กรุงเทพฯ--10 ส.ค.--กรีนพีซ
นักกิจกรรมรณรงค์ของกรีนพีซลงพื้นที่คลองสำโรงซึ่งเชื่อมต่อกับแม่น้ำเจ้าพระยา ในเขตจังหวัดสมุทรปราการ ซึ่งพบการปนเปื้อนสารพิษอันตราย พร้อมติดป้ายเตือนชุมชนเกี่ยวกับสารพิษปนเปื้อนในแหล่งน้ำ กรีนพีซรณรงค์ผลักดันรัฐบาลและภาคอุตสาหกรรมให้เร่งนำระบบรายงานข้อมูลการปลดปล่อยมลพิษมาใช้ รวมถึงตั้งเป้าหมาย “มลพิษเหลือศูนย์” เพื่อลดการปล่อยสารเคมีในน้ำทิ้งจากภาคอุตสาหกรรมอย่างจริงจัง (1)
นักกิจกรรมกรีนพีซสวมชุดป้องกันสารพิษ เพื่อเก็บตัวอย่างตะกอนดินและลอยทุ่นที่มีข้อความติดไว้ว่า “สารพิษ อันตราย” ในคลองสำโรง นอกจากนี้ยังติดป้ายบนสะพานข้ามคลองเพื่อแจ้งให้ชุมชนทราบว่าในคลองแห่งนี้มีสารพิษชนิดใดบ้างและมีอันตรายอย่างไร กิจกรรมรณรงค์ดังกล่าวมีขึ้นหลังการเปิดเผยรายงานการตรวจสอบสารพิษอันตรายในคลองที่เชื่อมต่อกับเม่น้ำเจ้าพระยาเมื่อเดือนที่ผ่านมา ซึ่งพบโลหะหนัก สารรบกวนฮอร์โมน รวมถึงสารก่อมะเร็ง ทั้งหมดนี้ล้วนสูงกว่าค่ามาตรฐานความปลอดภัยของประเทศไทย (2)
“คลองสำโรงเป็นตัวอย่างที่แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนถึงความล้มเหลวของมาตรการควบคุมมลพิษและปกป้องแหล่งน้ำของประเทศ สารโลหะหนักที่ปนเปื้อนอยู่ในดิน ชี้ให้เห็นว่าสารโลหะหนักได้ถูกปล่อยลงสู่แหล่งน้ำมาเป็นเวลานาน ทุกๆวัน สารพิษหลากหลายประเภทได้ถูกปล่อยจากอุตสาหกรรม ดังนั้นปริมาณสารพิษจึงเพิ่มขึ้นสูงจนถึงระดับน่าเป็นห่วง” นายพลาย ภิรมย์ ผู้ประสานงานรณรงค์ด้านสารพิษ กรีนพีซ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กล่าว
“ตัวอย่างดินที่ปนเปื้อนจะถูกบรรจุในถังเพื่อนำไปมอบให้แก่หน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แสดงถึงการเพิกเฉยและความไร้ประสิทธิภาพในการเฝ้าระวังติดตามการปนเปื้อนสารพิษป้องกันการปล่อยสารพิษจากโรงงานอุตสาหกรรม” นายพลายกล่าวเพิ่มเติม
หน่วยศึกษาและเฝ้าระวังมลพิษทางน้ำหยิบยกปัญหามลพิษในคลองสำโรงมาเป็นกรณีศึกษา เนื่องจากเป็นคลองเชื่อมต่อกับแม่น้ำเจ้าพระยาที่มีโรงงานอุตสาหกรรมหนาแน่นและมีคุณภาพน้ำอยู่ในภาวะวิกฤต ชุมชนริมคลองสูญเสียประโยชน์จากการใช้แหล่งน้ำ ทั้งนี้ ระยะ 700 เมตรจากสองฝั่งคลอง มีโรงงานอุตสาหกรรมถึง 242 โรงงาน ซึ่งประกอบไปด้วยโรงงานหลายประเภท ได้แก่ โรงงานฟอกย้อม โรงงานเหล็ก โรงงานชุบเคลือบ และโรงงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการใช้สารเคมี (3) โรงงานฟอกย้อมเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่น่ากังวล โดยพบว่าในลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา อุตสาหกรรมฟอกย้อมปล่อยน้ำเสียประมาณ 17% ของปริมาณน้ำเสียทั้งหมดจากแหล่งอุตสาหกรรม หรือ 29.5% ของปริมาณความสกปรกในรูปของสารอินทรีย์ (BOD loading) ทั้งหมดที่ปล่อยจากภาคอุตสาหกรรม ซึ่งสูงสุดเมื่อเทียบกับอุตสาหกรรมอื่นๆ (4)
เมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา กรีนพีซเปิดเผยผลการวิเคราะห์ตัวอย่างน้ำและตัวอย่างดินจากคลองสำโรงว่าปนเปื้อนสารโนนิลฟีนอล (nonyl phenols) สาร 2-เนฟทาลีนาทมีน (2-naphthalenamine) และสารไตร-ไอโซ-บิวทิลฟอสเฟต (tri-iso-butyl phosphate; TiBP) ซึ่งส่วนหนึ่งมีแหล่งกำเนิดจากอุตสาหกรรมย้อมผ้า (5) การศึกษายังได้เปิดเผยถึงการปนเปื้อนสารโลหะหนักในปริมาณสูง ได้แก่ ทองแดง ตะกั่ว แมงกานีส นิกเกิลและสังกะสี ทั้งหมดนี้เกินค่ามาตรฐานแห่งน้ำผิวดินในประเทศไทยถึง 3-8 เท่า ตัวอย่างดินในคลองสำโรงมีการปนเปื้อนโครเมียม ทองแดง นิกเกิล ตะกั่ว และสังกะสีในระดับสูง โดยสังกะสีมีค่าสูงกว่าค่าความเข้มข้นพื้นฐานของตะกอนดินมากถึง 30 เท่า
“กรีนพีซเรียกร้องให้รัฐบาลเร่งนำระบบการเปิดเผยข้อมูลการปล่อยมลพิษสู่สิ่งแวดล้อมมาประยุกต์ใช้เป็นกฎหมาย ซึ่งใช้หลักการความโปร่งใสด้านการรายงานข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อมและสิทธิการเข้าถึงข้อมูลของประชาชนเป็นตัวผลักดันให้เกิดการพัฒนาการลดมลพิษในภาคอุตสาหกรรม” นายพลายกล่าวเสริม
มาตรการควบคุมมลพิษเชิงรุกเพื่อปกป้องทรัพยากรแหล่งน้ำเป็นสิ่งจำเป็นเร่งด่วนอย่างยิ่งในประเทศไทย รัฐบาลควรลงมือดำเนินการดังนี้
- นำระบบการเปิดเผยข้อมูลการปลดปล่อยมลพิษมาใช้ เช่น ทำเนียบการปลดปล่อยและเคลื่อนย้ายมลพิษ (PRTRs)
- รวบรวมจัดทำบัญชีรายชื่อสารเคมีอันตรายที่ควรเลิกใช้
- จัดทำแผนปฏิบัติการเพื่อ ลด จำกัดการใช้ และเลิกใช้สารเคมีอันตรายในกรอบระยะเวลาที่ชัดเจน โดยมุ่งสู่เป้าหมาย “มลพิษเหลือศูนย์”
กรีนพีซทำงานรณรงค์ด้วยหลักการเผชิญหน้าอย่างสันติวิธี นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทัศนคติ และพฤติกรรม เพื่อรักษาสิ่งแวดล้อมและสันติภาพ
หมายเหตุ
(1.) ระบบการเปิดเผยข้อมูลมลพิษ อาทิ “ทำเนียบการปลดปล่อยและเคลื่อนย้ายมลพิษ (Pollutant Release and Transfer Registers- PRTRs)” เป็นเครื่องมือทางนโยบายหรือระบบการจัดการด้านสิ่งแวดล้อมโดยใช้หลักการความโปร่งใสด้านการรายงานข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อมและสิทธิการเข้าถึงข้อมูลของประชาชนเป็นตัวผลักดันให้เกิดการพัฒนาการลดมลพิษ โดยแต่ละโรงงานต้องรายงานข้อมูลการใช้และการปล่อยสารเคมีอันตรายสู่สิ่งแวดล้อม รวมถึงการเคลื่อนย้ายกากอุตสาหกรรมเพื่อการกำจัดทำลาย ทิศทางข้อมูลดังกล่าวจะเป็นตัวชี้ว่าแต่ละโรงงานหรือภาคอุตสาหกรรมมีความคืบหน้าในการลดมลพิษได้เท่าไร สามารถชี้ให้เห็นถึงโอกาสในการพัฒนา และยังรวมการประเมินความเสี่ยงต่อสุขภาพและผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ที่สำคัญคือประชาชนหรือชุมชนจะสามารถเข้าถึงข้อมูลเพื่อเรียนรู้ถึงมลพิษที่อยู่ในบริเวณที่อยู่อาศัย ตระหนักในการเฝ้าระวังและป้องกันอันตราย ซึ่งเป็นสิทธิพื้นฐานที่ประชาชนต้องได้รับ
รายละเอียดเพิ่มเติม http://www.greenpeace.org/seasia/th/water-patrol/reports/pollutant-release-and-transfer-register
“มลพิษเหลือศูนย์ (Zero Discharges)” หมายถึงการยุติการปลดปล่อยมลพิษที่เป็นสารเคมีอันตรายภายใต้กรอบระยะที่กำหนด โดยมีการตั้งเป้าหมายอย่างชัดเจนตามช่วงเวลาต่างๆ ที่สามารถชี้ให้เห็นถึงความคืบหน้าในการลดการปล่อย การบรรลุเป้าหมายสามารถทำได้โดยการนำวิธีการลดมลพิษต่างๆ มาประยุกต์ใช้ อาทิ การออกแบบผลิตภัณฑ์ เทคโนโลยีการผลิตที่สะอาด การปรับปรุงกระบวนการผลิต การนำมาใช้ใหม่ และการทดแทนสารเคมีอันตรายด้วยสารเคมีที่ปลอดภัยกว่า ซึ่งสารเคมีอันตรายส่วนใหญ่จะไม่สามารถทำลายให้หมดไปหรือกำจัดได้ทั้งหมดแม้มีการบำบัด ดังนั้นการลดมลพิษจึงต้องใช้หลักป้องกันไว้ก่อน ทั้งนี้ การตั้งเป้าหมายระยะแรกอาจเริ่มจากการจัดทำบัญชีสารเคมีอันตรายที่สำคัญต่อการควบคุม ที่มีการใช้งานในภาคอุตสาหกรรม และจัดทำแผนปฏิบัติการเพื่อ ลด จำกัดการใช้ และเลิกใช้สารเคมีอันตรายดังกล่าว
(2) สามารถดาวโหลดรายงาน “การตรวจสอบสารเคมีอันตรายในน้ำทิ้งจากโรงงานอุตสาหกรรมฟอกย้อมและการปนเปื้อนของสารเคมีในคลองบริเวณใกล้เคียงซึ่งเชื่อมต่อกับแม่น้ำเจ้าพระยาตอนล่าง ประเทศไทย พ.ศ. 2553” ได้ที่ www.greenpeace.or.th/water-sampling
(3) วิเคราะห์จากฐานข้อมูลกรมโรงงานอุตสาหกรรม (ปี 2547) โดยใช้ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ (Geographic Information System หรือ GIS)
(4) สถาบันโรงงานอุตสาหกรรม (2550)
(5) รายละเอียดเกี่ยวกับสารเคมีอันตรายที่พบ และเอกสารอ้างอิงสามารถอ่านเพิ่มเติมได้ในรายงาน (2)
โนนิลฟีนอล (nonyl phenols; NP): มีความคงทนและสามารถสะสมในสิ่งแวดล้อม รวมถึงในเนื้อเยื่อของปลา สิ่งมีชีวิตที่อาศัยในน้ำ และปริมาณมากเพิ่มขึ้นในแต่ละลำดับในห่วงโซ่อาหาร หนึ่งในอันตรายที่พบเห็นได้ อาทิ ผลกระทบเกี่ยวกับผลของฮอร์โมนเอสโตรเจนซึ่งเกี่ยวข้องกับการพัฒนาด้านเพศ การสร้างอสุจิ และความเสียหายต่อดีเอ็นเอของเซลล์ในระบบภูมิคุ้มกันของมนุษย์ โนนิลฟีนอลถูกจัดให้เป็นสารเคมีที่มีอันตรายในลำดับต้นๆ โดยสหภาพยุโรปภายใต้กรอบการจัดการแหล่งน้ำ นอกจากนี้ Directive 2003/53/EC ยังกำหนดว่าผลิตภัณฑ์ที่มีการปนเปื้อนของโนนิลฟีนอลมากกว่า 0.1% จะไม่สามารถวางขายในตลาดในทวีปยุโรปได้
2-เนฟทาลีนาทมีน (2-naphthalenamine; 2NA) ถูกจัดเป็นสารก่อมะเร็งในมนุษย์ สารเคมีชนิดนี้ไม่ว่าจะอยู่ในรูปสารบริสุทธ์หรือเจือปนอยู่กับสารอื่นก็สามารถทำให้เกิดมะเร็งในกระเพาะปัสสาวะในคนที่สัมผัสกับสารชนิดนี้ ทั้งนี้ 2NA อาจได้มาจากการสลายตัวของสีเอโซ (azo dye) บางชนิด ในทวีปยุโรปได้มีการห้ามใช้สีเอโซซึ่งสามารถสลายให้สารก่อมะเร็ง (สารอะโรมาติกเอมีน) ในสิ่งทอหรือเครื่องหนัง และมีการรณรงค์หยุดการใช้สิ่งทอที่ใช้สีเอโซซึ่งอาจเป็นตัวการที่ปล่อยสาร 2NA ในปริมาณที่เทียบเท่ากับที่ถูกห้าม
ไตร-ไอโซ-บิวทิลฟอสเฟต (tri-iso-butyl phosphate; TiBP) มีความเป็นพิษต่อสัตว์น้ำ และหนู (จากการทดลอง) ถูกจัดให้เป็นสารระคายเคืองต่อผิวหนังมนุษย์ ทั้งนี้ ข้อมูลความเป็นพิษของ TiBP ในมนุษย์ยังมีอยู่จำกัด
ข้อมูลเพิ่มเติมติดต่อ
พลาย ภิรมย์ ผู้ประสานงานรณรงค์ด้านสารพิษ กรีนพีซเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โทร. 0 2357 1921 ต่อ 135, 08 1658 9432
วิริยา กิ่งวัชระพงศ์ ผู้ประสานงานสื่อมวลชน โทร. 0 2357 1921 ต่อ115, 08 9487 0678
http://waterpatrol.greenpeace.or.th