ฟิทช์คงอันดับเครดิตภายในประเทศหุ้นกู้สกุลเงินบาทของบริษัท Cargill ที่ระดับ ‘AAA(tha)’

ข่าวเศรษฐกิจ Wednesday August 11, 2010 17:33 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--11 ส.ค.--ฟิทช์ เรทติ้งส์ บริษัท ฟิทช์ เรทติ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด ประกาศคงอันดับเครดิตภายในประเทศ (National Rating) ระยะยาวสำหรับหุ้นกู้ไม่มีหลักประกันสกุลเงินบาทของบริษัท Cargill Incorporated หรือ Cargill (ซึ่งมีอันดับเครดิตสากลระยะยาวสกุลเงินต่างประเทศ (International Long-term Foreign Currency Issuer Default Rating) อยู่ที่ระดับ ‘A’ แนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพและอันดับเครดิตสากลระยะสั้นสกุลเงินต่างประเทศ (International Short-term Foreign Currency Issuer Default Rating) อยู่ที่ระดับ ‘F1’) มูลค่า 3.5 พันล้านบาท ครบกำหนดไถ่ถอนปี 2554 ที่ระดับ ‘AAA(tha)’ แนวโน้มเครดิตมีเสถียรภาพ แม้ว่า Cargill มีอันดับเครดิตสากลสูงกว่าอันดับเครดิตสากลระยะยาวสกุลเงินในประเทศ (International Long-term Local Currency Issuer Default Rating) ของประเทศไทยที่อยู่ที่ระดับ ‘A-’ แนวโน้มเครดิตเป็นลบ อันดับเครดิตภายในประเทศของหุ้นกู้ไม่มีหลักประกันสกุลเงินบาทของ Cargill ถูกจำกัดที่ระดับ ‘AAA(tha)’ ซึ่งเป็นอันดับเครดิตภายในประเทศสูงสุดของประเทศไทย การเปลี่ยนแปลงของอันดับเครดิตของ Cargill และประเทศไทยที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตซึ่งเป็นผลให้อันดับเครดิตของ Cargill ต่ำกว่าอันดับเครดิตของประเทศไทยอาจส่งผลกระทบต่ออันดับเครดิตภายในประเทศของหุ้นกู้ไม่มีหลักประกันสกุลเงินบาทดังกล่าว โดยที่การปรับเปลี่ยนอันดับเครดิตสากลหนึ่งอันดับ อาจนำไปสู่การปรับเปลี่ยนอันดับเครดิตภายในประเทศมากกว่าหนึ่งอันดับได้ อันดับเครดิตของ Cargill สะท้อนถึงความได้เปรียบในการแข่งขันในฐานะที่เป็นบริษัทที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในธุรกิจสินค้าเกษตรที่มีที่ตั้งในสหรัฐอเมริกา และยังเป็นหนึ่งในบริษัทเอกชนที่ถือหุ้นโดยกลุ่มบุคคลที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก บริษัทประกอบธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับสินค้าเกษตรเกือบทุกชนิดโดยมีฐานธุรกิจกระจายอยู่ตามประเทศใหญ่ๆทั่วโลก ธุรกิจสินค้าเกษตรที่สำคัญของบริษัทประกอบด้วย ธุรกิจสกัดน้ำมันจากพืช ธุรกิจโรงโม่ข้าวโพด ธุรกิจผลิตและแปรรูปเนื้อสัตว์ ธุรกิจผลิตปุ๋ยและธุรกิจผลิตอาหารสัตว์ อันดับเครดิตยังสะท้อนถึงการที่บริษัทมีธุรกิจที่กระจายตัวในหลายภูมิภาคและมีประเภทสินค้าเกษตรที่หลากหลาย ซึ่งช่วยลดความผันผวนของผลการดำเนินงานและความสามารถในการสร้างกระแสเงินสดของบริษัทที่เกิดจากความผันผวนของธุรกิจสินค้าเกษตรลงได้ อย่างไรก็ตามความแข็งแกร่งทางด้านเครดิตดังกล่าวได้ถูกลดทอนจากการที่บริษัทต้องเผชิญกับความเสี่ยงที่สูงในธุรกิจบริหารความเสี่ยงและการให้บริการทางการเงิน รวมถึงการที่บริษัทมีกระแสเงินสดจากการดำเนินงานสุทธิที่เป็นลบในบางช่วงเวลาโดยเฉพาะในช่วงที่ราคาสินค้าเกษตรปรับตัวเพิ่มขึ้น อันดับเครดิตยังพิจารณารวมถึงสภาพคล่องของบริษัท โดยบริษัทมีสินค้าคงคลังที่พร้อมขายในตลาด (Readily Marketable Inventory (RMI)) และมีเงินสดในระดับที่สูง นอกจากนี้บริษัทยังมีเงินลงทุนในสัดส่วนที่เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในบริษัท The Mosaic Company (Mosaic) ซึ่งปัจจุบันเงินลงทุนดังกล่าวมีมูลค่าตามราคาตลาดประมาณ 14 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ โดย Cargill มีทางเลือกที่จะขายเงินลงทุนดังกล่าวหรือจะเพิ่มการลงทุนแต่บริษัทยังไม่มีแผนในการดำเนินการดังกล่าว ฟิทช์คาดว่าบริษัทสามารถจะลดภาระหนี้สินได้เป็นอย่างมากถ้าบริษัทมีการขายเงินลงทุนดังกล่าวออกไป ในช่วง 9 เดือนแรกของปีงบการเงิน 2553 สิ้นสุดวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2553 กำไรจากการดำเนินงานของ Cargill โดยไม่รวมกำไรจากการดำเนินงานของ Mosaic และธุรกิจที่หยุดดำเนินกิจการไปอยู่ในระดับเกือบจะเท่ากับกำไรจากการดำเนินงานของทั้งปีในปีงบการเงินก่อน โดยที่กำไรจากการดำเนินงานดังกล่าวในไตรมาสที่ผ่านมาสิ้นสุดวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2553 เพิ่มขึ้นเท่าตัวเมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีงบการเงินก่อนซึ่งได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจที่ถดถอยทั่วโลก โดยธุรกิจที่บริษัทดำเนินการทุกธุรกิจล้วนมีผลประกอบที่ดีขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีงบการเงินก่อน ซึ่งเป็นผลมาจากผลผลิตที่สูงในทวีปอเมริกาเหนือและการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกและตลาดทางการเงิน ซึ่งทำให้ความต้องการสินค้าเกษตรเพิ่มมากขึ้นตาม Cargill คาดว่าจะสามารถเปิดเผยผลการดำเนินงานประจำปีงบการเงิน 2553 ได้ในวันที่ 17 สิงหาคม 2553 นอกเหนือจากการประเมินเครดิตโดยใช้การวิเคราะห์อัตราส่วนทางการเงินตามหลักการทั่วไปแล้ว ฟิทช์ยังได้มีการปรับปรุงการวิเคราะห์จากหลักการทั่วไปโดยเฉพาะสำหรับ Cargill โดยในการวิเคราะห์อัตราส่วนหนี้สินของบริษัทที่อยู่ในภาคการเกษตร ฟิทช์ได้พิจารณาถึงอัตราส่วนหนี้สินที่ไม่รวมหนี้ที่ถูกใช้เพื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนในส่วนของสินค้าคงคลังที่พร้อมขาย (RMI) เนื่องจากสินค้าโภคภัณฑ์เหล่านี้มีสภาพคล่องสูงและโดยทั่วไปมักจะมีการทำการป้องกันความเสี่ยงในด้านราคาไว้แล้ว ในขณะเดียวกัน ดอกเบี้ยจ่ายที่เกิดจากหนี้สินดังกล่าวจะได้รับการจัดประเภทไว้เป็นส่วนหนึ่งของต้นทุนขาย จึงมิได้รวมอยู่ในกำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) และไม่ได้รวมเป็นค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยด้วย นอกจากนี้ ฟิทช์ยังไม่รวมหนี้สิน ผลกำไรที่เกี่ยวข้อง และดอกเบี้ยจ่ายของ Mosaic ในการประเมินสถานะทางเครดิตของ Cargill เนื่องจากแม้ว่า Cargill จะเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ใน Mosaic และได้รวมงบการเงินของ Mosaic ไว้ในงบการเงินรวมของบริษัท แต่หนี้สินของ Mosaic ไม่มีสิทธิไล่เบี้ยและไม่ได้รับการค้ำประกันใดๆ จาก Cargill จากการปรับปรุงดังกล่าวข้างต้น Cargill มีอัตราส่วนหนี้สินซึ่งคำนวณจากอัตราส่วนหนี้สินรวมต่อกำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (Total Debt to Operating EBITDA) เท่ากับ 1.8 เท่าในช่วง 12 เดือนล่าสุดสิ้นสุดวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2553 และอัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายต่อค่าใช้จ่ายดอกเบี้ย (EBITDA to Gross Interest Expense) เท่ากับ 9.3 เท่า Mosaic มีหนี้สินที่ไม่มีสิทธิไล่เบี้ยต่อ Cargill จำนวน 1.4 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ และมีกำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย เท่ากับ 1.3 พันล้านเหรียญสหรัฐฯในช่วง 12 เดือนล่าสุดสิ้นสุดวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2553 หากไม่มีการปรับปรุงดังกล่าว Cargill จะมีอัตราส่วนหนี้สินรวมต่อกำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย เท่ากับ 2.6 เท่าและมีอัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายต่อค่าใช้จ่ายดอกเบี้ย เท่ากับ 6.9 เท่า Cargill ก่อตั้งขึ้นในปี 2408 โดยเป็นบริษัทเอกชนที่มีสมาชิกในครอบครัวเป็นผู้ถือหุ้นส่วนใหญ่ และหุ้นส่วนที่เหลือถือโดยพนักงานและผู้บริหารของบริษัท Cargill มีธุรกิจหลักอยู่ 5 ธุรกิจ ประกอบด้วยธุรกิจให้บริการด้านการเกษตร ธุรกิจการผลิตและแปรรูปสินค้าเกษตร ธุรกิจวัตถุดิบในอุตสาหกรรมอาหาร ธุรกิจการบริหารความเสี่ยงและให้บริการทางการเงิน และอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับการเกษตร ซึ่งในธุรกิจหลัก 5 ธุรกิจดังกล่าวประกอบด้วยธุรกิจย่อยอีกมากกว่า 80 ธุรกิจ หลักเกณฑ์การจัดอันดับเครดิตหาได้ที่ www.fitchratings.com ในการจัดอันดับเครดิตฟิทช์ได้ใช้หลักเกณฑ์ตาม Corporate Rating Methodology ติดต่อ: เลิศชัย กอเจริญรัตนกุล, Vincent Milton, + 662 655 4755, Judi M. Rossetti, CPA/CFA, Chicago, +1 312 368 2077

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ