กรุงเทพฯ--16 ส.ค.--สามารถคอร์ปอเรชั่น
นายวัฒน์ชัย วิไลลักษณ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท สามารถคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงผลประกอบการไตรมาส 2 ของกลุ่มบริษัทสามารถว่าเป็นที่น่าพอใจ โดยมีรายได้รวมจำนวน 4,355 ล้านบาท ใกล้เคียงกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 145 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 19 เปอร์เซ็นต์ ส่งผลให้ภาพรวมการดำเนินธุรกิจครึ่งปีแรก 2553 ของกลุ่มสามารถฯ ประสบความสำเร็จด้วยรายได้รวม 8,869 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8 เปอร์เซ็นต์ กำไรสุทธิ 292 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 76 เปอร์เซ็นต์ และจากภาวะเศรษฐกิจที่กระเตื้องขึ้นตามลำดับ คาดว่าผลการดำเนินงานของปี 2553 จะเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้
โดยสายธุรกิจ Mobile Multimedia มีรายได้รวมไตรมาส 2 ปี 53 เท่ากับ 2,048 ล้านบาท ใกล้เคียงกับปีก่อน และเนื่องจากราคาเฉลี่ยต่อเครื่องที่ลดลง รวมทั้งมีการลงทุนเพื่อขยายตลาดและเปิดตัวบริการใหม่ MVNO จึงส่งผลให้กำไรสุทธิ ลดลง 30 เปอร์เซ็นต์ โดยมีกำไรสุทธิทั้งสิ้น 31 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม
เมื่อเทียบกับไตรมาสแรกของปีนี้ ถือว่ากำไรสุทธิในไตรมาส 2 มีอัตราการเติบโตที่เพิ่มขึ้นอย่างน่าพอใจ คือ 15 เปอร์เซ็นต์ โดยมียอดจำหน่ายมือถือที่เพิ่มขึ้นถึง 24 เปอร์เซ็นต์ สรุปครึ่งปีแรกจำหน่ายโทรศัพท์มือถือไปแล้วกว่า 1.7 ล้านเครื่อง เพิ่มขึ้น 15 เปอร์เซ็นต์จากช่วงเดียวกันของปีก่อน คิดเป็นยอดขายในประเทศ 1.55 ล้านเครื่อง และต่างประเทศ 150,000 เครื่อง โดยบริษัทฯ เน้นเรื่องบริการหลังการขายและการควบคุมสินค้าคงคลังที่มีประสิทธิภาพ ส่วนในไตรมาส 3 จะมีการเปิดตัว Concept Phone ใหม่ เพื่อรองรับการให้บริการด้าน Social Network และ Push Application ที่หลากหลาย สำหรับธุรกิจ MVNO ในปัจจุบันมีจำนวนผู้ใช้บริการแล้วทั้งสิ้น 85,000 ราย คาดว่าจะมีจำนวนผู้ใช้บริการ 100,000 รายในไตรมาส 3 และเพิ่มเป็น 150,000 รายในสิ้นปี 53 ส่วนธุรกิจคอนเทนต์ ซึ่งปัจจุบันบริษัทฯ ครองความเป็นเจ้าตลาดอยู่นั้น ก็ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยมีรายได้ในไตรมาส 2 จำนวน 260 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13 เปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบกับไตรมาสแรก และเพิ่มขึ้นถึง 35 เปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยในไตรมาส 3 จะมีการนำเสนอบริการใหม่สำหรับการให้บริการบนโครงข่าย 3G อาทิเช่น VDO Call Center เป็นต้น
สายธุรกิจ ICT Solutions ในไตรมาส 2 ปีนี้ มีรายได้รวม 1,772 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 106 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 26 เปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ปัจจุบันบริษัทฯ มีโครงการในมือมูลค่ารวมกันแล้วกว่า 15,000 ล้านบาท ซึ่งยังคงทยอยรับรู้รายได้อย่างต่อเนื่อง และจากสถานการณ์บ้านเมืองที่เริ่มคลี่คลาย ซึ่งส่งผลให้กระบวนการจัดซื้อจัดจ้างของภาครัฐกลับสู่ภาวะปกติ บริษัทฯ จึงเตรียมการที่จะเข้าร่วมประมูลโครงการใหม่ๆ เพิ่มอีกในไตรมาส 3 และ 4 รวมมูลค่ากว่า 20,000 ล้านบาท มั่นใจผลประกอบการรวมของสายธุรกิจ ICT Solutions ในปี 2553 จะบรรลุตามเป้าหมาย ด้วยอัตราการเติบโตของรายได้ที่ไม่ต่ำกว่า 25 เปอร์เซ็นต์
สายธุรกิจ Related Business ทั้ง บริษัท แคมโบเดีย แอร์ทราฟฟิค เซอร์วิสเซส จำกัด , บริษัท กัมปอต เพาเวอร์แพลนท์ จำกัด , บริษัท สามารถวิศวกรรม จำกัด , บริษัท วิชั่น แอนด์ ซิเคียวริตี้ จำกัด และบริษัท วันทูวัน คอนแทคส์ จำกัด มีรายได้ทั้งสิ้นในครึ่งปี 1,086 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 17 เปอร์เซ็นต์ โดยเฉพาะบริษัท วิชั่น แอนด์ ซิเคียวริตี้ฯ คว้างานประมูลได้กว่า 300 ล้านบาท และบริษัท วันทูวันฯ เซ็นสัญญางานโครงการภาครัฐที่ประมูลได้ มูลค่ารวม 525 ล้านบาท
นายวัฒน์ชัย ได้กล่าวทิ้งท้ายไว้ว่า “ภาพรวมการดำเนินธุรกิจของกลุ่มสามารถในช่วงครึ่งปีหลัง จะได้เห็นธุรกิจของกลุ่มสามารถฯ ครอบคลุมธุรกิจรอบด้าน ทั้งในตลาด Consumer ก็จะเห็นไอ-โมบายออกสินค้าใหม่อีก 20 รุ่น เน้นขยายฐานลูกค้าในตลาดระดับกลางมากขึ้น โดยจะเป็นรุ่นใหม่ที่รองรับระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์และรองรับเทคโนโลยี 3 จี พร้อมคุณสมบัติการใช้งานแบบมัลติมีเดียซึ่งเป็นจุดขายเด่นของไอ-โมบาย คาดสิ้นปี 53 จะมียอดขายโทรศัพท์มือถือรวม 4 ล้านเครื่อง ด้านธุรกิจไอซีทีก็มีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องและจะเป็นฐานสำคัญในการสร้างรายได้ประจำให้แก่กลุ่มสามารถ นอกจากนี้ก็มีอีกหลายโครงการที่อยู่ในระหว่างรอความชัดเจนจากภาครัฐ เช่น โครงการขยายเครือข่าย 3 จี, โครงการรถเมล์ NGV ซึ่งบริษัทฯ ได้แสดงความสนใจมาตั้งแต่แรก โดยเฉพาะในส่วนของ e-ticket และระบบสื่อสารอิเลคทรอนิกส์อื่นๆ ซึ่งบริษัทฯ มีความรู้ความชำนาญ รวมทั้งโครงการทีวีดาวเทียม เป็นต้น ซึ่งการศึกษาถึงโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ ก็สอดคล้องไปกับทิศทางและเป้าหมายในการสร้างรายได้ประจำและรากฐานที่แข็งแกร่งให้กับกลุ่มบริษัทสามารถนั่นเอง”