กรุงเทพฯ--12 ก.ค.--สมาคมการแพทย์ไคโรแพรคติกแห่งประเทศไทย
สมาคมฯ ไคโรแพรคติก เผยโรคปวดหลังที่มาพร้อมกับวิทยการก้าวหน้าของเทคโนโลยี กำลังจู่โจมคนไทย เตรียมพร้อมหลังได้รับใบอนุญาตประกอบโรคศิลปะร่วมกับมหาวิทยาลัย เปิดสอนหลักสูตรการแพทย์ไคโรแพรคติก หวังดันไทยให้เป็นศูนย์กลางการแพทย์และการศึกษา ไคโรแพรคติกของเอเชีย
ในการแถลงข่าวความก้าวหน้าและความท้าทายทางการแพทย์ไคโรแพรคติก ที่จัดขึ้นที่โรงแรมเชอราตันแกรนด์ สุขุมวิท ดร. โอ๊ต บูรณะสมบัติ นายกสมาคมการแพทย์ไคโรแพรคติกแห่งประเทศไทย กล่าวถึงการพัฒนาการแพทย์ไคโรแพรคติก หลังจากได้มีการจัดให้มีการสอบใบอนุญาตการประกอบโรคศิลปะ เป็นครั้งแรกในประเทศไทย โดยความร่วมมือจากสมาพันธ์ไคโรแพรคติกโลก และกองการประกอบโรคศิลปะ กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข เมื่อวันที่ 5-6 กรกฎาคมที่ผ่านมา ว่ามีความหมายต่อการพัฒนาทางการแพทย์ไคโรแพรคติกในประเทศไทยมาก ด้วยประเทศไทยนับเป็นประเทศที่สองในเอเชียที่ได้พัฒนาสู่การจัดการรับรองศาสตร์ทางการแพทย์นี้อย่างเป็นทางการได้อย่างรวดเร็ว
ดร.โอ๊ต บูรณะสมบัติ กล่าวว่า ปัจจุบันประชาชนเป็นโรคปวดหลังกันมากขึ้น เนื่องจากสภาพสังคม วิทยาการความก้าวหน้าต่างๆ ที่ทำให้ผู้คนจำนวนมากเร่งรีบ ไม่มีเวลาออกกำลังกาย ไม่ได้ทานอาหารที่มีประโยชน์ การใช้สิ่งของ เครื่องนอน เครื่องใช้ เก้าอี้ โต๊ะ ที่ไม่ถูกกับสรีระ การมีบุคลิกภาพที่ไม่ดี การนั่งทำงานในท่าเดิมๆ การนั่งพิมพ์คอมพิวเตอร์นานๆ และการนั่งอยู่ในรถติดเป็นชั่วโมง ทำให้โครงสร้างของร่างกายผิดไป เกิดการเคลื่อนของข้อกระดูกสันหลัง ส่งผลกดทับเส้นประสาทและระบบประสาท เกิดอาการปวดตามร่างกายต่างๆ ส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงาน ซึ่งในประเทศสหรัฐอเมริกา 90% ของชาวอเมริกัน เป็นโรคปวดหลัง และเป็นสาเหตุการลาป่วยอันดับสองของชาวอเมริกันรองจากโรคหวัด
“ความสำคัญของกระดูกสันหลัง กระดูกสันหลังเป็นโครงสร้างที่ปกป้องเส้นประสาท ไขสันหลังอยู่ ซึ่งรากประสาทจะออกมาจากด้านข้างของกระดูกสันหลัง หากมีอาการเคลื่อนที่ผิดตำแหน่ง หรือการเคลื่อนไหวของข้อต่างๆที่ผิดปกติก็อาจจะมีผลกระทบต่อเส้นประสาท หรือมีอาการกดทับรากประสาท หรือมีผลทำให้หมอนรองกระดูกไปทับเส้นประสาทได้ ซึ่งเป็นจุดสำคัญที่มีการควบคุมการทำงานของร่างกายเรา ทำให้การทำงานของระบบประสาทผิดปกติ จะส่งผลกระทบต่ออวัยวะต่างๆของร่างกายที่ระบบเส้นประสาทนั้นไปเลี้ยง”
ปัจจุบันในประเทศไทยความต้องการรักษามีจำนวนมากขึ้น ในขณะที่มีคนไทยที่จบการศึกษาสาขาวิชาการแพทย์ไคโรแพรคติกจำนวนน้อยมาก เพราะต้องไปเรียนถึงต่างประเทศ ซึ่งหลังจากนี้ไป จะได้มีการเร่งผลิตบุคคลากร โดยขณะนี้ได้มีการพัฒนาหลักสูตรให้มีการเปิดการสอนในประเทศไทยได้ โดยจากความพร้อมในทุกด้าน ทั้งด้านสถานศึกษา และบุคลากรทางการแพทย์ เชื่อว่าจะสามารถยกระดับให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางทางการแพทย์และการศึกษาการแพทย์ไคโรแพรคติก ของภูมิภาคเอเชีย ทั้งนี้คาดว่าในต้นปีหน้า ภายใต้ความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยรังสิต จะสามารถเปิดหลักสูตรสอนได้เป็นครั้งแรกในภูมิภาคเอเชีย โดยคาดว่าจะสามารถรับนักศึกษาเข้าเรียนต่อได้ประมาณ 30 คน
“ เมื่อเราสามารถผลิตบุคคลากรได้เอง ก็จะช่วยทำให้การดูแลสุขภาพในด้านนี้ขยายวงกว้างได้มากขึ้น มีบุคลากรมากขึ้น เรื่องค่ารักษาก็น่าจะลดลงได้ และสามารถกระจายไปสู่ท้องถิ่นในภูมิภาคต่าง ซึ่งปัจจุบัน แพทย์ที่จบด้านนี้มีเพียงในกรุงเทพฯ และที่พัทยา ทำให้คนต่างจังหวัดขาดโอกาสในการรักษา ต้องเดินทางเข้าในกรุงเทพเท่านั้น”
การรักษาโดยศาสตร์การแพทย์ไคโรแพรคติก เป็นการตรวจรักษาระบบประสาท การดูแลกระดูกสันหลัง และโครงสร้างร่างกาย โดยไม่จ่ายยา ใช้เข็ม หรือผ่าตัด โดยมุ่งการรักษาไปที่ความผิดปกติของโครงสร้างและการเคลื่อนไหวของร่างกาย หรือการคลาดเคลื่อนจากตำแหน่ง ปัจจุบันมีแพทย์ที่เชี่ยวชาญด้านนี้ ทั้งชาวไทยและต่างประเทศ จำนวน 21 คน มีคลีนิกที่เปิดให้บริการกว่า 10 แห่งอยู่ในย่านสุขุมวิท สีลม บางแค และพัทยา อัตราค่ารักษาต่อครั้ง เฉลี่ยประมาณ 1,000-1,500 บาท
“สิ่งสำคัญที่เร่งด่วนและจะต้องเร่งดำเนินการจากนี้ไปก็คือการสร้างความเข้าใจให้กับประชาชนทราบว่า แพทย์ที่ให้บริการด้านนี้อยู่ที่ใดบ้าง ขณะนี้ได้เปิดเว็บไซต์ www.thailandchiropractic.org เป็นสื่อกลางในการให้ข้อมูลให้ความรู้และช่วยป้องกันเกี่ยวกับการแอบอ้างจากผู้ที่ไม่จบมาด้านนี้ไปบริการรักษา นอกจากนี้ยังจะมีแผนที่จะไปทำความเข้าใจกับบริษัทประกัน และร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อหาทางให้ผู้เจ็บป่วยที่มารับการรักษาสามารถเบิกจายค่ารักษาได้ ซึ่งคงต้องใช้ระยะเวลาสักพักหนึ่ง”นายกสมาคมการแพทย์ไคโรแพรคติกแห่งประเทศไทยกล่าว
ต้องการทราบข้อมูลเพิ่มเติม กรุณาติดต่อ คุณพิมพร ศิริวรรณ ที่ปรึกษาการประชาสัมพันธ์
งานแถลงข่าวฯ สมาคมการแพทย์ไคโรแพรคติกแห่งประเทศไทย โทร. 081-928-2808
สามารถคลิกดูภาพประกอบได้ที่ www.thaipr.net