทั้งสิ้น 297,000 ตัน
นายลาภทวี เสนะวงษ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ เปิดเผยว่า “ผลการดำเนินงานในไตรมาสที่ 1 บริษัทฯ สามารถทำกำไรสุทธิได้ 28 ล้านบาท พลิกจากที่ขาดทุน 123 ล้านบาท ในไตรมาสที่ 4/2552-2553 โดยเหตุผลสำคัญเนื่องจากราคาขายที่เพิ่มสูงขึ้นตันละ 1,800 บาท ซึ่งเกิดจากความมีประสิทธิภาพของการดูแลส่วนต่างระหว่างราคาเศษเหล็กกับราคาขาย การปรับสัดส่วนการขายสินค้าเหล็กลวดให้สูงขึ้น และการเพิ่มยอดขายในต่างประเทศเพี่อรักษาระดับราคาขายในประเทศ สำหรับยอดขายสุทธิในไตรมาสที่ 1/2553-2554 เท่ากับ 6,194 ล้านบาท จากปริมาณขาย 297,000 ตัน ลดลงจากไตรมาสที่ 4/2552-2553 ร้อยละ 5 และ 13 ตามลำดับ เนื่องจากความต้องการในตลาดใหม่มีน้อย อันเป็นผลจากเหตุการณ์ความไม่สงบทางการเมืองของไทย”
“เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสที่ 1/2552-2553 ซึ่งขาดทุนสุทธิ 168 ล้านบาท ถือว่ากำไรสุทธิ ในไตรมาสแรกของปีนี้เพิ่มขึ้นถึง 196 ล้านบาท เนื่องมาจากการเพิ่มขึ้นของยอดขายสุทธิ และปริมาณขาย ในอัตรา 37% และ 12% ตามลำดับ อีกทั้งราคาขายที่เพิ่มสูงขึ้นมากกว่าต้นทุนขายที่เพิ่มขึ้น” นายลาภทวี เสนะวงษ์ กล่าวเสริม
นายลาภทวี เสนะวงษ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า “ สภาวะโดยรวมของตลาดเหล็กทรงยาวของประเทศไทย ในไตรมาสที่ 2/2553-2554 จะกระเตื้องขึ้นจากไตรมาสที่ 1 เนื่องจากการเมืองของประเทศไทยเริ่มเข้าสู่ภาวะปกติ แต่อย่างไรก็ตามเนื่องจากไตรมาสที่ 2 เป็นช่วงฤดูฝน ซึ่งโครงการก่อสร้างต่างๆ จะมีการชะลอตัว ประกอบกับโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐยังไม่เกิดขึ้น บริษัทฯ จึงมุ่งเน้นในการเพิ่มปริมาณขายในส่วนของ Low Carbon Wire Rods (เหล็กลวดคาร์บอนต่ำ) และขยายฐานลูกค้าในส่วนของ Special Wire Rods (เหล็กลวดเกรดพิเศษ) ให้มากขึ้น นอกจากนั้นยังส่งเสริมการส่งออกสินค้าไปจำหน่ายยังต่างประเทศในเขตอาเซียน และประเทศอื่นๆ เช่น เกาหลีใต้ จีน และออสเตรเลีย ให้เพิ่มมากขึ้นเพื่อชดเชยกับความต้องการสินค้าในประเทศที่อยู่ในระดับต่ำ รวมถึงการบริหารต้นทุนการผลิตและต้นทุนด้านอื่นๆ อย่างมีประสิทธิภาพ”
นายลาภทวี เสนะวงษ์ กล่าวเสริมว่า “สำหรับโรงงาน Mini Blast Furnace (MBF) ที่ จ.ชลบุรี ซึ่งได้เปิดดำเนินการตั้งแต่เดือนตุลาคม 2552 นั้น ปัจจุบันอยู่ในระหว่างการพัฒนาการผลิตเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด สำหรับในส่วนของราคาวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตได้ขยับตัวสูงขึ้นเป็นอันมาก เป็นผลให้บริษัทได้รับประโยชน์ในด้านต้นทุนการผลิตไม่มากนัก อย่างไรก็ตามผลประโยชน์ที่เป็นรูปธรรมสำหรับโรงงาน MBF คือการเพิ่มความสามารถในการผลิตเหล็กเกรดพิเศษคุณภาพสูงเพื่อทดแทนการนำเข้าจากต่างประเทศ ซึ่งจะส่งผลดีต่อผลการดำเนินงานของบริษัทในอนาคต และลดความเสี่ยงที่เกิดจากความแปรปรวนของความต้องการสินค้าในกลุ่มเหล็กเส้น ดังนั้นปัจจุบันบริษัทฯ จึงมุ่งผลักดันอย่างเต็มทื่เพื่อพัฒนาคุณภาพของสินค้าเหล็กเกรดพิเศษคุณภาพสูงที่ได้ผลิตอยู่ในปัจจุบันให้มีคุณภาพที่สูงขึ้น และมีต้นทุนการผลิตที่ต่ำลง อีกทั้งการเร่งพัฒนาสินค้าใหม่ ๆ ให้เกิดขึ้นโดยเร็วที่สุด”