KTAM เปิด2ทางเลือกลงทุน ทองคำ —ตราสารหนี้ตปท.

ข่าวเศรษฐกิจ Tuesday August 24, 2010 15:33 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--24 ส.ค.--KTAM นายสมชัย บุญนำศิริ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทได้เพิ่มทางเลือกสำหรับการลงทุนให้กับนักลงทุน ในสัปดาห์นี้ จึงเปิดจำหน่าย 2 กองทุน ได้แก่ กองทุนเปิดเคแทม โกลด์ ฟันด์ ( KTAM Gold Fund : KT-GOLD ) จำหน่ายช่วง IPO ระหว่างวันที่ 24 สิงหาคม - 7 กันยายน 2553 มูลค่าโครงการ 2,000 ล้านบาท ในราคา 10 บาทต่อหน่วย มูลค่าขั้นต่ำในการสั่งซื้อ 2,000 บาท เป็นกองทุนที่มีนโยบายการลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุน SPDR Gold Trust (กองทุนรวมหลัก) เพียงกองทุนเดียว โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าสินทรัพย์สุทธิของกองทุน โดยกองทุนรวมหลัก จัดตั้งขึ้นภายใต้กฎหมายของประเทศสวิสเซอร์แลนด์ และบริหารจัดการโดย World Gold Trust Services, LLC กองทุนรวมหลัก มีนโยบายมุ่งเน้นลงทุนในทองคำแท่ง เพื่อสร้างผลตอบแทนให้ใกล้เคียงกับผลตอบแทนของราคาทองคำ นอกจากนี้ กองทุนดังกล่าว ได้จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ นิวยอร์ก ญี่ปุ่น ฮ่องกง และสิงคโปร์ ซึ่งบริษัทจัดการจะทำการซื้อขายหน่วยลงทุนของกองทุนดังกล่าว ในตลาดหลักทรัพย์ ประเทศ สิงคโปร์ และใช้สกุลเงินดอลล่าร์สหรัฐ ส่วนที่เหลือลงทุนในตราสารหนี้ ที่มีลักษณะคล้ายเงินฝาก หรือตราสารหนี้ทั่วไป หรือเงินฝากในสถาบันการเงินตามกฎหมายไทย ที่มีอายุตราสารหรือสัญญา หรือระยะเวลาการฝากเงิน แล้วแต่กรณี ต่ำกว่า 1 ปี เพื่อสำรองเงินไว้สำหรับดำเนินงานของกองทุน รอการลงทุนในต่างประเทศ หรือรักษาสภาพคล่องของกองทุน ตามที่คณะกรรมการก.ล.ต.กำหนด กองทุนจะลงทุนในสัญญาซื้อขายล่วงหน้า เพื่อป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 25 ของมูลค่าเงินลงทุนในต่างประเทศ นายสมชัย กล่าวต่อไปว่า ทองเป็นสินทรัพย์เพื่อการลงทุนที่ได้รับความสนใจมากที่สุดประเภทหนึ่งในช่วงที่ผ่านมา เนื่องจากราคาทองปรับตัวขึ้นมาก จากประมาณ $400/oz ในปี 2547 มาอยู่ที่ประมาณ $1,200/oz ในปัจจุบัน (7,500 บาท/ทอง 1 บาท มาเป็น 18,500 บาท/ ทอง 1 บาท) ซึ่งผู้ซื้อทอง หรือผู้ลงทุนในทองในช่วงเวลาดังกล่าวจะได้กำไรถึงร้อยละ 200 ซึ่งเป็นระดับกำไรที่สูงมาก เมื่อลองเทียบกับผลตอบแทนจากการลงทุนในหุ้น (SET Index) ในช่วงเวลาเดียวกัน ผู้ลงทุนจะได้ผลตอบแทนประมาณร้อยละ 40 อย่างไรก็ตาม ราคาทองได้ปรับตัวขึ้นมากแล้ว ส่งผลให้นักลงทุนบางส่วนมีความกังวลเกี่ยวกับราคาทองในอนาคต ราคาทองมักถูกผลักดันจากปัจจัยพื้นฐานหลายปัจจัย ได้แก่ ภาวะเศรษฐกิจ ค่าเงินดอลล่า ราคาสินค้าโภคพัณฑ์โดยรวม อัตราดอกเบี้ยและเงินเฟ้อ ความต้องการลงทุนของนักลงทุน และความต้องการลงทุนเพื่อเป็นเงินทุนสำรองของธนาคารกลาง ปัจจัยทางด้านภาวะเศรษฐกิจ โดยปรกติแล้วราคาทองจะปรับตัวสูงขึ้นเมื่อนักลงทุนมีความกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจ หรือความเสี่ยงของประเทศ (Economic and Sovereign Risks) ราคาทองปรับตัวขึ้นจาก$650/oz เป็น $950/oz ในปี 2550 จากความเสี่ยงจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในขณะที่ราคาทองปรับขึ้นจาก $1,090/oz เป็น $1,230/oz ในช่วงต้นปี 2553 จากความกังวลเกี่ยวกับปัญหาหนี้ภาครัฐในยุโรป คาดการณ์ว่า ความกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจน่าจะเป็นปัจจัยที่ส่งผลให้ราคาทองปรับตัวขึ้นได้อีกในช่วงครึ่งหลังของปี 2553 และปี 2554 ปัจจัยทางด้านทางค่าเงิน ราคาทองมักจะปรับตัวผกผันกับค่าเงินดอลล่า ซึ่งเราคาดการณ์ว่าค่าเงินดอลล่ามีแนวโน้มที่จะอ่อนค่าลงอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากเศรษฐกิจสหรัฐฯมีแนวโน้มที่จะชะลอตัวลงในช่วงครึ่งหลังของปี 2553 ส่งผลให้นักลงทุนคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐฯมีแนวโน้มที่จะอัดฉีดเม็ดเงินเข้าไปในระบบเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น ซึ่งปัจจัยดังกล่าวน่าจะเป็นปัจจัยที่ทำให้ราคาทองปรับตัวสูงขึ้นได้ในช่วงปี 2554-2555 ปัจจัยทางด้านดอกเบี้ย และเงินเฟ้อ อัตราดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐฯมีแนวโน้มที่จะอยู่ในระดับ 0-0.25% จนถึงปี 2554 ในขณะที่ภาวะเงินเฟ้อมีแนวโน้มที่จะปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะเงินเฟ้อจากราคาอาหารที่ปรับตัวสูงขึ้น สถานการณ์ ดังกล่าวส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยอยู่ต่ำกว่าอัตราเงินเฟ้อ (Negative Real Interest Rate) โดยปรกติ เมื่อเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวราคาทองจะปรับตัวขึ้นประมาณร้อยละ 20-40 ต่อปี ปัจจัยจากความต้องการลงทุนในทองมีแนวโน้มที่จะปรับสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งความต้องการลงทุนในทองเป็นหนึ่งปัจจัยหลัก ที่ส่งผลให้ราคาทองปรับสูงขึ้น นอกจากนี้ ความต้องการซื้อทองจากธนาคารกลางยังเป็นปัจจัยที่สำคัญที่ส่งผลให้ราคาทองปรับสูงขึ้นมาก โดยในปัจจุบันทองยังเป็นสัดส่วนที่น้อยมากในเงินทุนสำรองของธนาคารทั่วโลก ซึ่งสัดส่วนดังกล่าวมีแนวโน้มที่จะสูงขึ้นในอนาคต เนื่องจากค่าเงินดอลล่ามีแนวโน้มที่จะอ่อนค่าลง ส่งผลให้ธนาคารกลางต่างๆต้องกระจายการลงทุนไปในสินทรัพย์อื่นๆรวมถึงทองคำ จากปัจจัยดังกล่าวส่งผลให้ราคาทองมีโอกาสที่จะปรับตัวขึ้นได้ถึง $1,350 - $1,500 /oz ใน12-24 เดือน นอกจากนี้ บริษัทยังเปิดจำหน่าย กองทุนเปิดกรุงไทยตราสารหนี้ เอฟไอเอฟ 16 ( KTFF16 ) อายุโครงการ 2 ปี 3 เดือน มูลค่า 900 ล้านบาท ระหว่างวันที่ 25-31 สิงหาคม 2553 โดยกองทุนจะลงทุนในตราสารหนี้ต่างประเทศ ในสัดส่วนสถาบันละ 25% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน ประกอบไปด้วย พันธบัตรของธนาคาร First Gulf Bank เป็นธนาคารที่มีสินทรัพย์ใหญ่เป็นอันดับ 4 ใน UAE , ลงทุนใน TAQA Abu Dhabi National Energy เป็นบริษัทพลังงานในรัฐอาบู ดาบีโดยมีรัฐบาล อาบูดาบี เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ผ่านหน่วยงานภาครัฐ , ลงทุนใน VTB Capital SA เป็นธนาคารขนาดใหญ่อันดับ 2 ของรัสเซียโดยมีผู้ถือหุ้นเป็นรัฐบาลรัสเซีย และลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลเกาหลีใต้ โดยผู้ลงทุนจะได้รับผลตอบแทนประมาณการที่ 3.10% ต่อปี

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ