กรุงเทพฯ--17 ส.ค.--แบรนด์คอม คอนซัลแทนส์
บริษัทเหมราชพัฒนาที่ดิน (มหาชน) ประกาศผลการดำเนินงานสำหรับไตรมาส 2 ปี 2553 สรุปได้ดังนี้
กำไรสุทธิไตรมาส 2 และ กำไรสุทธิ 6 เดือนแรกของปี 2553
ในไตรมาส 2 ปี 2553 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิทั้งสิ้น 114.7 ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ 59 จากไตรมาสเดียวกันของปีที่ผ่านมาซึ่งเป็นกำไรจากการดำเนินงานทั้งจำนวน 114.7 ล้านบาท กำไรสุทธิต่อหุ้นเท่ากับ 0.012 บาทต่อหุ้น ลดลงร้อยละ 60 เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีที่ผ่านมา
สำหรับงวดระยะเวลา 6 เดือนแรกของปี 2553 บริษัทฯ มีผลกำไรสุทธิทั้งสิ้น 491.0 ล้านบาทหรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 41 จากช่วงเวลาเดียวกันของปี 2552 การเพิ่มขึ้นของกำไรสุทธิจากการดำเนินงานในงวดระยะเวลา 6 เดือนแรกมาจากการเพิ่มขึ้นของยอดขายที่ดินอุตสาหกรรม สาธารณูปโภคในนิคมอุตสาหกรรมและยอดขายโครงการที่พักอาศัยเมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา กำไรสุทธิต่อหุ้นเท่ากับ 0.051 บาทต่อหุ้น เพิ่มขึ้นร้อยละ 37 เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีที่ผ่านมา
นายเดวิด นาร์โดน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ได้ให้ความเห็นเพิ่มเติมเกี่ยวกับผลการดำเนินงานของบริษัทฯ ว่า
“บริษัทเหมราชฯ เริ่มต้นครึ่งปีแรกในปี 2553 ด้วยผลประกอบการที่ยอดเยี่ยมจะเห็นได้จากรายได้รวมจำนวน 2,055 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 66 มีกำไรสุทธิจำนวน 491 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 41 จากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา
บริษัทเหมราชฯ เป็นผู้นำตลาดนิคมอุตสาหกรรมและมีอุตสาหกรรมยานยนต์เป็นกลุ่มลูกค้าเป้าหมายหลักส่งผลให้ยอดขายที่ดินในครึ่งปีแรกในปี 2553 มีจำนวน 623 ไร่ (249 เอเคอร์) ในจำนวนนั้นมีลูกค้ารายใหญ่คือบริษัทฟอร์ดมอเตอร์จำกัด ได้ซื้อที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมเหมราชอีสเทิร์นซีบอร์ดเพื่อสร้างโรงงานผลิตรถยนต์ให้เป็นศูนย์กลางการผลิตแห่งใหม่จำนวน 468 ไร่ (187 เอเคอร์) และเป็นการย้ำถึงความสัมพันธ์ที่มีต่อกันกว่า 15 ปี ด้วยยอดขายของบริษัทที่มีจนถึงปัจจุบันนี้ บริษัทฯ เห็นโอกาสในการเติบโตของรายได้และยืนยันเป้าหมายในยอดขายที่ดินอุตสาหกรรมในปี 2553 ที่เพิ่มขึ้นเป็น 1,000 ไร่ (400 เอเคอร์)
เรากำลังจะพ้นภาวะวิกฤตเศรษฐกิจการเงินโลกนับตั้งแต่ปลายปี 2551 ต่อเนื่องจนถึงปี 2552 ที่ได้ส่งผลกระทบต่อการบริโภคสินค้า และส่งผลให้เกิดการลดกำลังการผลิตลง สำหรับประเทศไทยนั้นตลาดภายในประเทศและการส่งออกใน 4 ไตรมาสที่ผ่านมาได้สะท้อนให้เห็นถึงระดับการผลิตและอัตราการใช้กำลังการผลิตที่สูงขึ้นทั้งจากการควบรวมกันในระดับภูมิภาคซึ่งได้เพิ่มศักยภาพในการเติบโต อย่างไรก็ตามการจัดทำขั้นตอนในการทำการประเมินผลกระทบต่อสุขภาพ (HIA) โดยเฉพาะของอุตสาหกรรมเคมีและอุตสาหกรรมหนักยังเป็นไปอย่างเชื่องช้า ถึงแม้ปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองจะสงบลงแต่ก็ยังคงอยู่ในสภาวะที่ต้องเฝ้าระวัง การฟื้นตัวในภาคอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและการลงทุนที่เพิ่มขึ้นของทั้งนักลงทุนอุตสาหกรรมจากต่างประเทศและในประเทศ เราได้บริหารจัดการแผนธุรกิจ การลงทุนและโอกาสของบริษัทด้วยความรอบคอบในขณะเดียวกันคงไว้ซึ่งสภาพคล่องทางการเงินที่แข็งแกร่ง
บริษัทฯ เชื่อมั่นในกลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจของบริษัท นอกจากนี้ประเทศไทยได้รับผลประโยชน์จากการรวมกลุ่มของภาคการผลิต (Cluster) เพื่อให้เป็นที่ตั้งในระดับภูมิภาคที่มีศักยภาพทั้งในด้านของแหล่งเงินทุนและการเข้าถึงตลาด การลงทุนและการรวมกลุ่มของอุตสาหกรรมจะดำเนินไปอย่างต่อเนื่องในอุตสาหกรรมยานยนต์ ปิโตรเคมี และอุตสาหกรรมอื่นๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เหมราช “ดีทรอย์ตะวันออก” อีสเทอร์นซีบอร์ดและการรวมกลุ่มกันของกลุ่มปิโตรเคมีที่มาบตาพุด ระยอง
การเติบโตของภาคการส่งออกในปี 2553 คาดว่าจะเติบโตได้ถึงร้อยละ 20 และเติบโตร้อยละ 60 ในภาคการผลิตยานยนต์จากภาวะซบเซาในปี 2552 ด้วยการประกาศแผนการลงทุนใหม่ของผู้ประกอบการหลายราย (OEM)
บริษัทฯ ยังคงขยายฐานรายได้ที่ต่อเนื่องให้เติบโตเพิ่มขึ้นดังจะเห็นได้จากรายได้จากสาธารณูปโภคที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 28 การเพิ่มขึ้นของรายได้สินทรัพย์ให้เช่าและการกลับมาของรายได้จากการขายโครงการที่พักอาศัย ด้วยงบการเงินที่แข็งแกร่งและหนี้สินสุทธิต่อทุนเพียง 0.50 ในไตรมาสที่ 2 ปี 2553 บริษัทฯได้ออกหุ้นกู้ถึงปัจจุบันรวมเป็นจำนวน 5,362 ล้านบาท มีอายุ 3-7 ปีด้วยอัตราดอกเบี้ยตายตัว บริษัทฯ ได้มีการลงทุนที่สำคัญอย่างต่อเนื่องไม่ว่าจะเป็นโครงการพลังงานอิสระ เก็คโค่-วันที่บริษัทฯ ถือหุ้นอยู่ร้อยละ 35 หรือลงทุนในโครงการพลังงานอื่นหรือลงทุนในสาธารณูปโภคที่ก่อให้เกิดรายได้ต่อเนื่องให้กับบริษัทฯ รวมไปถึงการลงทุนในนิคมอุตสาหกรรมและอสังหาริมทรัพย์ โดยบริษัทฯ ได้บริหารจัดการด้วยความระมัดระวังเพื่อลดความเสี่ยงของบริษัทฯ ในขณะเดียวกันเพื่อเพิ่มโอกาสในการสร้างผลตอบแทนสูงสุดให้แก่ผู้ถือหุ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน”
รายได้รวมและผลการดำเนินงานใน 6 เดือนแรก ปี 2553
ในครึ่งปีแรกปี 2553 บริษัทฯ มีรายได้รวมจำนวน 2,054.5 ล้านบาท เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมาจำนวน 1,240.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 66 โดยมีรายได้จากการประกอบธุรกิจหลักจำนวน 2,101.7 ล้านบาทหรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 68 เปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา รายได้การขายที่ดินนิคมอุตสาหกรรมในครึ่งปีแรกปี 2553 ซึ่งรวมกำไรจากนิคมอุตสาหกรรมร่วมทุนจำนวน 822.7 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 92 โดยมีรายได้จากการขายพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมที่รอการรับรู้อีกเป็นจำนวน 887 ล้านบาทจากวิธีการรับรู้รายได้ตามการแล้วเสร็จของการพัฒนานิคมอุตสาหกรรมเฟสใหม่อีก 3 เฟสที่จะรอการรับรู้ในช่วง 3-18 เดือนข้างหน้า
รายได้จากระบบสาธารณูปโภครวมถึงค่าบริการระบบสาธารณูปโภคในนิคมอุตสาหกรรม กำไรและเงินปันผลจากบริษัทร่วมด้านพลังงานและสาธารณูปโภค และค่าบริการระบบสาธารณูปโภคและบริการอื่นๆ ที่เพิ่มขึ้นเป็นจำนวน 552.7 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 4 รายได้จากเช่าที่รวมถึงการเช่าโรงงานสำเร็จรูป การให้เช่าฐานวางท่อ และการให้เช่าออฟฟิสสำนักงานลดลงเป็นจำนวน 231.5 ล้านบาทจากการลดลงของรายได้จากการให้บริการที่ลดลง หรือลดลงร้อยละ 17 รายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์ที่รวมถึงการขายโรงงานสำเร็จรูปการขายโครงการที่พักอาศัย ที่ดินและอสังหาริมทรัพย์อื่นๆ เพิ่มขึ้นเป็นจำนวน 494.8 ล้านบาทจาก 8.5 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 5741
บริษัทฯ มีกำไรขั้นต้นจำนวน 794.6 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 36 จากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา มีกำไรจากการดำเนินงาน (EBITDA) จำนวน 585.0 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 55 ด้วยอัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin) และอัตรากำไรจากการดำเนินงาน (EBITDA Margin) ที่ 39% และ 28% ตามลำดับ
เหตุการณ์สำคัญในครึ่งปีแรก ปี 2553
? บริษัทฯ มียอดขายที่ดินอุตสาหกรรมทั้งสิ้น จำนวน 623 ไร่ จากจำนวนสัญญาทั้งสิ้น 20 สัญญาโดยในจำนวนนี้เป็นลูกค้าใหม่จำนวน 10 รายและจากการขยายกิจการของลูกค้ารายเดิมจำนวน 10 ราย รวมจำนวนลูกค้าจนถึงปัจจุบันทั้งสิ้น 417 ราย จาก 622 สัญญา เป็นลูกค้าในกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์จำนวน 144 ราย
? บริษัทฯ ทริสเรตติ้งได้จัดอันดับของบริษัทฯ ที่ ‘A-‘ และเปลี่ยนการจัดอันดับภาพรวมจาก ‘Negative’ เป็น ‘Stable’ เมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 2553
งบดุลรวมสิ้นสุด วันที่ 30 มิถุนายน 2553
ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2553 บริษัทฯ ได้แสดงสินทรัพย์รวม จำนวน 16,111 ล้านบาท หนี้สินรวมจำนวน 7,440 ล้านบาท และส่วนของผู้ถือหุ้น จำนวน 8,671 ล้านบาท สำหรับสัดส่วนของหนี้สินสุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ อยู่ในระดับที่ 0.50 ต่อ 1 โดยมีเงินสดและเงินฝากเป็นจำนวน 3,101 ล้านบาท
รายละเอียดเพิ่มเติมของบริษัทเหมราช สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.hemaraj.com หรือ www.theparkresidence.co.th หรือติดต่อทางอีเมล์ที่ invest@hemaraj.com
นาย เผ่าพิทยา สมุทรกลิน
ผู้อำนวยการ — นักลงทุนสัมพันธ์ และวางแผน
บมจ. เหมราชพัฒนาที่ดิน
ชั้น 18 อาคาร ยู เอ็ม เลขที่ 9 ถนน รามคำแหง
สวนหลวง กรุงเทพฯ 10250 ประเทศไทย
โทรศัพท์: 662 - 719 - 9555 - 9
โทรสาร: 662 - 719 - 9546 - 7
สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม กรุณาติดต่อ
บริษัท แบรนด์คอม คอนซัลแทนส์ จำกัด
คุณไพลิน บูรณะมิตรานนท์ / คุณเสาวรินทร์ ทองทัศน์
โทร. 0-2642-9620 (12 สาย) โทรสาร 0-2642-9622 www.hemaraj.com