กรุงเทพฯ--11 ส.ค.--ศูนย์ส่งเสริมและพัฒนาพลังแผ่นดินเชิงคุณธรรม
ศูนย์ส่งเสริมและพัฒนาพลังแผ่นดินเชิงคุณธรรม จัดสัมมนาผู้นำศาสนาด้านศาสนสัมพันธ์ ในโครงการฝึกอบรมหลักสูตรการพัฒนาคุณธรรมความดี ที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เมื่อเร็วๆ นี้
นางสาวนราทิพย์ พุ่มทรัพย์ ผู้อำนวยการศูนย์ส่งเสริมและพัฒนาพลังแผ่นดินกล่าวว่า โครงสัมมนาผู้นำศาสนสัมพันธ์ครั้งนี้ จัดขึ้นเพื่อจัดทำร่างหลักสูตรศาสนสัมพันธ์ สำหรับผู้นำศาสนา โดยมีท่านมุขนายกยอแซฟชูศักดิ์ สิริสุทธิ์ ประธานโครงการ พร้อมด้วยคณะวิทยากรพิเศษจาก 3 ศาสนา ได้แก่ พระศรีคัมภีรญาณวัดปากน้ำภาษีเจริญ รองอธิการบดีมหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย พระดุษฏี เมธงฺกโร เจ้าอาวาสวัดทุ่งไผ่ พระมหาปรกฤษณ์กนฺตสีโล บาทหลวงสมเกียรติ บุญอนันตบุตร นายมูฮัมหมัด เฟาซี แยนา สภายุวมุสลิมโลก สำนักงานประเทศไทย ผศ.ดร.ปาริชาด สุวรรณบุบผา ศูนย์การศึกษาและพัฒนาสันติวิธี พร้อมคณะทำงานฯ ได้จัดกิจกรรมตามหลักสูตรฯ ซึ่งมีทั้งภาควิชาการและปฏิบัติ พร้อมการศึกษาวิถีชีวิตชุมชนทางศาสนา ในพื้นที่ใกล้เคียงศาสนสถานได้แก่ วัดมเหยงคณ์ วัดนักบุญยอแซฟ และมัสยิดนูรุ้ลอีมานว่าริซซุนนะห์ โดยนักบวช ผู้นำทางศาสนา ครูสอนศาสนา และฆาราวาสที่เข้าร่วมโครงการ จะได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้ตามหลักศาสนาของตน พร้อมทั้งเข้าใจในความเชื่อและความแตกต่างของแต่ละศาสนา และให้เกียรติ ซึ่งกันและกัน สิ่งเหล่านี้จะเป็นกลไกที่ช่วยในการขับเคลื่อนกิจกรรมความร่วมมือด้านศาสนสัมพันธ์ระหว่างเครือข่าย ผู้นำองค์กร ผู้นำทางศาสนา ผู้นำท้องถิ่น และศาสนิกชนทุกภาคส่วนให้แพร่หลายเป็นพลังขับเคลื่อนให้อยู่ร่วมกันอย่างสันติสุขอย่างยั่งยืนได้
พระดุษฎี เมธงฺกโร เจ้าอาวาสวัดทุ่งไผ่ กล่าวว่า “ศาสนสัมพันธ์คือ ความสัมพันธ์อันดีระหว่างศาสนา มีความจำเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากปัจจุบันโลกเรามีการติดต่อสื่อสารถึงกันอย่างใกล้ชิด เหมือนเป็นครอบครัวเดียวกัน ดังนั้นถ้าเราไม่รู้จักคนอื่นก็จะเกิดการกระทบกระทั่งกันง่าย การเรียนรู้หลักศาสนาของตนเองและผู้อื่นก็จะช่วยให้เกิดความเข้าใจและสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างสงบสุข ขณะนี้โลกเรากำลังเผชิญกับปัญหาวิกฤตเพราะวัตถุนิยม จึงจำเป็นต้องให้ความสำคัญกับจิตใจ การเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ การสำรวมระวัง การเห็นอกเห็นใจกัน ก็จะเป็นทางออกจากวิกฤตเหล่านี้ได้ การเสวนาในครั้งนี้จึงนำมาซึ่งความร่วมมือร่วมใจและความเข้าใจ การเรียนรู้ศาสนาอื่นทำให้เข้าใจศาสนาตัวเองได้ดีขึ้น รู้จักผู้อื่นและรู้จักตัวเองมากขึ้น ได้รู้ว่ามีส่วนเหมือนหรือต่างกันอย่างไร และมีความศรัทธามั่นคงยิ่งขึ้น และยังสามารถนำไปแก้ปัญหาครอบครัวสังคมได้ทันต่อเหตุการณ์ เช่น ปัจจุบันศาสนาคริสต์ มีการพัฒนารูปแบบการสอนด้วยการร้องเพลงในโบสถ์ให้ทันสมัยเข้ากับคนรุ่นใหม่ ศาสนาอิสลามมีจุดเด่นเรื่องความขยันขันแข็งในการปฏิบัติศาสนกิจ และศาสนาพุทธมีจุดเด่นเรื่องความใจกว้าง ความเชื่อและความรู้ ดังนั้นหากทุกศาสนารวมพลังกัน ก็จะช่วยให้คำตอบกับปัญหาที่กำลังเผชิญอยู่ได้หากทุกศาสนาเดินไปพร้อมๆกัน เราก็จะมีพลังมากขึ้นในการแก้ปัญหาสังคม ปัญหาวัยรุ่น ครอบครัว ยาเสพติดและปัญหาโลกร้อน
บาทหลวงวิทยา แก้วแหวน เจ้าอาวาสวัดมารีย์สมภพ จ.พระนครศรีอยุธยา กล่าวว่า กิจกรรมศาสนาสัมพันธ์ช่วยให้คนเป็นเพื่อนกัน ช่วยส่งเสริมให้แต่ละคนทำหน้าที่ในศาสนาของตนเองได้เป็นอย่างดี และพร้อมจะเป็นเพื่อนกับคนอื่นได้ เมื่อเรามีความเป็นมิตรต่อกัน อะไรๆก็ดีไปหมด สำหรับเด็กยุคใหม่มีความยึดติดกับตัวเองสูงมาก การทำงานศาสนสัมพันธ์จึงค่อนข้างจำเป็น ถึงแม้จะมีอุปสรรคแต่ก็ต้องปลูกฝังให้เขารู้จักปรับตัวเรียนรู้ที่จะเป็นเพื่อนกับคนอื่นให้ได้ สิ่งดีๆ อื่นๆ ก็จะตามมาโดยอัตโนมัติ และนำมาซึ่งความสุขสันติ
พระศีลนันทาภิกขุณี สำนักป่าคำสอนพุทธธรรมสตรี กล่าวว่า ประโยชน์ของศาสนสัมพันธ์นั้นยิ่งใหญ่มาก ทำให้มนุษย์หันหน้าเข้าหากัน ได้พูดคุยแลกเปลี่ยนความรู้กันทำให้เราได้มองเห็นตามที่เป็นจริง เปรียบเสมือนน้ำในมหาสมุทรใหญ่ น้อยที่ มารวมกันก็จะกลมกลืนกัน และมีพลัง ถ้าความเข้าใจเกิดขึ้นหัวใจจะรวมกันเป็นหนึ่งได้ เป็นแกนกลางแห่งความสุขที่จะช่วยให้โลกสงบร่มเย็น
พระมหาปรกฤษณ์ กนฺตสีโล กล่าวว่า การที่เปิดใจเพื่อเรียนรู้ ไม่ได้ทำให้เราสูญเสียตัวตน แต่ว่าได้มองเห็นในแง่มุมของเขาและเคารพในสิทธิและความเชื่อของตนเอง เมื่อได้ทำงานร่วมกันจะเกิดความเข้าใจในวิถีชีวิตตามหลักศาสนาของตนเอง และของผู้อื่น ก็จะทำให้สามารถอยู่ร่วมกันได้ และนำไปสู่แนวทางการแก้ไขปัญหาสังคมโดยนำกระบวนการของแต่ละศาสนาที่มีจุดเด่นจุดด้อยต่างกันมาใช้ให้เกิดประโยชน์ในการแก้ปัญหาสังคมร่วมกัน
นายสุนันท์ มูฮำหมัดเย็ง อิสลามวิทยาลัยแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ศาสนสัมพันธ์จำเป็นและมีความสำคัญต่อโลกในปัจจุบันที่มีการสื่อสารไร้พรมแดน การเรียนรู้ซึ่งกันและกันจึงทำได้มากขึ้นกว่าในอดีต และช่วยให้เราอยู่ร่วมกันอย่างมีสันติสุข เราจึงนำหลักความเชื่อที่ว่ามนุษย์ทุกคนเป็นพี่น้องกัน สามารถอยู่ร่วมกันได้ และมุ่งเน้นความรักและสันติ มาใช้ขับเคลื่อนกิจกรรมศาสนาสัมพันธ์ให้แพร่หลายต่อไป
ผู้สนใจสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ 02-6449900 หรือ www.moralcenter.or.th