กรุงเทพฯ--26 ส.ค.--สหมงคลฟิล์ม
จากวรรณกรรมสุดอมตะ สู่ภาพยนตร์โศกนาฏกรรมรักอันยิ่งใหญ่
ละเมียดฝีมือการกำกับในรอบกว่าทศวรรษโดย
“หม่อมหลวงพันธุ์เทวนพ เทวกุล”
ทุ่มเทพลังการแสดงอันเหนือชั้นจากทีมนักแสดงแถวหน้า
กับบทบาทที่ลึกซึ้งที่สุดในชีวิตของ
“อนันดา เอเวอริงแฮม | เฌอมาลย์ บุญยศักดิ์ | ธีรพงศ์ เหลียวรักวงศ์”
ดำดิ่งสู่ห้วงรักและตัณหา...16 กันยายนนี้
กำหนดฉาย 16 กันยายน 2553
แนวภาพยนตร์ พีเรียด-ดราม่า
บริษัทผู้สร้าง-จัดจำหน่าย สหมงคลฟิล์ม อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ( www.sahamongkolfilm.com )
อำนวยการสร้าง สมศักดิ์ เตชะรัตนประเสริฐ
ควบคุมงานสร้าง ม.ล. พันธุ์เทวนพ เทวกุล, เติมพันธ์ มัทวพันธุ์
กำกับภาพยนตร์ ม.ล. พันธุ์เทวนพ เทวกุล
บทภาพยนตร์ ม.ล. พันธุ์เทวนพ เทวกุล (ดัดแปลงจากบทประพันธ์ของ "เรียมเอง")
กำกับภาพ ธีระวัฒน์ รุจินธรรม
ลำดับภาพ สุนิตย์ อัศวินิกุล, พรรนิภา กบิลลิกะวานิชย์
ออกแบบงานสร้าง สิรนัท รัชชุศานติ
ออกแบบเครื่องแต่งกาย นพดล เดโช, ทศฤทธิ์ สามิภักดิ์, ธีรพันธุ์ จันทร์เจริญ
ควบคุมการแต่งหน้า-แต่งหน้าเอฟเฟ็คต์ มนตรี วัดละเอียด
แต่งหน้า พิชานนทท์ รัตนกมลกานต์
ทำผม เอก รัตนเสถียร, นพรัตน์ สุริโย
ดนตรีประกอบ จำรัส เศวตาภรณ์
เพลงประกอบ “เพลงชั่วฟ้าดินสลาย” ประพันธ์โดย ดร. แมนรัตน์ ศรีกรานนท์
ขับร้องโดย เจนนิเฟอร์ คิ้ม
ตัวอย่างภาพยนตร์ http://www.youtube.com/watch?v=IF0cecVhKkw
เว็บไซต์ภาพยนตร์ http://www.eternity-themovie.com
ทีมนักแสดง อนันดา เอเวอริงแฮม, เฌอมาลย์ บุญยศักดิ์, ธีรพงศ์ เหลียวรักวงศ์, เพ็ญเพชร เพ็ญกุล, ศักราช ฤกษ์ธำรงค์, ดารณีนุช โพธิปิติ
วังวน...เสน่หาอาฆาต
ท่ามกลางความสับสนวุ่นวายของกระแสการเมืองใหม่ซึ่งชาวสยามยังไม่คุ้นชินนัก เพียงหนึ่งปีหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี พ.ศ. 2475 นั้น “ยุพดี” (เฌอมาลย์ บุญยศักดิ์) ม่ายสาวพราวเสน่ห์หัวสมัยใหม่จากพระนครได้สมรสกับ “พะโป้” (ธีรพงศ์ เหลียวรักวงศ์) คหบดีม่ายชาวพม่าอายุคราวพ่อ เจ้าของกิจการป่าไม้อันมั่งคั่งแห่งกำแพงเพชร ทั้งคู่ได้เดินทางไปใช้ชีวิตฉันท์สามีภรรยาที่ปางไม้เขาท่ากระดาน ซึ่งยุพดีคิดว่าชีวิตของเธอได้ถูกเติมเต็มแล้วในทุกๆ ด้านจากพะโป้สามีที่เธอรัก
แต่ ณ ที่นั้นเอง ท่ามกลางพลังอำนาจแห่งไพรพฤกษ์และขุนเขา เมื่อยุพดีได้มาพบเจอกับ “ส่างหม่อง” (อนันดา เอเวอริงแฮม) หนุ่มพม่าผู้หล่อเหลาปานเทพบุตรแต่แสนบริสุทธิ์ในกามโลกีย์ผู้เป็นหลานชายของพะโป้ ต่างก็เกิดความสิเน่หาต่อกัน ยิ่งทั้งคู่ได้ชิดใกล้กันมากเท่าไร ก็ยิ่งเกิดอาการหวั่นไหวและอยากอยู่ด้วยกันมากขึ้นเท่านั้นตามสัญชาตญาณหนุ่มสาวที่ถูกกิเลสตัณหาครอบงำ โดยหารู้ไม่ว่า นี่คือ “จุดเริ่มต้นแห่งโศกนาฏกรรมรัก”
ในที่สุด ทั้งส่างหม่องและยุพดีก็มิอาจต้านทานความปรารถนาของตนและยอมตกอยู่ภายใต้อำนาจของกิเลสตัณหาอย่างถึงที่สุด ทั้งคู่ก้าวล้ำเส้นของการเป็นหลานและอาสะใภ้โดยลอบเป็น “ชู้” กัน
และแล้วเมื่อพะโป้ได้ล่วงรู้ความจริงอันน่าอัปยศเช่นนี้ เขาดูเหมือนจะสงบนิ่งอย่างผู้ผ่านประสบการณ์และเข้าใจโลกยิ่งนัก แต่จริงๆ แล้วในใจเขากลับร้อนรุ่มด้วยโทสะจริต ติดกับดักแห่งเสน่หาอาฆาตแบบถอนตัวไม่ขึ้น อย่างไม่คาดฝัน พะโป้ตัดสินให้ยุพดีเมียสุดที่รักได้อยู่กินกับส่างหม่องหลานรักอย่างเปิดเผย ภายใต้เงื่อนไขอันแสนเย็นยะเยือกด้วยการล่าม “โซ่ตรวน” คล้องแขนติดกัน เพื่อพันธนาการว่าทั้งคู่จะได้ครองรักกัน...ชั่วนิจนิรันดร์
ถึงเวลาแล้วที่พะโป้จะได้ทำในสิ่งที่เขาวางแผนไว้อย่างแยบคาย เพื่อสอนบทเรียนให้กับทั้งหลานและภรรยาอันเป็นที่รักให้รู้จักความหมายของ “ความรักชั่วนิรันดร์ การลงทัณฑ์ชั่วชีวิต”
ใครเลยจะหยั่งรู้ว่า วิถีชีวิตของ 3 ชายหญิงที่ต้องโคจรมาทาบทับกันในวังวนแห่งกิเลสตัณหานี้ จะนำพามาซึ่งโศกนาฏกรรมรักอันยิ่งใหญ่ที่ต้องพิสูจน์ด้วยเลือดเนื้อ จิตวิญญาณ และกาลเวลาตราบ “ชั่วฟ้าดินสลาย”
เปลื้องปม...โศกนาฏกรรมแห่งรัก
จากวรรณกรรมอมตะของ “เรียมเอง” หรือ “มาลัย ชูพินิจ” บรมครูแห่งวงการวรรณกรรมสมัยใหม่ของไทย สู่การถ่ายทอดผ่านจินตนาการอันประณีตละเอียดอ่อนและลึกซึ้งโดยผู้กำกับภาพยนตร์อารมณ์ละเมียด “หม่อมน้อย — ม.ล. พันธุ์เทวนพ เทวกุล” ที่จะพาผู้ชมย้อนยุคเข้าไปสู่ความรักอันน่าพิศวงและสะเทือนอารมณ์ของ “ส่างหม่อง” หนุ่มหล่อสูงศักดิ์ชาวพม่า, “ยุพดี” สาวสวยหัวสมัยใหม่ชาวพระนคร และ “พะโป้” มหาเศรษฐีสูงวัยผู้ทรงอิทธิพล ท่ามกลางฉากหลังธรรมชาติอันงดงามของป่าเขาลำเนาไพร ธารน้ำตก และสายหมอกในดินแดนชวนฝันอันไกลโพ้นที่ห่างไกลจากเปลวเพลิงอันร้อนระอุของการเปลี่ยนแปลงการปกครองของสยามประเทศในปี พ.ศ. 2475 เพื่อตีแผ่ ชำแหละ และพิสูจน์ให้เห็นว่า “ความรักอันแท้จริงของมนุษย์นั้นเป็นเช่นไร”
“คือความเด่นของงานเขียนในบทประพันธ์ทุกงานของ ‘ครูมาลัย ชูพินิจ’ เนี่ย คือท่านเป็นพหูสูตรมาก คือท่านไม่ได้เป็นนักประพันธ์ที่เขียนเฉพาะนวนิยายอย่างเดียว ท่านเขียนบทความ เขียนสารคดี เขียนเรื่องการเมือง ด้านกีฬา ด้านบันเทิง เพราะฉะนั้นเนี่ยทุกงานที่ท่านกลั่นกรองมาเนี่ยจะเป็นอมตะที่ถือความเป็นธรรมชาติของชีวิตมนุษย์เป็นหลัก งานของท่านจะสะท้อนแก่นแท้ของมนุษย์ มีการสะท้อนว่าอะไรคือคุณความดี อะไรคือสัจธรรม อะไรคือธรรมะ อะไรคือศีลธรรม อะไรคือกิเลส ซึ่งเรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องชีวิตของคนที่เป็นคนจริงๆ นวนิยายของท่านไม่ได้มีแค่นางเอก พระเอก ผู้ร้าย ตัวละครของท่านเป็นมนุษย์ที่มีเลือดเนื้อมีทั้งส่วนที่ดีและไม่ดี มีทั้งความกล้าหาญ ความขี้ขลาด ความเกลียด ความชัง เป็นมนุษย์ที่มีเลือดเนื้อมีวิญญาณ คือไม่ว่าสภาวะทางสังคมจะเปลี่ยนไปอย่างไร หรือความเจริญก้าวหน้าจะเป็นเช่นไร มนุษย์ก็ยังคงเป็นมนุษย์ที่ยังมีความหยิ่งทะนงในเกียรติภูมิ มีความต้อยต่ำ มีความรัก มีความริษยา มีความทะยานอยาก มีความปรารถนา ยังมีกิเลสตัณหาในทุกยุคทุกสมัยไม่ว่าอะไรจะเปลี่ยนไปยังไงก็ตาม”
“ชั่วฟ้าดินสลาย” เล่าเรื่องราวโศกนาฏกรรมชีวิตรักของสองหนุ่มสาวที่มี “ความแตกต่าง” และ “ความขัดแย้ง” กันอย่างสิ้นเชิงทั้ง “อุดมคติ” และ “ภูมิหลัง” ในชาติกำเนิด แต่ด้วยพลังอำนาจในธรรมชาติแห่ง “ความรัก” ทำให้ “เขา” และ “หล่อน” ต้องถูกจองจำด้วย “โซ่ตรวน” แห่งความเสน่หาและอาฆาตตราบจน “ชั่วฟ้าดินสลาย”
โดยครั้งนี้ถือเป็นการนำกลับมาสร้างใหม่เป็นครั้งที่ 4 ในรอบ 30 ปี (ถัดจากเวอร์ชั่นท้ายสุดเมื่อปี พ.ศ. 2523) ด้วยฝีมือสุดละเมียดของผู้กำกับชั้นครูอย่างหม่อมน้อยซึ่งได้ย้ำถึงการดัดแปลงวรรณกรรมอมตะเรื่องนี้ว่า ตนให้ความเคารพในบทประพันธ์และสร้างอย่างใกล้เคียงต้นฉบับมากที่สุดเท่าที่เคยมีมา ซึ่งจะให้ทั้งความบันเทิงและสะท้อนแง่คิดคติสอนใจอย่างร่วมสมัยด้วย
“คือโดยแท้แล้วไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าจะได้ทำหนังเรื่องนี้ ทั้งๆ ที่เป็นวรรณกรรมเรื่องสั้นที่ประทับใจมากตั้งแต่ยังเป็นเด็ก แล้วก็อ่านหลายครั้งหลายครามาก รวมทั้งภาพยนตร์ก็ได้ดูถึงสองครั้งที่เค้าสร้าง ก็ประทับใจมาก ไม่เคยคิดเลยว่าจะได้สร้างเป็นภาพยนตร์โดยตัวเองกำกับ เพราะทราบว่าใครๆ ก็อยากทำ ผู้กำกับหลายท่านก็อยากทำไม่ว่าจะเป็นคุณวิจิตร คุณาวุฒิ, ท่านมุ้ย, ยุทธนา มุกดาสนิท หรือเป็นเอก รัตนเรือง คือเรื่องนี้เป็นวรรณกรรมเรื่องสั้นที่ทุกๆ คนอยากจะทำ มีคุณค่าทางด้านความหมายของชีวิต ความหมายของความรัก แล้วก็ความเข้มข้นของตัวละคร แล้วก็เนื้อหาสาระที่ลึกซึ้งอันนี้ยังไม่นับรวมภาพและฉากในเรื่องที่น่าประทับใจ น่าตื่นตาตื่นใจ
ทีนี้พอต้องมาทำเองก็รู้สึกว่าเป็นภาระที่หนักอยู่เหมือนกันว่าจะต้องทำยังไงให้มันออกมาดีที่สุดเท่าที่จะดีได้ ก็ต้องกลับไปศึกษางานของครูมาลัยอีกครั้งหนึ่ง แต่ก็โชคดีที่เคยกำกับละครโทรทัศน์เรื่อง ‘แผ่นดินของเรา’ ซึ่งครูมาลัยท่านก็เป็นผู้แต่ง ก็จะมีความใกล้เคียงกันอยู่ โดยที่คิดว่าจะรักษาวรรณกรรมเรื่องสั้นนี้ให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ การดำเนินเรื่องเลยจะใกล้เคียงกับในหนังสือมากที่สุด มากกว่าในเวอร์ชั่นอื่นๆ ที่เคยทำมา คือเราซื่อตรงกับบทประพันธ์มาก อาจพูดได้ว่าเรารักษาบทประพันธ์ไว้ 80 เปอร์เซ็นต์เลยทีเดียว จะมีเพิ่มหรือขยายความขึ้นก็ไม่มากนัก เพราะมันเกิดจากบทประพันธ์ที่ดีเหลือเกิน ทั้งเนื้อหาสาระและอารมณ์ของเรื่อง มันสมบูรณ์มาก ไม่เพียงแต่สนุกในแง่เรื่องราวที่น่าติดตามอย่างเดียว ไม่ใช่แค่ประเด็นพระเอกเป็นชู้กับเมียของอาเท่านั้น แต่มันมีคติสอนใจที่สะท้อนว่ามนุษย์เป็นทาสของกิเลสตัณหาโดยไม่รู้ตัว อันนี้ก็ถือเป็นแก่นหลักของหนัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเชิงความรัก เพราะมนุษย์เราพอเกิดมีความรักก็จะเกิดความผูกพันอยากใกล้ชิดกับสิ่งที่ตัวเองรัก แรกๆ ก็จะเป็นสุขดี แต่ต่อๆ มามันก็จะเริ่มเบื่อหน่ายแล้วก็ต้องการอิสระ เพราะธรรมชาติของมนุษย์ก็คือเกิดคนเดียวและตายคนเดียว มนุษย์มีอิสรภาพ ตรงนี้เป็นสัจธรรม คือไม่ว่าสภาวะทางสังคมจะเปลี่ยนไปอย่างไร หรือความเจริญก้าวหน้าจะเป็นเช่นไร มนุษย์ก็ยังคงเป็นมนุษย์ที่ยังมีกิเลสตัณหาในทุกยุคทุกสมัย เพราะฉะนั้นเนี่ยแก่นแท้ของท่านก็ยังคงไม่มีคำว่าเชยเกิดขึ้นแน่นอน ถึงแม้จะเขียนเมื่อเกือบ 70 ปีที่แล้วก็ตาม หนังเรื่องนี้จึงท้าทายให้คนยุคปัจจุบันมาดูเป็นอย่างยิ่ง”
ด้วยเนื้อหาสุดเข้มข้นเช่นนี้ แน่นอนว่า “ทีมนักแสดงนำ” เป็นส่วนสำคัญอย่างยิ่งที่จะต้องนำพาผู้ชมให้ติดตามเรื่องราวไปได้ตั้งแต่ต้นจนจบ และเมื่อรายชื่อทีมนักแสดงหลักของเวอร์ชั่นใหม่นี้อย่าง “อนันดา เอเวอริงแฮม, เฌอมาลย์ บุญยศักดิ์, ธีรพงศ์ เหลียวรักวงศ์, เพ็ญเพชร เพ็ญกุล, ศักราช ฤกษ์ธำรงค์, ดารณีนุช โพธิปิติ” ได้รับการเปิดเผยออกมา กระแสความน่าจับตามองต่อภาพยนตร์เรื่องนี้ก็ยิ่งเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ
“บทของอนันดาก็คือ ‘ส่างหม่อง’ เป็นหนุ่มหล่อชาวพม่า การศึกษาดี ประพฤติตนอยู่ในศีลธรรมอันดี เป็นลูกบุญธรรมของพะโป้ เมื่อจบการศึกษาก็กลับมาช่วยพะโป้ทำงานในปางไม้อันใหญ่โต ส่วนบทของพลอยก็คือ ‘ยุพดี’ สาวงามที่ทันสมัยจากพระนครที่หนีอดีตของตัวเองมาใช้ชีวิตอยู่ในอาณาจักรของพะโป้ด้วยความรักและเต็มใจ แต่สุดท้ายเมื่อทั้งคู่มาเจอกันต่างก็ต้องตกอยู่ในวังวนของกิเลสตัณหาและพ่ายแพ้ให้กับมันโดยไม่รู้ตัว
เราคิดว่าทั้งคู่เหมาะสมที่สุดแล้ว ไม่ว่าจะด้วยรูปลักษณ์ คุณวุฒิ วัยวุฒิ เค้าได้หมดเลย คือทั้งคู่พิสูจน์แล้วในเรื่องการแสดงเพราะมีรางวัลการันตี เป็นนักแสดงรุ่นใหม่ที่มีฝีมือมากในยุคปัจจุบันนี้ และก็เป็นลูกศิษย์ของเราด้วยกันทั้งคู่ มันก็เห็นพัฒนาการทางการแสดงมาตลอด ด้วยความเหมาะสม ด้วยประสบการณ์ทางการแสดงของทั้งคู่ มันก็นึกถึงใครอื่นไปไม่ได้
ตัวละคร ‘พะโป้’ นี่คิดหลายคนมากว่าใครจะเหมาะ แต่อย่าง ‘คุณบี๋ ธีรพงศ์ เหลียวรักวงศ์’ ที่เลือกมาเพราะด้วยรูปลักษณ์ที่น่าเชื่อถือว่าเป็นพะโป้ได้ เป็นอาของอนันดาได้ เราจับคู่ถ่ายรูปด้วยกันก็ใช่เลย ตัวละครของพะโป้เนี่ย เราตีความแปลกไปกว่าทุกครั้ง คือถ้าเป็นชายแก่น่าเกลียดเนี่ย มันก็จะสะท้อนให้เห็นว่า ยุพดีแต่งงานด้วยเพราะเรื่องเงินอย่างเดียว ซึ่งเราคิดว่าทำให้เรื่องมัน distort ไปได้ แต่เวอร์ชั่นนี้จะรักด้วยเพราะเป็นผู้ชายที่มีเสน่ห์ มีอำนาจ พร้อมกับความสดของตัวคุณบี๋เองด้วย แกยังสดกับภาพยนตร์อยู่มาก ก็เป็นอะไรที่น่าสนใจมาก
‘ทิพย์’ (ศักราช ฤกษ์ธำรงค์) กับ ‘นิพนธ์’ (แจ๊บ เพ็ญเพชร เพ็ญกุล) เนี่ย ระยะหลังๆ ทั้งคู่ทำงานกับเรามาตลอดทั้ง เราคิดว่า ตัวนิพนธ์ที่เป็นตัวเล่าเรื่องเนี่ยน่าจะเป็นคนที่มีวัยสามสิบกว่า ดูเป็นนักคิด เป็นคนนิ่งๆ ซึ่งแจ๊บก็ตรงตามคาแร็คเตอร์ เป็นตัวละครที่พูดน้อย ดูน่าเชื่อถือ ด้วยวัย ด้วยผิวพรรณรูปลักษณ์
ส่วนศักราช เราก็เลือกด้วยรูปลักษณ์เหมือนกัน ด้วยความที่ทิพย์เป็นคนคล้ำ เป็นผู้ชายแมนๆ เป็นคนมาจากพระนคร มาเป็นหัวหน้าคนงานของพะโป้ เป็นคนแกร่ง ผ่านชีวิตมาเยอะ ดูแกร่ง ดูซื่อ เป็นคนจริงจังแต่ซื่อ ตอนแรกศักราชเนี่ยเราก็ยังไม่ตัดสินใจ จนกระทั่งลองเติมหนวดให้เค้าเข้าไป ก็ใช่เลย มันมีความเป็น ‘ประจวบ ฤกษ์ยามดี’ อยู่หน่อยๆ เพราะคุณประจวบเนี่ยได้รางวัลตุ๊กตาทองจากบททิพย์ เมื่อซัก 50 ปีที่แล้ว ก็ตัดสินใจได้เลยว่าใช่แน่ๆ ละ
ส่วนตัว ‘มะขิ่น’ (ท็อป ดารณีนุช โพธิปิติ) เป็นตัวที่เราเขียนเพิ่มขึ้นมา ในบทประพันธ์พูดถึงนิดเดียวว่า เป็นคล้ายๆ กับแม่บ้านที่รู้เรื่องราวของส่างหม่องกับยุพดี เราก็เลยสร้างตัวละครตัวนี้ให้มันมีน้ำหนักหน่อย เหมือนเป็นตัวละครนางบำเรอของพะโป้ แต่แก่แล้ว เลยโดนปลดระวางไปเป็นแม่บ้าน แต่ตัวนี้ก็ยังรักและซื่อสัตย์ต่อพะโป้มาก การเลือกท็อปก็ด้วยฝีมือการแสดงของเค้าโดยที่ให้เค้าเปลี่ยน ไม่ให้เล่นบทตลกเลย ให้เล่นบทชีวิตอย่างเดียว
คือตัวละครทุกตัวเนี่ยจะเลือกตรงตามคาแร็คเตอร์จริงๆ เป็นหลักทุกตัว ซึ่งพอทำเรื่องนี้เสร็จสมบูรณ์แล้ว เราก็คิดว่าภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นมาสเตอร์พีซ เป็นงานชิ้นโบว์แดงของนักแสดงทุกคน คือพวกเขาสามารถถ่ายทอดตัวละครออกมาได้อย่างครบถ้วนอย่างมีชั้นเชิงทุกวินาทีเลยทีเดียว”
แม้จะได้นักแสดงมากฝีมือมาร่วมงาน แต่จุดเด่นในการทำงานของผู้กำกับอย่างหม่อมน้อยก็คือ นักแสดงทุกคนจะต้องมีการซักซ้อมอ่านบททำความเข้าใจในตัวละครและเรื่องราวแบบฉากต่อฉากไปตลอดทั้งเรื่องเพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมก่อนการถ่ายทำนั่นเอง ซึ่งลักษณะการซ้อมก่อนการแสดงทั้งเรื่องแบบนี้ มักจะไม่ค่อยเห็นในการทำหนังไทยระยะหลังๆ ซักเท่าใดนัก
“ก็อาจเป็นเพราะว่าเราไม่เก่งไง ผู้กำกับบางคนเอานักแสดงมาแสดงตรงนั้นได้เลย ซึ่งเราไม่เก่งขนาดนั้น เพราะฉะนั้นเราถือว่าการทำงานต่างๆ จะเกิดขึ้นบนโต๊ะก่อน ให้ความสำคัญของพรีโพรดักชั่น (Pre-Production) เพื่อให้วันถ่ายทำจริงเนี่ยเป็นไปตามคิวที่เราวางไว้ เราชอบสบายมั้ง พอวันถ่ายเราค่อนข้างสบาย เพราะทุกอย่างมันโดนประชุม โดนเตรียมมาหมดแล้วเป็นอย่างดี อีกอย่างหนึ่งเราก็แก่แล้ว เราต้องการตรงต่อเวลา เพราะทุกอย่างมันต้องไปด้วยกันตลอด การบริหารงานกองถ่าย ทุกคนมันต้องสำคัญเท่าๆ กัน ไม่มีใครสำคัญกว่าใคร ไม่ว่าผู้กำกับจะใหญ่มาจากไหน ดารานักแสดงเป็นใครมาจากไหน ในปรัชญาการทำงานของเรา ทุกคนมีความสำคัญเท่ากัน เปรียบได้กับชีวิตมนุษย์ที่จะขาดอวัยวะใดอวัยวะหนึ่งไปไม่ได้ ขาดแขน ขา หู ตา จมูกไปไม่ได้ ต้องเดินไปพร้อมๆ กัน เราให้ความสำคัญเท่ากันหมด ช่วยกันได้ช่วยกัน เพราะไม่ใช่งานของเราคนเดียว เราไม่อยากเสียเวลาโดยใช่เหตุ เราอยู่นิ่งไม่ได้
สำหรับนักแสดงก็เป็นวิธีเดิม คือมีการซ้อมกันก่อน มีการทำความเข้าใจกันก่อน มีการมานั่งคุยกันก่อน แล้วแค่คุยมันก็ยังไม่พอ มันก็ต้องมี Class มีการฝึกฝน มีแบบฝึกหัดต่างๆ เพื่อจะทำให้นักแสดงแต่ละคนเข้าถึงตัวละครแต่ละตัวที่ตัวเองเล่น และเราก็ได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดี แล้วมันก็ไม่มีปัญหา ทุกอย่างก็เป็นไปตามคิวอย่างดี และก็ที่สำคัญคือนักแสดงทุกคนได้สร้างมิติใหม่มาก คือผลที่ได้ดีกว่าที่เราหวังไว้ซะอีก เป็นการแสดงที่พูดได้ว่าไม่เคยมีมาก่อนในยุคนี้ คือการที่นักแสดงได้เป็นตัวละครในเรื่องจริงๆ ได้ถ่ายทอดความมคิดอ่านและวิญญาณของตัวละครที่ตัวเองเล่นจริงๆ”
นอกจากทีมนักแสดงหลักชั้นนำแล้ว โปรดักชั่นเรื่องนี้ยังเป็นการรวมพล “คนเบื้องหลัง...มืออาชีพแถวหน้า” มาแสดงฝีมือในสายงานของตนกันอย่างเต็มที่อีกด้วย
“คือโดยส่วนใหญ่แล้วทีมงานหนังเรื่องนี้เนี่ยทุกคนมีอาชีพเป็นของตัวเองอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นการที่ทุกคนมาทำเรื่องนี้เนี่ยทำด้วยเพราะอยากทำเรื่อง ‘ชั่วฟ้าดินสลาย’ นี้ให้เป็นภาพยนตร์ที่ดี ทุกคนก็ลางานกันมาทุ่มเทกับหนังเรื่องนี้ ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายภาพ ฝ่ายเสื้อผ้า ฝ่ายศิลป์ หรือฝ่ายจัดการ ทุกคนอยากจะเห็นเรื่องนี้กลายเป็นภาพยนตร์ที่ดี
เรื่องการถ่ายภาพนี่ไว้ใจได้เลยกับตากล้อง “เปีย” (ธีระวัฒน์ รุจินธรรม) ผู้กำกับภาพที่ถ่ายภาพสวยมาก ทำงานไหลลื่นไปกับเราตลอด หนังไทยหลายๆ เรื่องในยุคหลังนี้ก็ได้ผู้กำกับภาพคนนี้แหละมาถ่ายภาพสวยๆ ให้อยู่บ่อยๆ ในแง่ของภาพเรื่องนี้ เราก็จะเน้นภาพที่จะเป็นกึ่งกวี สื่อออกมาด้วยภาพที่งาม เหมือนดูภาพเขียนภาพถ่ายที่สวยงาม เพราะฉะนั้นมันจะเป็นครั้งแรกที่เล่าเรื่องอย่างประณีตและละเอียดอ่อน ไม่ใช่แข็งๆ ไม่ใช่สะท้อนภาพชีวิตที่เหมือนจริงอย่างเดียว แต่จะเป็นภาพที่งามไปหมด เหมือนดูงานศิลปะที่งามชิ้นหนึ่ง
ทางเสื้อผ้าเองเนี่ยก็ได้ ‘อาจารย์แหลม’ (ธีรพันธุ์ จันทร์เจริญ) ซึ่งเป็นอาจารย์พิเศษทางด้านโบราณคดีที่ชำนาญทางด้านผ้าไทย ทางด้านเครื่องแต่งกายไทย แล้วก็ได้ ‘คุณโต้ง’ (นพดล เตโช) ซึ่งทำกับผมมาตลอดตั้งแต่ ‘สี่แผ่นดิน’, ‘ในฝัน’ คือทุกคนมาร่วมงานแล้วก็ศึกษาค้นคว้ามาเป็นอย่างดี แล้วก็ยังได้อาจารย์จากหลายๆ ที่ จากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่มาให้คำปรึกษาในทุกๆ อย่างที่เป็นศิลปะล้านนา
ในส่วนของเมคอัพก็ชัดเจนมาก เราได้ ‘อาจารย์ขวด มนตรี วัดละเอียด’ มาลุยเองเลย จริงๆ ท่านก็ไม่ต้องทำเองแล้วก็ได้เพียงแต่เป็นอาจารย์ชี้นิ้วก็ได้ ไม่ว่าจะเป็นใน ‘นเรศวรฯ’ หรือว่า ‘สุริโยไท’ ก็เป็นหัวหน้าแผนกเมคอัพที่คุมงานอย่างเดียว แต่เรื่องนี้เนี่ยท่านเองก็อยากจะลงมือทำด้วยตัวของท่านเอง เพราะรักงานวรรณกรรมเรื่องนี้ โดยไม่ใช้ลูกศิษย์เลยโดยท่านลงมือทำด้วยตัวท่านเองทุกๆ ฉาก และก็คือเรามีความตั้งใจตรงจุดเดียวกันหมดว่าอยากทำภาพยนตร์เรื่องนี้ให้สมบูรณ์ที่สุด
หรือแม้แต่ ‘เพลงชั่วฟ้าดินสลาย’ เองก็ได้ความกรุณาจากท่านองคมนตรี ‘อาจารย์แมนรัตน์ ศรีกรานนท์’ ซึ่งเป็นผู้ประพันธ์เพลงนี้เนี่ยได้อนุญาตให้นำเพลงนี้มาใช้ในภาพยนตร์เรื่องนี้ได้ แล้วก็ ‘คุณจำรัส เศวตาภรณ์’ ซึ่งไม่ได้ทำดนตรีประกอบมาเป็นเวลานานแล้วเนี่ยก็ได้กลับมาทำให้อีก แล้วก็ยังได้ ‘เจนนิเฟอร์ คิ้ม’ มาโชว์พลังเสียงร้องเพลงนี้ได้อย่างไพเราะมากๆ
ซึ่งโดยรวมแล้วเนี่ยทุกคนทำหนังเรื่องนี้เพราะว่าอยากเห็นหนังเรื่องนี้ออกมาดี ไม่ใช่ทำเพราะเป็นอาชีพที่ต้องทำเพื่ออยู่กิน แม้กระทั่งตัวเราเองก็ตามก็ทำเพราะอยากให้บทประพันธ์ชิ้นนี้ออกมาดี ต้องการถ่ายทอดออกมาให้มีคุณค่าทางภาพยนตร์ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ มันก็เลยเป็นความร่วมมือร่วมใจที่อยากทำงานศิลปะชิ้นนี้ออกมาให้ดีที่สุดให้เท่าที่ความสามารถของเราจะมีและของทุกคนจะมี”
ฉากและสถานที่ถ่ายทำในภาพยนตร์เรื่องนี้ เนื่องจากฉากสำคัญของเรื่องเกิดขึ้นที่ปางไม้ในป่าลึกที่เขาท่ากระดานจังหวัดกำแพงเพชร อันเป็นอาณาจักรส่วนตัวของ “พะโป้” คหบดีใหญ่ผู้มั่งคั่งชาวพม่า ซึ่งผู้ประพันธ์ได้บรรยายไว้ว่า “ปลูกบ้านอยู่กว้างขวางใหญ่โต ราวกับปราสาทราชสำนักของเจ้าผู้ครองนครในสมัยโบราณ” ทำให้ทีมงานได้จัดสร้างฉากซึ่งเป็นคฤหาสน์ของพะโป้ขึ้นที่กลางป่าริมลำธารของ “วนอุทยานแห่งชาติขุนแจ อ.เวียงป่าเป้า จังหวัดเชียงราย” โดยยึดถือการออกแบบตกแต่งจากศิลปกรรมล้านนาโบราณ เพื่อให้ตรงตามจินตนาการดั้งเดิมของผู้ประพันธ์
ส่วนภูมิประเทศรายรอบนั้น ทางทีมงานก็ได้เลือกภูมิทัศน์อันงดงามของจังหวัดเชียงรายเป็นสถานที่หลักในการถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องนี้เกือบทั้งเรื่อง ทั้งที่เป็นสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญเช่น น้ำตกขุนกรณ์ อุทยานแห่งชาติลำน้ำกก, น้ำตกห้วยแก้ว, อุทยานแห่งชาติขุนแจ ตลอดจนภูมิประเทศ Unseen ที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนในสายตานักท่องเที่ยวในป่าลึกและบนยอดเขาที่บ้านเย้าเล่าสิบ อ.แม่ฟ้าหลวง, บ้านปางผึ้ง ต.แม่เจดีย์ อ.เวียงป่าเป้า เป็นต้น จนอาจกล่าวได้ว่าภาพยนตร์เรื่องนี้จะนำภาพภูมิทัศน์อันงดงามของจังหวัดเชียงราย เสนอต่อสายตาผู้ชมในวงกว้างทั้งในและต่างประเทศ
“อย่างที่บอกไปคือโลเกชั่นหลักเราเลือกเชียงราย คือแม้ว่าในเรื่องเดิมจะกำหนดว่าอยู่ในป่าแถวตาก-กำแพงเพชรเนี่ย ทีนี้ผมก็ไปดูมาหลายที่มาก แต่ก็ไปติดใจเชียงราย ไปติดใจความหลากหลายของไม่ว่าจะเป็นเชียงรายภาคเหนือที่มีทิวเขาสลับซับซ้อนสวยงามมาก เพราะว่าจริงๆ ความสลับซับซ้อนของภูเขาเนี่ยเราเอามาเปรียบเทียบกับความสลับซับซ้อนของจิตใจมนุษย์ซึ่งเป็นภาพเปิดเรื่อง แล้วก็มีป่าที่ยังเป็นธรรมชาติอยู่ แล้วก็มีพรรณไม้ที่แปลกตามาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่น้ำตกขุนกรณ์ แล้วก็ที่อุทยานแห่งชาติขุนแจ เวียงป่าเป้า ที่เราเข้าไปสร้างฉากเป็นคฤหาสน์ของพะโป้กลางป่าจริงๆ คือด้วยต้นไม้ ด้วย
ลำธาร ด้วยน้ำตก ด้วยบรรยากาศที่แปลกตามาก แล้วก็ยังแลดูสมบูรณ์อยู่มาก ช่วยเสริมให้แลดูสมบูรณ์ขึ้น แล้วก็มีลำน้ำกก ซึ่งในเรื่องมีการอธิบายว่ามีการล่องแพไปเที่ยวกัน ไปล่าสัตว์ ซึ่งลำน้ำกกก็มีความสวยงามดูแล้วน่าเชื่อว่าเป็นแม่น้ำกลางป่า แล้วมีน้ำตก มีหมอก มีธรรมชาติที่งดงามที่พูดได้ว่าอันซีน (Unseen) แล้วแปลกตากว่าทุกๆ ที่ กว่าทุกโลเกชั่นในภาพยนตร์ไทยที่เคยมีมา และที่เชียงรายก็คงไม่เคยมีใครไปถ่ายหนังอย่างเป็นจริงเป็นจังขนาดนี้ด้วย”
และเนื่องจากภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นภาพยนตร์ย้อนยุคไปในปี พ.ศ.2476 จนถึง พ.ศ.2486 และเรื่องราวเกิดขึ้นในภูมิภาคทางเหนือของประเทศไทยในระหว่างยุคสมัยนั้น ประกอบกับภูมิหลังของตัวละครเอกผู้มีอิทธิพลสูงสุดในเรื่องคือ “พะโป้” คหบดีชาวพม่าผู้สืบเชื้อสายมาจากเจ้านายไทยใหญ่ชั้นสูงแห่งรัฐฉาน ทำให้สภาพความเป็นอยู่ของทุกชีวิตในอาณาจักรเขาท่ากระดานของเขา ถือขนบประเพณีและวัฒนธรรมอันมีระเบียบแบบแผน แบบราชสำนักไทยใหญ่และพม่า อันเป็นวัฒนธรรมอันมีอิทธิพลสูงในวัฒนธรรมล้านนาไทย เพราะฉะนั้นในภาพยนตร์เรื่องนี้จึงจะมีฉากสำคัญหลายฉากที่ถ่ายทอดวัฒนธรรมอันสูงส่งและประณีตงดงาม ไม่ว่าจะเป็นในฉากที่เกี่ยวกับ “พิธีกรรม” เช่นฉากงานฉลองรับขวัญคู่สมรส. ฉากงานบุญฉลองวันเกิด หรือฉากงานเลี้ยงต้อนรับข้าหลวง ซึ่งมีการแสดงนาฏศิลป์และการละเล่นหุ่นกระบอกแบบโบราณ อย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนในภาพยนตร์ไทย
รวมทั้งวัฒนธรรมการแต่งกายที่ถูกต้องตามขนบประเพณีและยุคสมัยของตัวละครเอกทุกตัว และจะสะท้อนให้เห็นวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของชนเผ่าต่างๆ ที่อาศัยอยู่ในอาณาจักรของพะโป้ที่เขาท่ากระดาน ตามที่ผู้ประพันธ์ได้ระบุไว้ว่า “มีบ่าวไพร่ทั้งที่เป็นพม่า ขมุ และมอญนับร้อย” จึงนับได้ว่าภาพยนตร์เรื่องนี้ จะเป็นภาพยนตร์ไทยเรื่องแรกในยุคหลังๆ นี้ ที่จะนำเสนอภาพขนบธรรมเนียมประเพณีและศิลปวัฒนธรรมอันล้ำค่าของอาณาจักรล้านนาไทยให้ปรากฏบนจอภาพยนตร์แก่สายตาชาวไทยและชาวโลก
เปี่ยมล้นคุณค่า...ชั่วฟ้าดินสลาย
***ระดับความบันเทิง***
การดำเนินเรื่องของภาพยนตร์เรื่องนี้จะง่ายต่อการเข้าใจของผู้ชมในทุกระดับ โดยผู้ประพันธ์ได้หยิบยก “การเป็นชู้” ระหว่าง “อาสะใภ้” และ “หลานชาย” ซึ่งเป็นหนุ่มสาวในวัยที่บูชา “ความรัก” เหนือสิ่งอื่นใด และได้ทำลายกรอบประเพณีศีลธรรมอันดีงามจนต้องพบกับหายนะอย่างแสนสาหัส
เป็นการดำเนินเรื่องที่ถูกนำมาใช้ในภาพยนตร์ชีวิตรัก หรือละครโทรทัศน์อย่างแพร่หลาย ซึ่งมักจะแสดงให้เห็นภาพชีวิตของหนุ่มสาวที่ไร้เดียงสาต่อโลก จนตกเป็นทาสของความลุ่มหลงของกิเลสตัณหา เพราะฉะนั้นการที่ได้ลักลอบพบกันสองต่อสอง จึงเป็นสิ่งที่ตื่นเต้นเร้าใจของทั้งตัวละครทั้งสองและผู้ชม ยิ่งผู้ประพันธ์ได้สร้างโศกนาฏกรรมรักของ “ส่างหม่อง” และ “ยุพดี” ให้เป็นปริศนาอันเร้นลับน่าค้นหาตั้งแต่ต้นเรื่อง ก็ยิ่งทำให้เรื่องนี้มีปมอันลึกลับชวนให้น่าค้นหาติดตาม สร้างความเร้าระทึกใจให้แก่ผู้ชมในทุกวินาที
***ระดับศีลธรรมและปัญญา***
การหยิบยกเอา “ตัณหาราคะ” และ ”กิเลส” ที่ซ่อนอยู่ภายในจิตใจของมนุษย์ขึ้นมาตีแผ่นั้น ผู้ประพันธ์ระดับบรมครูแห่งวงการวรรณกรรมทุกท่านย่อมมีจุดประสงค์ที่จะสอนศีลธรรมจรรยาและคุณค่าในชีวิตมนุษย์โดยทางอ้อมอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นพฤติกรรมอันขาดสติจนเป็นทาสของกิเลสตัณหาของส่างหม่องและยุพดี จึงเป็นบทเรียนอันทรงคุณค่าแก่ผู้ชมหนุ่มสาวที่พึงใจต่อ “กรรมชั่ว” ที่มนุษย์อันเป็นสัตว์ที่ประเสริฐไม่พึงปฏิบัติ
***ระดับศิลปะและวัฒนธรรม***
ภาพยนตร์เรื่องนี้จะนำภาพขนบธรรมเนียมประเพณีและวัฒนธรรมอันสูงส่งของชาวล้านนาในอดีตให้ปรากฏในจอภาพยนตร์อย่าง “สมจริง” และ “ถูกต้อง” ตามประเพณีนิยมในสมัยนั้น โดยผ่านการศึกษาค้นคว้าข้อมูลที่ถูกต้องจากนักวิชาการและผู้เชี่ยวชาญจากมหาวิทยาลัยต่างๆ เพื่อจะนำเสนอภาพวิถีชีวิตที่งดงามอันเป็นมรดกของชาติออกสู่สายตาชาวโลก โดยผ่านการถ่ายภาพอันประณีตพิถีพิถัน และการสร้างดนตรีประกอบอันไพเราะ จึงนับได้ว่าภาพยนตร์เรื่อง “ชั่วฟ้าดินสลาย” นี้ จะเป็นภาพยนตร์ที่อนุรักษ์ทั้งในด้านศิลปวัฒนธรรมและศีลธรรมอันดีงาม
เสน่หา...คาแร็คเตอร์
ส่างหม่อง (อนันดา เอเวอริงแฮม) - หนุ่มชาวพม่า หลานชายของ “พะโป้” คหบดีใหญ่เจ้าของสัมปทานป่าไม้ผู้ทรงอิทธิพล ส่างหม่องกำพร้าบิดามารดาตั้งแต่ยังเด็ก และได้รับการอุปถัมภ์เลี้ยงดูเป็นอย่างดีจากพะโป้ผู้เป็นอา ทำให้เขาเคารพรักและบูชาพะโป้ประดุจบิดาบังเกิดเกล้า แต่แล้วเมื่อชายหนุ่มต้องตกหลุมพรางแห่งกิเลสตัณหาที่มาในร่างของอาสะใภ้อย่าง “ยุพดี” กรอบแห่งประเพณีและศีลธรรมอันดีที่เคยเคร่งครัดก็มิอาจหยุดยั้งเขาไว้ได้
“ไอ้ความง่ายของบทไม่รู้มันมีหรือเปล่า แต่เรื่องยากน่ะมีเพียบเลย (หัวเราะ) ตัวละครของส่างหม่อง สำหรับผมมันอาจจะยากเป็นพิเศษหน่อย เพราะว่ามันจะเริ่มจากคนที่ใสเป็นผ้าขาวมาก และพอคาแร็คเตอร์มันดำเนินไป มันก็จะค่อยๆ มืดขึ้น เมื่อมันโดนดึงเข้าไปด้านมืด สิ่งที่มันยากก็คือพัฒนาการจากคนไร้เดียงสากลายเป็นคนที่เต็มไปด้วยกิเลส ความใคร่หรือตัณหาราคะ การพัฒนาคาแร็คเตอร์ตรงนี้ค่อนข้างยากหน่อย และนี่ยังไม่พูดถึงฉากดราม่าต่างๆ มีอะไรยากๆ เต็มไปหมดเลย
คือทั้งส่างหม่องกับยุพดีอยากจะอยู่ใกล้ชิดกันมาก พะโป้ก็เลยทำให้สมหวังล่ามโซ่ให้อยู่ด้วยกันตลอดเลย ซึ่งผมรู้สึกว่า มนุษย์มันเกิดมาเพื่อให้อยู่เป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ การที่จะโดนผูกติดกับมนุษย์อีกคนหนึ่งมันผิดธรรมชาติมาก ทุกคนต้องการความเป็นอิสระ คือถ้าดูผิวเผิน มันก็ดูเป็นสิ่งโรแมนติก เรารักกัน จะได้อยู่เคียงข้างกันตลอดไป แต่บางทีเราไม่ได้คำนึงถึงเรื่องอื่นๆ มันมีความลำบากอยู่ตรงนั้น ในที่สุดการที่ถูกผูกติดกันอย่างนี้มันก็เป็นสูตรสำหรับหายนะอยู่แล้ว”
นักแสดงหนุ่มมากความสามารถ “อนันดา เอเวอริงแฮม” มีผลงานการแสดงอันเป็นที่ยอมรับระดับแถวหน้าของวงการ หลังจากแจ้งเกิดจากภาพยนตร์เรื่องแรก “อันดากับฟ้าใส” ผลงานการกำกับของหม่อมน้อยเมื่อ 13 ปีที่ผ่านมา ล่าสุดทั้งคู่กลับมาร่วมงานกันอีกครั้งในเรื่องนี้ ซึ่งอนันดาบอกว่าสุดเกร็งเหมือนต้องทำงานกับครูและพ่อของตัวเอง แต่ถึงที่สุดแล้ว เขาก็ทุ่มเททั้งตัวและหัวใจให้กับการแสดงเรื่องนี้อย่างสุดฝีมือ
ผลงานภาพยนตร์ : อันดากับฟ้าใส (2540), 303 กลัว กล้า อาฆาต (2541), คนสั่งผี (2546), ชัตเตอร์ กดติดวิญญาณ (2547), Twelve Twenty (หนังสั้น-2549), Me…Myself ขอให้รักจงเจริญ (2550), พลอย (2550), โรงงานอารมณ์ (Pleasure Factory - 2550), ดึกแล้วคุณขา (2550), เมมโมรี่...รักหลอน (2551), The Leap Years หยุดหัวใจไว้รอเธอ (February 29 - ฉายไทย 2551), สะบายดีหลวงพะบาง (2551), โลงต่อตาย (The Coffin - 2551), ปืนใหญ่จอมสลัด (2551), แฮปปี้เบิร์ธเดย์ (2551), สวัสดีบางกอก ตอน Bangkok Blues (หนังสั้น-2552), ชั่วฟ้าดินสลาย (2553), อินทรีแดง (2553), Hi-So (2554)
ยุพดี (เฌอมาลย์ บุญยศักดิ์) - สาวชาวพระนครผู้เลอโฉมผู้รักการอ่านหนังสือ รักดนตรี และศิลปะร่วมสมัยเป็นอย่างยิ่ง และจากอาชีพเลขาที่ทำให้เธอสมาคมกับชาวต่างชาติมากกว่าคนไทย ทำให้ความคิดความอ่านของเธอล้ำสมัยไปกว่าสตรีชาวสยามในยุคสมัยนั้น เธอรักเสรีภาพและความเป็นปัจเจกชนประดุจลมหายใจ
ยุพดีกำพร้าทั้งบิดามารดา เธอต้องใช้ชีวิตอยู่อย่างโดดเดี่ยวตั้งแต่วัยเยาว์ ทำให้ส่วนลึกในใจของเธอนั้นแสวงหาซึ่งความรัก และ “พะโป้” ก็ปรากฏกายให้เธอได้ยึดเหนี่ยวและน่าจะเติมเต็มความรักครั้งใหม่นี้ให้สมบูรณแบบได้ ถ้าหากว่า “ส่างหม่อง” ไม่แฝงร่างมาในเงาแห่งรักนั้นให้หัวใจของเธอหวั่นไหวเสียก่อน
“ถือว่าเป็นตัวแทนผู้หญิงยุคใหม่ในสมัยนั้นเลยนะ คือยุพดีจะเป็นคนที่กล้าฉีกม่านประเพณีออก กล้าฉีกทุกอย่าง และก็ซื่อตรงกับความคิดความรู้สึกของตนเองมาก คือไม่ใช่ปากอย่างใจอย่าง ใจอยากทำอย่างนี้แต่ว่าประเพณีบ้านเมืองและสังคมกรอบมันเป็นแบบนี้ แต่เธอเป็นคนแบบไม่สนใจ ไม่แคร์ ก็คล้ายๆ พลอยตรงที่ว่ารักอิสระ เป็นคนที่รักอิสระมากๆ ไม่ชอบอยู่ในกรอบเหมือนกัน
จริงๆ แล้ว ‘ชั่วฟ้าดินสลาย’ นี่ โดดเด่นมาตั้งแต่บทประพันธ์แล้ว เป็นบทประพันธ์ที่พูดได้ว่า พลอยไม่เคยอ่านบทประพันธ์ไหนที่แบบว่าทำให้เฌอมาลย์ร้องไห้ได้ทันควันมากมายขนาดนี้ เป็นบทประพันธ์ที่ดีมาก ตัวหนังก็ให้แง่คิดได้หลายมุมมอง แต่ที่แน่ๆ ก็คือ ถ้าคนเราทำอะไรที่ตามความรู้สึกมากจนเกินไป ก็อาจจะนำผลเสียมาให้ตัวเองได้ และมันก็จะมีมุมมองความรักอันสวยงามที่สะท้อนออกมาในบทพูดของตัวแสดงแต่ละประโยค ซึ่งพลอยเอง พลอยอ่านแล้วก็เออ...จริง มุมมองความรักแบบนี้ จริงนะ ทำไมเราไม่คิดแบบนี้บ้าง”
ด้วยความสามารถที่หลากหลาย “พลอย เฌอมาลย์” ผ่านงานในวงการบันเทิงมาอย่างมากมาย ไม่ว่าจะเป็นละคร, ภาพยนตร์, ถ่ายแบบ, พิธีกร และดีเจ จนปัจจุบันชื่อชั้นของเธอก็สามารถขึ้นแท่น “นักแสดงหญิงแถวหน้า” ของไทยได้อย่างสมศักดิ์ศรี และโดยเฉพาะกับภาพยนตร์เรื่องนี้ การทุ่มเทพลังการแสดงอย่างสุดหัวใจของเธอที่จะต้องครองใจผู้ชมตั้งแต่ต้นจนจบเรื่อง ย่อมให้ผลลัพธ์ที่สุดคุ้มค่าแก่การชมอย่างแน่นอน
ผลงานภาพยนตร์: Goodbye Summer เอ้อเหอเทอมเดียว (2539), สตางค์ (2543), แมนเกินร้อย แอ้มเกินพิกัด (2546), เรื่องรักน้อยนิดมหาศาล (2546), บุปผาราตรี (2546), The Park สวนสนุกผี (2546), บุปผาราตรี เฟส 2 (2548), รักแห่งสยาม (2550), สี่แพร่ง ตอน Last Fright (2551), บุปผาราตรี 3.1 (2552), บุปผาราตรี 3.2 (2552), ชั่วฟ้าดินสลาย (2553)
พะโป้ (ธีรพงศ์ เหลียวรักวงศ์) — มหาเศรษฐีหม้ายชาวพม่าผู้สืบเชื้อสายมาจากเจ้านายชั้นสูงในรัฐฉาน ทำให้เขาภาคภูมิและหยิ่งทะนงในเกียรติภูมิของตนจนเหนือสิ่งอื่นใด เขาเป็นคนสองบุคลิก ด้านหนึ่งเป็นผู้มีเมตตากรุณายึดมั่นในพระพุทธศาสนา ส่วนอีกด้านกลับเป็นเพลย์บอยอย่างหาตัวจับยาก และมีนางบำเรอหลายสิบนางอยู่ในอาณาจักรแห่งเขาท่ากระดานของเขา
พะโป้ให้ความรักและเมตตาอย่างลึกซึ้งต่อ “ส่างหม่อง” หลานชายของเขา แต่เมื่อหม้ายสาวหัวสมัยใหม่อย่าง “ยุพดี” ผู้จุดประกายแห่งรักแท้แก่เขา และทำลายมันลงอย่างไม่ใยดีเดินเข้ามาในชีวิต โศกนาฏกรรมรักครั้งใหญ่จึงบังเกิดอย่างไม่คาดฝัน
“คาแร็คเตอร์พะโป้แตกต่างไหม ในชีวิตจริงพี่ก็ไม่มีนางบริวาร อิทธิพลก็คงไม่มีด้วย ก็น่าจะแตกต่างมาก (หัวเราะ) แต่ว่าโอเค อารมณ์แกว่งก็ทุกคนคงเป็นอาร์ติส พูดถึงมีบ้าง มีโกรธ มีดีใจสุดขีด มีโกรธสุดขีด ไม่เถียง อาร์ติสทุกคนเป็นอย่างนี้ ก็คิดว่ามันก็ไม่เหมือนเลยทีเดียว แต่ว่าถามว่าเล่นตัวพะโป้ได้ไหม ได้เพราะว่าได้ศึกษามาก่อนว่าคาแร็คเตอร์เขาเป็นยังไง เพราะหม่อมได้บรีฟมาแล้วว่าโอเค เอาอารมณ์ดีของคนนี้มา เอาอารมณ์เจ้าชู้ของคนนี้มา แล้วเอามารวมกันเป็นพะโป้และลองเล่นดู ก็โอเคครับ
ความน่าสนใจของภาพยนตร์เรื่อง ‘ชั่วฟ้าดินสลาย’ ผมคิดว่าน่าจับตาดูมากครับ เพราะยุคนี้ก็มีแต่ถ้าไม่ใช่หนังผี ก็เป็นหนังคอเมดี้ เป็นหนังตลกหรือไม่ก็หนังวัยรุ่น นี่เป็นหนังราม่าค่อนข้างที่จะหนักเป็น Tragedy อย่างหนึ่ง ที่อยู่ในหนังเรื่องนี้ที่ยังไม่อยากเปิดเผยตอนนี้ แต่ว่ามันเป็นอะไรที่แปลกใหม่ รวมถึงทีมนักแสดงแต่ละคนก็เล่นกันอย่างเต็มที่ นักแสดงมีไม่กี่คน แต่ว่าแต่ละคนก็ได้บทดราม่าหนักๆ กันทั้งนั้น เนื้อหาก็สะท้อนความเป็นมนุษย์ที่มีทั้งรัก โลภ โกรธ หลง สะท้อนสังคมไม่ว่าจะผ่านมากี่ยุคกี่สมัยมนุษย์ก็ยังเป็นมนุษย์ที่ยังมีกิเลสตัณหากันอยู่ และนี่ก็เป็นการกลับมาอีกครั้งหนึ่งในการกำกับหนังของหม่อมน้อย เป็นแนวทางของหม่อมน้อยเองเลยซึ่งมันก็ไม่ได้ถูกสร้างมานานแล้วเหมือนกันครับ”
เป็นอีกหนึ่งนักแสดงเจ้าบทบาทที่ดูมีพลังอำนาจแฝงอยู่ในตัวอย่างเงียบๆ นั่นทำให้ “ธีรพงศ์ เหลียวรักวงศ์” ถูกเลือกให้มารับบทบาทที่อาจกล่าวได้ว่าโดดเด่นที่สุดในชีวิตการแสดงของเขานี้ และเขาเองก็ปล่อยพลังการแสดงสุดเชือดเฉือนบาดลึกทางอารมณ์ได้อย่างลงตัวทีเดียว
ผลงานภาพยนตร์ (บางส่วน): ล่าข้ามโลก (2526), สงครามเพลง (2526), แตก 4 รัก โลภ โกรธ เลว (2542), After School วิ่งสู่ฝัน (2553), Who Are You? ใคร...ในห้อง (2553), ชั่วฟ้าดินสลาย (2553)
นิพนธ์ (เพ็ญเพชร เพ็ญกุล) — นักเขียนหนุ่มวัย 35 ผู้มีหัวก้าวหน้าและอนาคตไกล เขาทำงานประจำที่หนังสือพิมพ์ “ประชาชาติ” รายวันและรายสัปดาห์ ซึ่งเป็นหนังสือพิมพ์อันเป็นที่นิยมในพุทธศักราช 2486 บิดามารดาของเขามีอาชีพค้าไม้ ทำให้ครอบครัวของเขาได้ทำธุรกิจและสนิทสนมกับ “พะโป้”
และในวันหนึ่ง เมื่อเขากลับไปเยี่ยมบ้านเกิดที่กำแพงเพชร และได้รับการเชิญชวนจากพะโป้ให้เข้าป่าล่าสัตว์ที่ค่ายพักเขาท่ากระดาน. นั่นทำให้นิพนธ์ได้รับรู้เรื่องราวอันน่าพิศวงในโศกนาฏกรรมรักของ “ส่างหม่อง” และ “ยุพดี” เมื่อ 10 ปีที่ผ่านมา
“ความยาก-ง่ายของการแสดงเรื่องนี้มันอยู่ที่ความลึกของตัวละคร เราจะเล่นอย่างไรให้คนดูเขารู้สึกตามไปกับเรา เพราะว่าเราจะเป็นคนพาคนดูเข้าไปสู่บรรยากาศในเรื่องนี้นะครับ ก็พยายามคิดแล้วก็จินตนาการตามไปเรื่อยๆ
คาแร็คเตอร์นิพนธ์นี้ที่เหมือนเลยคืออายุนะครับ อยู่ในช่วงวัยเดียวกัน แล้วก็ทางด้านความคิดก็มีอะไรคล้ายๆ กันนะครับ การคิดการจินตนาการตามเรื่องก็เลยไม่ค่อยยากเท่าไหร่ ส่วนเรื่องอื่นๆ ก็ปรับแต่งเอานิดหน่อย แต่ส่วนใหญ่หม่อมจะเลือกคนที่แบบคาแร็คเตอร์ที่มันใกล้เคียงกับตัวละครอยู่แล้วครับ ซึ่งตัวนิพนธ์เนี่ย หม่อมเขาอยากให้ตัวนี้เป็นตัวแทนของผู้เขียนเรื่อง ‘ชั่วฟ้าดินสลาย’ ด้วยครับ
นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องสั้นที่ไม่สั้นทีเดียวนะครับ ก็พออ่านไป มันทำให้เห็นความต้องการของมนุษย์ลึกๆ นะครับ คือมันเป็นเรื่องกิเลสตัณหา แล้วก็บาปบุญที่แบบว่าบางทีเราก็เผลอ หรือว่ายั้งตัวไม่ทันนะครับ เป็นเรื่องสั้นที่ดีมากอีกเรื่องหนึ่งนะครับ ถ้ามีโอกาสคงต้องหาอ่านกัน พอถูกดัดแปลงมาเป็นหนังโดยฝีมือหม่อมน้อย ก็การันตีความน่าดูได้แล้วครับ”
นักแสดงหนุ่มที่ห่างหายจอภาพยนตร์ไปพักใหญ่ๆ ล่าสุดก็ได้ฤกษ์ที่ “เพ็ญเพชร เพ็ญกุล” จะคืนจอแปลงโฉมเป็นหนุ่มนักเขียนผู้จะนำพาคนดูไปประสบพบเจอกับโศกนาฏกรรมรักอันยิ่งใหญ่ในเรื่องนี้อย่างน่าติดตามและเอาใจช่วยในทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
ผลงานภาพยนตร์: เร็วกว่าใจ ไกลเกินฝัน (2536), วิ่งหน้าตั้งกำลัง 2 บนเส้นทางมหัศจรรย์ (2536), ถ้ารักแล้วจะแห้วไม่ว่ากัน (2536), สมองกลคนอัจฉริยะ (2536), เดอะโกร๋น ก๊วน กวน ผี (2547), ชั่วฟ้าดินสลาย (2553)
ทิพย์ (ศักราช ฤกษ์ธำรงค์) - ชายชาวพระนครวัยกลางคน ผู้ผ่านชีวิตมาอย่างโชกโชน เขาเป็นผู้จัดการปางไม้ของพะโป้ที่เขาท่ากระดาน ทิพย์เป็นคนเปิดเผยซื่อตรงและน่าเชื่อถือ ทำให้พะโป้ไว้วางใจเขายิ่งนัก เขายินดีที่จะมอบความช่วยเหลือทุกคนอย่างจริงใจในทุกสถานการณ์
และเขาคนนี้เองที่เป็นผู้กุมความลับและเปิดเผยเรื่องราวความรักของ “ส่างหม่อง” และ “ยุพดี” ที่มีกิเลสตัณหาเป็นที่ตั้งอันนำมาซึ่งโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ให้นิพนธ์ได้รับรู้
“เรื่องนี้ผมรับบทเป็น ‘ทิพย์’ ครับ ทิพย์จะเป็นผู้ช่วยดูแลปางไม้ของพะโป้ จะเป็นคนที่จิตใจดี แล้วก็รู้เรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นในเรื่องนี้ แต่ว่าต้องเก็บไว้ในใจ แต่ก็แสดงความรู้สึกออกไปด้วยการยิ้ม เพื่อจะเก็บเรื่องทั้งหมดไว้ เป็นคนที่เข้าใจชีวิตคนทุกๆ คนในเรื่องนะครับ ทั้งเรื่องของส่างหม่องที่เป็นชู้รักกับยุพดี เราก็รู้ เราเห็นการกระทำของเขาทุกอย่าง แต่ว่าไม่สามารถที่จะพูดออกมาได้ เพราะว่าไม่อยากให้พะโป้ซึ่งเป็นเจ้านายเราเนี่ยได้รับรู้ ก็เหมือนทำให้เรากดดัน อึดอัดอยู่เหมือนกันนะครับ
เล่นกับหม่อมเป็นประจำอยู่แล้ว แทบจะทุกเรื่อง ก็เหมือนพี่เหมือนอาจารย์ คือเขาให้โอกาสเราน่ะครับ สไตล์การกำกับของหม่อมไม่ค่อยจะเหมือนผู้กำกับคนอื่น คือต้องซ้อมก่อน ต้องทำการบ้าน ถ้าทุกคนไม่ทำการบ้านจะทำงานไม่ได้เลยเรื่องนี้ แต่ก็สบายใจขึ้นเพราะเราได้ทำการบ้านมา มาถึงปุ๊บทำงานเนี่ย เรามีความมั่นใจมากขึ้น และโอกาสที่จะพลาดหรือหลุดมันก็มีน้อย หรือบางทีหลุดนิดๆ หน่อยๆ เนี่ย หม่อมก็จะคอยบิ๊วท์ให้ ว่าตรงนี้เป็นอย่างนี้นะ อย่างนี้นะ เราก็สบายใจทำงานกับเขา ไม่เหมือนทำงานที่อื่น ที่โยนให้ แล้วเอาไปเล่นเองนะ บางทีก็ตีความมันผิดบ้างถูกบ้าง คือหม่อมจะเป็นคนละเอียดมากในการกำกับ”
เป็นอีกหนึ่งนักแสดงเจ้าบทบาทที่ห่างหายจากจอภาพยนตร์ไปเป็นเวลานาน กลับมาครั้งนี้ “ศักราช ฤกษ์ธำรงค์” ก็ได้รับบทสำคัญมากบทหนึ่งของเรื่องที่ต้องอาศัยฝีมือทางการแสดงให้ผู้ชมเชื่อถือในคำบอกเล่าของเขาถึงโศกนาฏกรรมรักอันยิ่งใหญ่นี้ ซึ่งเขาก็สามารถถ่ายทอดความเป็นตัวละครนี้ออกมาได้อย่างสมจริงและน่าติดตามไปตลอดทั้งเรื่อง
ผลงานภาพยนตร์: พี่เลี้ยง (2531), ทองประกายแสด (2531), ขุมทรัพย์เมืองลับแล (2533), หล่อ ซ่า เซอร์กับเธอผู้หวานใจ (2536), ฉีกป่าล่าคน (2538), เชอรี่แอน (2544), ชั่วฟ้าดินสลาย (2553)
มะขิ่น (ดารณีนุช โพธิปิติ) — อดีตนางบำเรอเอกของพะโป้ที่ถูกปลดระวางไปเป็นแม่บ้านในอาณาจักรปางไม้เขาท่ากระดาน เธอรักและซื่อสัตย์ต่อพะโป้อย่างสุดจิตสุดใจ แม้จะถูกทิ้งขว้างอย่างไม่ใยดีก็ตาม นั่นทำให้มะขิ่นรู้สึกอิจฉาที่ “ยุพดี” เข้ามาเป็นนายหญิงคนใหม่ และได้ครองทั้งตัวและหัวใจของพะโป้ไปเสียทั้งหมด
เมื่อเธอได้รับรู้ถึงความรักที่มิอาจหักห้ามเสน่หาของ “ส่างหม่อง” และ “ยุพดี” แม้จะไม่เห็นด้วย แต่มะขิ่นก็พยายามช่วยให้ทั้งคู่หลุดจากความทรมานของพันธนาการแห่งรักนั้น
“มะขิ่นเนี่ยเปรียบไปก็เป็นเหมือนแบล็คอัพ เป็นคนที่ดูแลอาณาจักรของพะโป้ แล้วก็เคยเป็นภรรยา ซึ่งพะโป้เนี่ยก็เก็บกวาดผู้หญิงทั้งหมดในอาณาจักรเป็นภรรยา พี่ก็ได้เป็นหนึ่งในนั้น แต่เป็นรุ่นเก่า แล้วพอเขาเบื่อแล้วเนี่ย เขาก็จะหมุนเวียนภรรยาส่งไปให้ลูกน้องต่างๆ แต่สำหรับพี่เนี่ยก็ได้อยู่ประจำตำแหน่งดูแลภาพรวม เป็นเหมือนแม่บ้านใหญ่ที่คอยดูแลที่นี่ แต่ลึกๆ แล้วมะขิ่นเนี่ยไม่ได้อยู่ด้วยหน้าที่ แต่อยู่เพราะว่าหลงรักพะโป้ คือจริงๆ แล้วถึงแม้ว่าเขาจะมีผู้หญิงอื่นๆ เยอะแยะ เราก็ไม่ได้หึงหวงเพราะเรารู้สึกเสมอว่าเราสำคัญ จนกระทั่งนางเอกยุพดีมาถึงที่นี่ เราไม่เคยเห็นพะโป้แต่งงานอีกเลยหลังจากที่ภรรยาเขาเสียชีวิต จนกระทั่งเห็นเขามาแต่งงานกับยุพดีซึ่งทั้งสวยทั้งสาว เป็นผู้หญิงที่มาจากในเมือง อีกโลกหนึ่งที่เราไม่รู้จัก เราก็ไม่รู้ว่าผู้หญิงคนนี้เป็นยังไง ดีหรือเปล่า ไว้ใจได้ไหม ที่สำคัญเลย ก็คือมาแย่งความสำคัญของเราไปเพราะเขาจะเป็นคนที่มาดูแลพะโป้
ถามว่าเหมือนพี่ไหม มันก็มีส่วนเหมือนอยู่ พี่ว่าในตัวคนๆ หนึ่งมันจะมีหลายๆ มุม เพราะฉะนั้นความเป็นสากลของความเป็นมนุษย์มันจะคล้ายๆ กัน ความเป็นผู้หญิง เป็นเพศหญิง ความเป็นแม่บ้าน ความเป็นอะไรต่างๆ เพียงแต่เราจะหยิบมาใช้ในมุมที่แตกต่าง ถ้าเกิดเราเป็นแม่บ้านที่เรามีครอบครัวมีลูกก็เป็นอีกอย่างหนึ่ง แต่นี่มันก็จะเป็นความรักที่เรามีต่อเขา ดูแลเขาเหมือนกับเขาเป็นทั้งสามี เป็นลูก เป็นสามีที่เราไม่ได้ครอบครอง เป็นลูกของเรา เป็นอะไรของเรา ความรู้สึกมันก็จะคล้ายๆ กัน มันก็เลยรู้สึกว่าเวลาเรามองเห็นเขาหรือเวลาที่เราดูแล หรือเราเห็นฉากเห็นอะไร เราก็จะรู้สึกว่ามันเป็นที่ๆ เราจะต้องสละชีวิตให้ เราต้องดูแล มันก็คงคล้ายๆ กับเวลาที่เราอยู่บ้าน เราต้องดูแลครอบครัวของเรา”
“งดความฮา ดราม่าใส่เต็ม” เป็นอารมณ์ความรู้สึกที่นักแสดงหญิง “ดารณีนุช โพธิปิติ” ต้องแสดงฝีมือออกมาในอีกหนึ่งคาแร็คเตอร์สำคัญของเรื่องที่จะมาสร้างสีสันสั่นสะเทือนทางอารมณ์ให้เป็นที่ประจักษ์ต่อสายตาผู้ชม ซึ่งเธอไม่ทำให้ผิดหวังอย่างแน่นอน
ผลงานภาพยนตร์: มอ ๘ (2549), ลิขิตรัก ขัดใจแม่ (2550), สายลับจับบ้านเล็ก (2550), ชั่วฟ้าดินสลาย (2553)
ย้อนรอยผู้กำกับชั้นครู
“ม.ล.พันธุ์เทวนพ เทวกุล” หรือ “หม่อมน้อย” ของคนในวงการบันเทิง เป็นผู้กำกับภาพยนตร์, ละครโทรทัศน์ และละครเวทีที่มีผลงานโดดเด่น, แปลกใหม่ และมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวมากที่สุดคนหนึ่งของเมืองไทย ทั้งยังเป็นผู้เขียนบทและอาจารย์สอนวิชา Directing และ Acting ระดับสากลที่ได้รับความไว้วางใจในฝีมืออย่างถึงที่สุด
ผลงานการกำกับหลากหลายแขนงที่สร้างชื่อเสียงให้เป็นที่ประจักษ์ฝีมือในสไตล์หม่อมน้อย
- เพลิงพิศวาส - ผลงานกำกับเรื่องแรกในชีวิตของหม่อมน้อย ที่สร้างชื่อกระฉ่อนวงการด้วยหนังอิโรติกอย่างมีระดับ และแจ้งเกิดนักแสดงหญิงตัวแม่ของวงการนามว่า “สินจัย หงษ์ไทย” ในเวลาต่อมาจนถึงปัจจุบัน
- ช่างมันฉันไม่แคร์ - ได้รางวัลยอดเยี่ยมประจำปี 2530 และฉายใน London Films Festival ในปีเดียวกัน
- นางนวล - ได้รับรางวัลดนตรีประกอบยอดเยี่ยมแห่งเอเชียในปี 2531 ใน Asian Films Festival ที่ประเทศไต้หวัน อีกทั้งยังเป็นภาพยนตร์ไทยเรื่องเดียวที่ได้รับการเสนอชื่อรางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมแห่งเอเชีย
- ฉันผู้ชายนะยะ - ออกฉายใน Gay Film Festival ที่ ลอสแองเจลิส สหรัฐอเมริกา ปี 2532
- แฮมเลท (Hamlet) - ละครเวทีของวิลเลี่ยม เชคสเปียร์ ได้รับการดัดแปลงให้เป็นละครเพลงแบบ Musical Drama เป็นครั้งแรกในโลกเมื่อปี 2538 นับเป็นละครเวทีที่ประสบความสำเร็จสูงสุดในรอบ 10 ปี ได้รับการต้อนรับจากผู้ชมชาวไทยและต่างประเทศอย่างล้นหลาม
- ซอยปรารถนา 2500 - ละครโทรทัศน์ยาว 18 ตอน ดัดแปลงจากบทละครโทรทัศน์เรื่อง Street Car Named Desire ของ Tennessee และได้รับรางวัลดารานำฝ่ายหญิงยอดเยี่ยม, ดาราสมทบชายยอดเยี่ยม และละครพีเรียดยอดเยี่ยมประจำปี 2542
- ลูกทาส — จากนวนิยายอมตะของ “รพีพร” ได้รับรางวัลละครโทรทัศน์ยอดเยี่ยมประจำปี 2547 และผลงานโทรทัศน์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในทศวรรษ
- สี่แผ่นดิน - จากสุดยอดวรรณกรรมแห่งสยามประเทศโดย ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช
ผลงานกำกับภาพยนตร์
- เพลิงพิศวาส (2527) ได้รับรางวัลพระราชทานพระสุรัสวดี สาขาดาราประกอบฝ่ายหญิงยอดเยี่ยม (สินจัย หงษ์ไทย)
- ช่างมันฉันไม่แคร์ (Dame it! Who care - 2529) — ได้รับรางวัลพระราชทานพระสุรัสวดี สาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยมแห่งปี, บทภาพยนตร์ยอดเยี่ยม / ได้รับรางวัลสุพรรณหงส์ทองคำ สาขาออกแบบเครื่องแต่งกายยอดเยี่ยม / ได้รับการคัดเลือกไปฉายโชว์ในงาน London Films Festival และ Berlin Films Festival
- ฉันผู้ชายนะยะ (Boy in the Band - 2530) — ได้ฉายใน Gay Film Festival ที่ Los Angeles สหรัฐอเมริกา ปี 2532
- นางนวล (The Seagull - 2530) - ได้รับรางวัลดนตรีประกอบยอดเยี่ยมแห่งเอเชียในปี 2531 ใน Asian Films Festival ที่ Taiwan และยังเป็นภาพยนตร์ไทยเรื่องแรกที่ได้รับการเสนอชื่อรางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมแห่งเอเชีย
- เผื่อใจไว้ให้กันสักหน่อย (2532)
- ความรักไม่มีชื่อ (2533)
- มหัศจรรย์แห่งรัก (2538) — ได้รับรางวัลพระราชทานพระสุรัสวดี สาขาดารานำฝ่ายหญิงยอดเยี่ยม (สินจัย หงษ์ไทย), ดาราประกอบฝ่ายชายยอดเยี่ยม (วิลลี่ แมคอินทอช), ดาราประกอบฝ่ายหญิงยอดเยี่ยม (วราพรรณ หงุ่ยตระกูล), กำกับฝ่ายศิลป์ยอดเยี่ยม, ออกแบบเครื่องแต่งกายยอดเยี่ยม, ดนตรีประกอบยอดเยี่ยม
- อันดากับฟ้าใส (2540) — ได้รับรางวัลพระราชทานพระสุรัสวดี สาขาดาราประกอบฝ่ายหญิงยอดเยี่ยม (สินจัย หงษ์ไทย), ดนตรีประกอบยอดเยี่ยม
ผลงานกำกับละครโทรทัศน์
ช่างมันฉันไม่แคร์ (ช่อง 5), แผ่นดินของเรา (ช่อง 5), ซอยปรารถนา 2500 (พ.ศ. 2539, ช่อง 7), เริงมายา (พ.ศ. 2540, ช่อง 7), ปีกทอง (พ.ศ. 2542, ช่อง 7), ลูกทาส (พ.ศ. 2543, ช่อง 5), คนเริงเมือง (พ.ศ. 2544, ช่อง 5), มหัศจรรย์แห่งรัก (พ.ศ. 2545, ช่อง 7), ทะเลฤาอิ่ม (พ.ศ. 2546, ช่อง ITV), สี่แผ่นดิน (พ.ศ. 2546-2547, ช่อง 9), ในฝัน (พ.ศ. 2547-2548, ช่อง 9)
ผลงานกำกับละครเวที
- ALL MY SON ของ ARTHER MILLER (แสดงที่หอประชุม A.U.A พ.ศ. 2517)
- บัลเลต์พระราชนิพนธ์ “ความฝันอันสูงสุด” (แสดงที่โรงละครแห่งชาติ พ.ศ. 2518)
- THE LOWER DEPTH ของ MAXIM GORGY (แสดงที่โรงละครคณะอักษรศาตร์ จุฬาฯ และโรงละครแห่งชาติ พ.ศ. 2517 และ 2518)
- IMPROMPTU (แสดงที่สถาบันวัฒนธรรมเยอรมัน พ.ศ. 2520)
- LES MALENTANDU ของ ELBERT CARMU (แสดงที่หอประชุมคณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ พ.ศ. 2524)
- เทพธิดาบาร์ 21 (แสดงที่โรงละครมณเทียรทอง พ.ศ. 2529)
- ONE FLEW OVER THE CUCKOO’S NEST (แสดงที่โรงละครมณเทียรทอง พ.ศ. 2530)
- ผู้แพ้ผู้ชนะ (แสดงที่โรงละครมณเทียรทอง พ.ศ. 2532)
- พรายน้ำ (แสดงที่โรงละครมณเทียรทอง พ.ศ. 2533)
- ราโชมอน (แสดงที่โรงละครมณเทียรทอง พ.ศ. 2534)
- ปรัชญาชีวิต (แสดงที่ตึกร้าง บ.แปลนอคิวเท็ก, เชียงใหม่ สปอร์ตคลับ, ม.ขอนแก่น พ.ศ. 2531-2533)
- พระผู้เป็นดวงใจ ของโรงเรียนสวนจิตรลดา (แสดงที่หอประชุมศูนย์วัฒนธรรมแห่งชาติ พ.ศ. 2529)
- แฮมเล็ต เดอะ มิวสิเคิล (แสดงที่หอประชุมศูนย์วัฒนธรรมแห่งชาติ พ.ศ. 2538)
ประวัติผู้ประพันธ์ “ครูมาลัย ชูพินิจ”
“มาลัย ชูพินิจ” (2449-2506) ได้รับการยกย่องและเคารพนับถือในฐานะปรมาจารย์ทางการประพันธ์ ด้วยอัจฉริยภาพยากจะหาผู้ใดทัดเทียม ท่านประพันธ์ได้ทุกประเภทไม่ว่าจะเป็นนวนิยาย, เรื่องสั้น, บทความ, สารคดี ตลอดจนคอลัมน์เกี่ยวกับหนังสือ, โทรทัศน์ และการกีฬา (โดยเฉพาะกีฬามวย)
ครูมาลัยเริ่มเขียนเรื่องสั้นครั้งแรกราวปี พ.ศ. 2468 ผลงานที่สร้างชื่อเสียงเรื่องแรกคือ “เรื่องธาตุรัก” พิมพ์ลงใน สุภาพบุรุษรายปักษ์ ประมาณกันว่าผลงานของครูมาลัย มีประมาณถึง 3,000 เรื่อง โดยมีผลงานเขียนเรื่องสั้นประมาณ 250 เรื่อง นวนิยายและข้อเขียนอื่นๆ พิมพ์เป็นเล่มประมาณ 50 เรื่อง โดยใช้นามปากกาต่างๆ กัน ที่รู้จักกันดีคือ ม.ชูพินิจ, เรียมเอง, แม่อนงค์, น้อย อินทนนท์, อินทนนท์ น้อย, นายฉันทนา, ลดารักษ์, สมิงกะหร่อง ฯลฯ
ผลงานที่มีชื่อเสียงคือ ชั่วฟ้าดินสลาย, ทุ่งมหาราช, แผ่นดินของเรา, เมืองนิมิตร, ล่องไพร ฯลฯ
ไม่เพียงแต่เป็นที่รู้จักนับถือด้านงานประพันธ์ และงานหนังสือพิมพ์ทั้งในประเทศและต่างประเทศเท่านั้น ครูมาลัยยังได้อุทิศตนบำเพ็ญประโยชน์แก่สังคมและเพื่อนมนุษย์อีกด้วย จนได้รับแต่งตั้งเป็นวุฒิสมาชิก และได้รับพระราชทานปริญญาบัตร วารสารศาสตร์ ดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ในปี พ.ศ. 2505
“มาลัย ชูพินิจ” ถึงแก่กรรมเมื่อ พ.ศ. 2506 ด้วยโรคมะเร็งในปอดเมื่ออายุ 57 ปี
ขอดเกร็ด “ชั่วฟ้าดินสลาย”
1) “ภาพยนตร์เรื่อง “ชั่วฟ้าดินสลาย” ดัดแปลงจากนวนิยายสุดอมตะชื่อเดียวกันของ “เรียมเอง” หรือ “มาลัย ชูพินิจ” บรมครูแห่งวงการวรรณกรรมสมัยใหม่ของไทย
2) เป็นบทประพันธ์ประเภท Realistic เรื่องแรกของ มาลัย ชูพินิจ อันเป็นแนวทางในการสร้างสรรค์วรรณกรรม ชิ้นต่อๆ มาของท่าน อาทิเช่น แผ่นดินของเรา, ทุ่งมหาราช และ เมืองนิมิต เป็นต้น
3) ได้ถูกตีพิมพ์ในหนังสือ “นิกร” ฉบับวันอาทิตย์เมื่อ พ.ศ. 2486 ในลักษณะเรื่องสั้น และต่อมาจึงได้รับการแก้ไขและขยายเป็นนวนิยายขนาดเล็ก และตีพิมพ์โดยสำนักงาน “พิทยาคม” เมื่อพ.ศ. 2494 และเคยสร้างเป็นละครเวทีโดย “คณะศิวารมย์”
4) สู่การเขียนบทและกำกับสุดละเมียดโดย “หม่อมน้อย — ม.ล. พันธุ์เทวนพ เทวกุล” ซึ่งห่างหายจากวงการไปนานถึง 13 ปี หลังจาก “อันดากับฟ้าใส” (2540) ผลงานกำกับเรื่องท้ายสุดที่แจ้งเกิดพระเอกหนุ่มสุดฮ็อตแถวหน้าของวงการในทุกวันนี้อย่าง “อนันดา เอเวอริงแฮม”
5) ครั้งนี้ถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ครั้งที่ 4 โดย 3 ครั้งที่ผ่านมามีรายละเอียด ดังนี้
- ครั้งที่ 1 (พ.ศ. 2496, สี, 16 ม.ม.) กำกับโดย หม่อมหลวงต้อย ชุมสาย นำแสดงโดย ไสลทิพย์ ตาปนานนท์ (ยุพดี), ชลิต สุขเสวี (ส่างหม่อง), สำราญ เหมือนประสิทธิเวช (พะโป้) และ ‘รงค์ วงษ์สวรรค์ (ทิพย์) แต่ภาพยนตร์เวอร์ชั่นแรกนี้ไม่ได้ออกฉาย เนื่องจากฟิล์มภาพยนตร์เสียหายทั้งหมดจากขั้นตอนการล้างฟิล์ม
- ครั้งที่ 2 (พ.ศ. 2498, 35 ม.ม.) สร้างโดย หนุมานภาพยนตร์ อำนวยการสร้างโดย รัตน์ เปสตันดี กำกับโดย ครูมารุต (ทวี ณ บางช้าง) นําแสดงโดย เอม สุขเกษม (นายห้างพะโป้), งามตา ศุภพงษ์ (ยุพดี), ชนะ ศรีอุบล (ส่างหม่อง) และ ประจวบ ฤกษ์ยามดี (ทิพย์) เวอร์ชั่นนี้โด่งดังและเป็นที่รู้จักมากที่สุดของผู้ชม
- ครั้งที่ 3 (พ.ศ. 2523) สร้างโดย พี.ดี. โปรดักชั่น กํากับโดย ชาลี อินทรวิจิตร นําแสดงโดย สมจินต์ ธรรมทัต (พะโป้), วิฑูรย์ กรุณา (ส่างหม่อง) และ ธิติมา สังขพิทักษ์ (ยุพดี)
6) ในพิธีมอบ “รางวัลตุ๊กตาทอง ครั้งที่ 1 ประจำปี พ.ศ. 2500” เมื่อวันที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2500 ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับ 3 รางวัลสำเภาทอง ในสาขา “บทประพันธ์ยอดเยี่ยม, บันทึกเสียงยอดเยี่ยม, ถ่ายภาพยอดเยี่ยมประเภทฟิล์ม 35 ม.ม.”
7) หม่อมน้อยเคยร่วมงานกับ “เสี่ยเจียง สมศักดิ์ เตชะรัตนประเสริฐ” และ “สหมงคลฟิล์ม” เพียงครั้งเดียว เมื่อครั้งเปิดซิงเก้าอี้ผู้กำกับภาพยนตร์ไทยจากเรื่อง “เพลิงพิศวาส” (2527) ซึ่งส่งให้นักแสดงตัวแม่อย่าง “สินจัย เปล่งพานิช” ยืนหยัดอยู่ในวงการแสดงมาจนทุกวันนี้ ก่อนที่หม่อมน้อยจะกลับมาร่วมงานกับเสี่ยเจียงอีกครั้งในรอบ 26 ปี กับ “ชั่วฟ้าดินสลาย” ผลงานกำกับสุดละเมียดเรื่องที่ 9 นี้เอง
8) ผลงานกำกับภาพยนตร์ทุกเรื่องของหม่อมน้อยล้วนแล้วแต่เป็นภาพยนตร์คุณภาพ, สร้างความแปลกใหม่ให้กับวงการ รวมถึงกวาดรางวัลมาแล้วมากมาย ไม่ว่าจะเป็น เพลิงพิศวาส (2527), ช่างมันฉันไม่แคร์ (2529), ฉันผู้ชายนะยะ (2530), นางนวล (2530), เผื่อใจไว้ให้กันสักหน่อย (2532), ความรักไม่มีชื่อ (2533), มหัศจรรย์แห่งรัก (2538) และ อันดากับฟ้าใส (2540)
9) หม่อมน้อยเคยดัดแปลงและกำกับบทประพันธ์ของ “มาลัย ชูพินิจ” มาแล้วจากเรื่อง “แผ่นดินของเรา” ในรูปแบบละครโทรทัศน์ เมื่อปี พ.ศ. 2539
10) เวอร์ชั่นใหม่ครั้งที่ 4 ในปี พ.ศ. 2553 นี้ สร้างสีสันด้วยทีมนักแสดงระดับคุณภาพแถวหน้าของเมืองไทย ไม่ว่าจะเป็น อนันดา เอเวอริงแฮม (ส่างหม่อง), เฌอมาลย์ บุญยศักดิ์ (ยุพดี), ธีรพงศ์ เหลียวรักวงศ์ (พะโป้), เพ็ญเพชร เพ็ญกุล (นิพนธ์), ศักราช ฤกษ์ธำรง (ทิพย์) และ ดารณีนุช โพธิปิติ (มะขิ่น)
11) สร้างฉากอย่างยิ่งใหญ่ในหลากหลายโลเกชั่น Unseen ของจังหวัดเชียงราย ที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนบนจอภาพยนตร์ ทั้ง วนอุทยานแห่งชาติน้ำตกขุนแจ อ.เวียงป่าเป้า, วนอุทยานแห่งชาติลำน้ำกก (น้ำตกขุนกรณ์), ยอดเขาบ้านเย้าเล่าสิบ อ.แม่ฟ้าหลวง รวมถึง บ้านม่อนฝ้าย จังหวัดเชียงใหม่
12) นอกเหนือจากการกำกับและการแสดงแล้ว “ชั่วฟ้าดินสลาย” เวอร์ชั่นใหม่นี้ยังโดดเด่นด้วยการออกแบบงานสร้างในรูปแบบศิลปกรรมล้านนาโบราณ, เครื่องแต่งกายตามขนบล้านนาสุดประณีต รวมถึงพิธีกรรมยุคโบราณที่แสดงให้เห็นถึงวัฒนธรรมอันงดงามอีกด้วย
13) “เพลงชั่วฟ้าดินสลาย” ประพันธ์คำร้องโดย “ครูมารุต” ผู้กำกับภาพยนตร์เมื่อปี พ.ศ. 2498 ทำนองโดย “อาจารย์แมนรัตน์ ศรีกรานนท์” ขับร้องโดย “พูลศรี เจริญพงษ์” ได้รับรางวัลแผ่นเสียงเงินพระราชทาน โดยภาพยนตร์ปี พ.ศ. 2553 นี้ จะได้นักร้องหญิงคุณภาพแห่งวงการดนตรีสากลยุคปัจจุบันอย่าง “เจนนิเฟอร์ คิ้ม” มาปล่อยพลังเสียงขับขานซ่านซึ้งและแสนไพเราะตรึงใจ
14) สร้างสรรค์ดนตรีประกอบ (Score) โดยนักประพันธ์ดนตรีมือรางวัล “จำรัส เศวตาภรณ์” ที่เคยได้รางวัลดนตรีประกอบยอดเยี่ยมแห่งเอเชียจากภาพยนตร์ของหม่อมน้อยเรื่อง “นางนวล” (2530)
15) ใบปิดภาพยนตร์เวอร์ชั่นล่าสุดนี้ ได้ช่างภาพมืออาชีพและนักแสดงนำของเรื่องอย่าง “ธีรพงศ์ เหลียวรักวงศ์” มาลั่นชัตเตอร์ถ่ายภาพให้อย่างสวยงาม