กรุงเทพฯ--6 มี.ค.--เจ เอส แอล
แม้จะได้รับการยกย่องว่า มีความเก่งกล้าสามารถที่สานต่อธุรกิจนับแสนล้านบาท ได้ยาวนานจนถึง 129 ปี ทำให้กลุ่มบริษัท บีกริม แอนด์ โก ฝ่าวิกฤตผ่านมาได้ถึง 5 แผ่นดิน นับแต่รัชสมัยรัชกาลที่ 5 มิสเตอร์ ฮาราลด์ ลิงค์ ประธานกรรมการ กลุ่มบริษัท บีกริม แอนด์ โก ทายาทรุ่นที่สามของชาวเยอรมันตระกูลลิงค์ ก็ยังคงยกย่องว่าความสำเร็จที่ได้มาทุกวันนี้ เป็นเพราะพระเจ้าช่วยและโชคเข้าข้าง!!
มิสเตอร์ ฮาราลด์ ลิงค์ หรือ หรัณ เลขนะสมิทธิ์ บอกกับ “สุริวิภา” ว่า “ความสำเร็จของบีกริมฯ ได้มาเพราะพระเจ้าและโชคครับ อาจมีคนบอกว่าโชคขึ้นอยู่กับดวง วันเกิด ฮวงจุ้ย แต่ทั้งหมดต้องขึ้นอยู่กับว่าคุณช่วยตัวเองแค่ไหน ขยันทำงานเยอะมากขึ้นหรือเปล่า เพราะทุกศาสนาสอนคล้ายกัน ไม่ควรคิดว่าตัวเองเก่ง แต่ควรพยามยามทำความดี เพื่อให้โชคดีเข้าข้างเรา คุณลุงและคุณพ่อบอกเสมอว่าเราต้องทำดีตอบแทนบุญคุณให้กับเมืองไทย เพราะทุกอย่างที่เรามีมาจากเมืองไทย ผมเองได้รับสัญชาติไทย ได้รับพระราชทานนามจากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ คุณพ่อเป็นกงสุลอยู่ 40 ปีได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ช้างเผือกชั้นที่ 2 คุณป้าได้เป็นคุณหญิงชาวต่างชาติคนแรกของเมืองไทย คุณปู่เป็นกงสุลกิตติมศักดิ์ตั้งแต่รัชกาลที่ 5 ผมถือว่าทั้งหมดเป็นมรดกที่ได้รับ ผมอยากทำให้ดี เห็นโอกาสที่จะทำอะไรได้ก็อยากทำ อยากให้บริษัทอยู่ต่อนานๆ และเจริญเติบโต ต่อไปเรื่อยๆ ตอนนี้ผมมีลูก 2 คน อยากให้ผู้บริหารคอยช่วยลูกต่อไป”
มิสเตอร์ ฮาราลด์ ลิงค์ ยังได้เล่าย้อนถึงความป็นมาของ บีกริม แอนด์ โก ที่สืบทอดยาวนานมา 129 ปี จนปัจจุบันมีสินค้าหลากหลายประเภท อาทิ แอร์แคเรีย โรงไฟฟ้า ธุรกิจด้านสุขภาพ ยา สปา เครื่องมือแพทย์ เสื้อผ้า ล็อกซิทาน เบอเบอรี่ เครื่องสำอาง สินค้าหรูหรา ระบบขนส่ง ทั้งรถไฟฟ้าBTS และรถไฟใต้ดิน อาคารให้เช่า เลนส์ สินค้ายี่ห้อซีเมนต์ ขนส่ง อสังหาริมทรัพย์ ฯลฯ ล่าสุด ผลิตและส่งออกรถตุ๊กตุ๊กยี่ห้อ “โมนิก้า” “เมื่อ รัชกาลที่ 5 เภสัชกรชาวเยอรมันและพ่อค้าชาวออสเตรียตั้งร้ายขายยา สยาม ดิสเปนซารี่ ขึ้นแถวปากคลองตลาด ต่อมาคุณปู่ อดอล์ฟ ลิงค์ซึ่งเป็นเภสัชกรก็เข้ามาบริหาร ร่วมหุ้น และซื้อกิจการมาเป็นของตัวเองในที่สุด โดยมีธุรกิจด้านห้างสรรพสินค้ และเทรดดิ้งเพิ่มขึ้นอีก ต่อมาคุณลุง เฮอร์เบิร์ต ลิงค์ และคุณพ่อ ดร.เกฮาร์ด ลิงค์ ได้ร่วมกันดำเนินธุรกิจต่อ”
ผู้บุกเบิกทั้ง 2 รุ่น ต่างล้วนต้องฝ่าวิกฤตภัยสงครามโลก ทั้งครั้งที่ 1 และ 2 ครั้งแรกทั้งครอบครัวถูกเชิญเข้าคุกที่อินเดีย ครั้ง 2 โชคดีถูกขังในบ้านตัวเองที่เมืองไทย แต่กว่าจะพลิกฟื้นธุรกิจที่ถูกยึดก็ต้องใช้เวลาพอสมควร จนในที่สุดสถานการณ์บริษัทดีขึ้นเรื่อยๆ จากการทำงานประสานกันอย่างลงตัวของ 2 พี่น้องตระกูลลิงค์ และเริ่มมอบหมายให้ มิสเตอร์ ฮาราลด์ ลิงค์ มาดูแลกิจการต่อ “ผมมาอยู่เมืองไทยตอนอายุ 24 เริ่มจากเป็นผู้ช่วย ผมไปเรียนภาษาไทยที่เอยูเอ หัดพาลูกค้าคนไทยไปเยอรมัน จนตอนนี้อ่านภาษาไทยและเขียนชื่อตัวเองได้ ผมว่าถ้าเราเข้าใจภาษาไทยก็จะเข้าใจคนไทยได้มากยิ่งขึ้น เพราะคนไทยให้ความสำคัญกับความรู้สึกมาก จึงมีคำที่เกี่ยวกับใจ เยอะมาก คุณพ่อกับคุณลุงให้ผมดูแลแทนฝรั่งที่หมดสัญญาแล้วกลับประเทศไป ตอนต้นๆ ก็ยังงงๆ เพราะจบธุรกิจมา ไม่ได้จบวิศวกรรม ต้องมาเรียนรู้การบริหาร การตลาด และวัฒนธรรม ซึ่งของเยอรมันกับไทยต่างกันมาก แต่ตอนนี้เพื่อนบอกว่าผมเป็นคนไทยมากกว่าเป็นคนเยอรมัน แรกๆต้องพื้นที่เอง ไปภูเก็ต ไปเมืองกาญจน์ ไปดูเครื่องจักรของเราในเหมืองแร่ ต่อมาผมเริ่มค่อยๆ แยกบริษัทออกเป็นกลุ่มๆ อยากให้ลูกค้าเห็นว่าเรามีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน เปลี่ยนจากการนำเข้าทั้งหมดมาเริ่มผลิตเอง เริ่มอาศัยบริษัทร่วมทุน มีสินค้ายี่ห้อของตัวเอง ขยายทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ โรงไฟฟ้า สปา สามล้อ และอีกมากมาย”
“จนปี 1998 วิกฤตเศรษฐกิจฟองสบู่แตก ธุรกิจต่างๆในตลาดหายไปหมด เครื่องยนต์อุตสาหกรรม เครื่องปรับอากาศยอดตกลง เรามีโรงไฟฟ้าที่กำลังสร้างเป็นโรงแรก รายได้เข้าเป็นเงินบาท แต่เรากู้เงินเป็นเหรียญสหรัฐ แล้วดอกเบี้ยขึ้น 2-3 เท่า ธนาคารโดนปิด ตอนนั้นไม่รู้จะอยู่รอดยังไง ไปคุยกับเพื่อนของคุณพ่อท่านเป็นประธานธนาคาร ท่านบอกว่าทำงานต่อไปอย่าตื่นตระหนก อย่ากังวลมากจนเกินไป ขนาดนายธนาคารยังพูดแบบนั้น เราจึงค่อยๆมาดู แล้วแก้ไขปัญหาที่ละบริษัท เมื่อ 20 ปีก่อนหน้านี้ก็เคยมีปัญหาหนักๆ คนไทยก็ยังร่วมมือช่วยกันเต็มที่ อยากให้บริษัทอยู่รอด เราจึงรอดมาได้ เพราะทุกคนให้ความร่วมมือ ช่วยกันออกความคิดเห็น ช่วยกันประหยัด ช่วยกันขาย คนที่ได้มากกว่า 20,00 บาท ยอมลดเงินเดือน บางบริษัทที่ไม่ไหวจริงๆ ก็ต้องขายต้องเอาคนออก ก็ค่อยๆทำไม่ได้ทำทันที หนักใจมากในการบอกกับลูกน้องแต่ก็ต้องเล่าความจริงให้เขาฟัง ล่าสุดที่ผมจบ วปอ. มีสัมมนาเรื่องเศรษฐกิจพอเพียง คิดเหมือนกันว่าถ้าเรารู้หลักการแบบนี้ในตอนนั้นก็คงไม่วิกฤตขนาดหนักขนาด แต่ตอนนั้นเราอายุยังน้อยก็หวังอยากรวยอย่างเดียว ใช้เวลาอยู่ 3-4 ปี จึงผ่านมาได้ อีกเรื่องที่ถือว่าเราโชคดีมากๆ คือเรามีผู้ร่วมทุนที่ดีมากๆ ถามว่าคุณจะถอนตัวไหม เขาก็ไม่ถอย บางครั้งยังให้เงินกู้เอาเงินมาใส่ทุนเพิ่มให้ คุณน้าเคยบอกผมว่า หกล้มได้นะแต่ต้องลุกขึ้นมาสู้ต่อ ผมเชื่อว่าถ้าคนเห็นคุณไม่ยอมแพ้ เขาก็พร้อมจะเข้ามาช่วย”
ถึงวันนี้ นอกจาก มิสเตอร์ ฮาราลด์ ลิงค์ จะยังมุ่งมั่นดูแลธุรกิจ และทำงานองค์กรการกุศลเพื่อสังคมอย่างต่อเนื่อง เขาสร้างสมดุลแบ่งเวลาให้ความสุขส่วนตัวด้วยการเล่นกีฬาโปโล “ผมเล่นเรือใบ สกี กอล์ฟ แต่ชอบโปโลมากกว่า เพราะต้องเล่นเป็นทีม แล้วทีมสามารถเปลี่ยนผู้เล่นทั้ง 4 คนได้ ทำให้เรารู้จักคนได้หลากหลายผมขี่ม้ามา 20 ปี แต่เพิ่งเริ่มเล่นโปโลได้ 8 ปี แฮนดิแคป 0 เป็นแชมป์เยอรมัน 2 สมัย ทุกคนในครอบครัวเล่นโปโลเป็นทุกคน ผมส่งลูกชายและเด็กคนหนึ่งอายุเพิ่ง 17 ไปเรียนกับครูที่เก่งที่สุดในโลก ให้เขากลับมาสอนม้า สอนคนไทยให้ได้ อยากให้เราเก่งเท่าคนมาเลเซีย ที่น่ายินดีคือ เดือนเมษายนนี้จะมีการแข่งขันครั้งแรกของเมืองไทยที่นำม้าเข้ามาเองถึง 100 ตัว เป็นการสร้างพันธมิตรทางการกีฬา เพราะต่างชาติเขาชอบสนามของเรามาก เขาอยากมาที่นี่” สุริวิภา จึงได้ไปเยือนสนามโปโลคลับที่พัทยา เพื่อชมและเชียร์การแข่งขัน โดยมี เซลิก ลูกชายรูปหล่อของ มิสเตอร์ ฮาราลด์ ลิงค์ เป็นไกด์นำทัวร์
ติดตามชมได้ใน “สุริวิภา” พุธที่ 7 มีนาคมนี้ เวลาดีสี่ทุ่มทางโมเดิร์นไนท์ทีวี
ฝ่ายประชาสัมพันธ์
ต้องการข้อมูลเพิ่มติดต่อ วิรดา อนุเทียนชัย (วิ) 081 - 804 - 5493
สามารถคลิกดูภาพประกอบได้ที่ www.thaipr.net