กรุงเทพฯ--19 ก.ค.--ปภ.
กระทรวงมหาดไทย โดยกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เตือนประชาชนในพื้นที่เสี่ยงภัยจังหวัดสระแก้ว จันทบุรี ตราด ระนอง และพังงา ให้ระมัดระวังอันตรายจากฝนตกหนัก น้ำท่วมฉับพลัน และน้ำป่าไหลหลาก พร้อมกำชับเจ้าหน้าที่ให้ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด ส่วนสถานการณ์อุทกภัยที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี เข้าสู่ภาวะปกติแล้ว โดยได้ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เร่งสำรวจความเสียหายและช่วยเหลือผู้ประสบภัยโดยเร่งด่วนแล้ว
นายอนุชา โมกขะเวส อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) เปิดเผยว่า อิทธิพลของมรสุมตะวันตกเฉียงใต้กำลังแรงพัดปกคลุมทะเลอันดามันและอ่าวไทย ทำให้ทั่วทุกภาคมีฝนตกชุกหนาแน่นกับมีฝนตกหนักถึงหนักมากในบางพื้นที่ โดยเฉพาะบริเวณพื้นที่เสี่ยงภัยในจังหวัดสระแก้ว จันทบุรี ตราด ระนอง และพังงา จึงขอเตือนประชาชนในพื้นที่เสี่ยงภัย ให้ระมัดระวังอันตรายจากภาวะน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลากและลมกระโชกแรงในบางพื้นที่ ในช่วงวันที่ 21-24 ก.ค. 2550 สำหรับคลื่นลมในทะเลอันดามันและอ่าวไทยตอนบนยังคงมีกำลังแรงทะเลมีคลื่นสูง2-3 เมตร ขอให้ชาวเรือควรระมัดระวัง เรือเล็กควรงดออกจากฝั่ง เบื้องต้นกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยได้แจ้งให้จังหวัดที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบและศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยในพื้นที่เสี่ยงภัยเตรียมการป้องกันและแก้ไขปัญหาอุทกภัย วาตภัย ดินถล่มและคลื่นลมแรง โดยแจ้งให้ประชาชนระมัดระวังอันตรายจากน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก ในระยะ 5-6 วันนี้ และให้จัดเตรียมเจ้าหน้าที่ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด รวมทั้งเตรียมเครื่องมืออุปกรณ์ให้พร้อมช่วยเหลือผู้ประสบภัยได้ทันต่อเหตุการณ์
ส่วนสถานการณ์อุทกภัยในช่วงที่ผ่านมา กรมปภ.ได้สำรวจไปยังจังหวัดต่างๆเบื้องต้นพบว่าระหว่างวันที่ 8-18 กรกฎาคม 2550 มีพื้นที่ประสบภัยน้ำท่วม 1 จังหวัด 1 อำเภอ 1 กิ่งอำเภอ 4 ตำบล 28 หมู่บ้าน ได้แก่ จังหวัดสุราษฎร์ธานี ราษฎรได้รับความเดือดร้อน 2,900 คน 617 ครัวเรือน อพยพราษฎรไปอยู่ในพื้นที่ปลอดภัย 320 คน 84 ครัวเรือน มูลค่าความเสียหาย 5,040,000 บาท ขณะนี้สถานการณ์อุทกภัยได้คลี่คลายเข้าสู่ภาวะปกติแล้ว สำหรับการให้ความช่วยเหลือ กรมปภ.ประสานไปยังผู้ว่าราชการจังหวัด หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พร้อมสั่งการหน่วยงานในสังกัด จัดเจ้าหน้าที่เข้าช่วยเหลือประชาชนที่ประสบภัยในเบื้องต้น พร้อมสนับสนุนเรือท้องแบน 5 ลำ รถบรรทุก 8 คัน และอาหารและน้ำดื่มสะอาด เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนรวมทั้งเร่งสำรวจความเสียหายและให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยตามระเบียบกระทรวงการคลังฯโดยด่วน สุดท้ายนี้ หากประชาชนในพื้นที่ใดประสบความเดือดร้อนจากสาธารณภัยติดต่อขอความช่วยเหลือได้ที่ สายด่วน 1784 ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อประสานขอให้การช่วยเหลือโดยด่วนต่อไป