PYLON คุยกอด Backlog รอแล้ว 700 ลบ. มั่นใจปั๊มผลงานโค้ง 3/2553 โตหายห่วง

ข่าวเศรษฐกิจ Thursday August 26, 2010 15:51 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--26 ส.ค.--IR PLUS "บดินทร์ แสงอารยะกุล" มั่นใจครึ่งปีหลังงานฐานรากคึก หลังการเมืองนิ่ง งานโครงการขนาดใหญ่เริ่มขยับ หนุนผลงาน Q3/53 มีแนวโน้มขยายตัวชัด คุยล่าสุด PYLON นอนกอด Backlog รอในมือแล้ว 700 ลบ. ส่งสัญญาณปีนี้อาจทำรายได้ดีกว่าเป้าหมายที่วางไว้ ขณะที่ Q2/53 โชว์ผลงานดีขึ้นจากไตรมาสแรกอย่างชัดเจน แม้ปัจจัยการเมืองกดดันแถมมีวันหยุดยาวเป็นอุปสรรค นายบดินทร์ แสงอารยะกุล กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไพลอน จำกัด (มหาชน) หรือ PYLON เปิดเผย ถึงแนวโน้มธุรกิจรับเหมางานฐานรากในครึ่งหลังของปี 2553 ว่ามีทิศทางปรับตัวดีขึ้นอย่างชัดเจน หลังจากที่ความรุนแรงทางการเมืองได้คลี่คลายลง และโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ของภาครัฐ โดยเฉพาะโครงการรถไฟฟ้าสายต่างๆ เริ่มเข้าสู่ตลาดอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งโครงการของภาคเอกชนที่เคยชะลอเพื่อรอดูความชัดเจนของโครงการภาครัฐ ก็เริ่มเดินหน้าขยายธุรกิจตามแผนงานอีกครั้ง จึงทำให้งานในธุรกิจรับเหมาก่อสร้างมีปริมาณมากขึ้น รวมทั้งงานรับเหมาฐานรากด้วย ซึ่งเชื่อว่าจะส่งผลดีต่อ PYLON ในฐานะหนึ่งในผู้ประกอบการรายใหญ่อย่างชัดเจน และประการสำคัญจะทำให้การแข่งขันที่เคยเกิดขึ้นอย่างรุนแรงจากปริมาณงานที่มีอยู่น้อยในตลาด โดยเฉพาะการแข่งขันด้านราคาจะลดลง ซึ่งถือว่าส่งผลดีต่อผู้ประกอบการทุกราย "ภาพรวมของธุรกิจงานก่อสร้างฐานรากในครึ่งปีหลัง ต้องบอกว่าดีกว่าครึ่งปีแรกเยอะมาก เพราะสถานการณ์ทางการเมืองเริ่มคลี่คลาย งานก่อสร้างใหม่ๆ ออกมาต่อเนื่อง ซึ่งการที่มีงานก่อสร้างใหม่ๆ ออกมาทำให้ผู้ประกอบการแต่ละรายมีงานเข้ามาไม่หยุด PYLON เองก็เช่นกันยังคงเดินหน้าประมูลงานต่อเนื่อง ซึ่งล่าสุดบริษัทฯ มี Backlog (งานในมือที่รอรับรู้เป็นรายได้) แล้วถึง 700 ล้านบาท ทยอยรับรู้รายได้จนถึงปี 2554 ซึ่งเชื่อว่าจะทำให้ผลประกอบการตั้งแต่ไตรมาสที่ 3/2553 เติบโตได้อย่างมีนัยสำคัญ และยังมีโอกาสเป็นไปได้ที่รายได้รวมทั้งปีนี้จะออกมาดีกว่าที่ตั้งเป้าหมายไว้ เพราะงานใหม่ออกมาค่อนข้างมาก" นายบดินทร์ กล่าว สำหรับในปี 2553 บริษัท ไพลอน จำกัด (มหาชน) ได้ตั้งเป้าหมายรายได้ไว้ที่ระดับ 600-700 ล้านบาท โดยรายได้ 600 ล้านบาท จะมาจากธุรกิจรับเหมาฐานราก หรืองานเสาเข็มเจาะของบริษัทฯ ไม่รวมบริษัทย่อย คือบริษัท เอ็กซิลอน จำกัด โดยจะทยอยรับรู้รายได้จากงานในมือที่มีอยู่ 700 ล้านบาท และงานอื่นๆ ที่จะเข้ามาอีกจากการเข้าร่วมประมูลงานในช่วงที่เหลือของปีนี้ ซึ่งบริษัทฯ ยังเตรียมเข้าประมูลงานใหม่อย่างต่อเนื่อง แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยมูลค่างานได้ เขากล่าวอีกว่า สำหรับผลประกอบการงวด 3 เดือนสิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2553 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 2.91 ล้านบาท ลดลงจากงวดเดียวกันของปีก่อนที่ทำได้ 16.53 ล้านบาท และงวด 6 เดือนสิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2553 มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 3.52 ล้านบาท ลดลงจากงวดเดียวกันของปีก่อนที่ 31.96 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลต่อเนื่องมาจากปริมาณงานก่อสร้างในตลาดที่ลดลงตามภาวะเศรษฐกิจ และการชะลอตัวของโครงการภาครัฐและเอกชน หลังจากที่ได้รับผลกระทบจากปัจจัยทางการเมือง แต่อย่างไรก็ตาม หากเปรียบเทียบกับไตรมาสที่ 1/2553 ที่มีกำไรสุทธิ 0.61 ล้านบาท จะเห็นได้ว่าผลประกอบการอยู่ในทิศทางของการฟื้นตัว และมั่นใจว่าจะมีทิศทางที่ดีต่อเนื่องไปจนถึงครึ่งปีหน้า "แม้ว่าผลประกอบการในไตรมาสที่ 2/2553 และครึ่งปีแรกจะออกมาต่ำกว่าปีก่อน แต่บริษัทฯ ไม่ได้กังวล เพราะถือว่าเป็นไปตามที่คาดไว้ และในทางกลับกันยังถือว่าเริ่มปรับตัวดีขึ้นกว่าช่วงที่ผ่านมาอีกด้วย เพราะ จริงๆแล้วก็ดีขึ้นกว่าไตรมาส 1 ปีนี้ และไตรมาส 4 ปีที่ผ่านมา ถึงแม้ว่าในช่วงไตรมาสที่ 2/53 ความขัดแย้งทางการเมืองจะเกิดขึ้นอย่างรุนแรง และกระทบต่อธุรกิจก่อสร้างอย่างเห็นได้ชัด รวมทั้งยังเป็นช่วงวันหยุดสงกรานต์ที่ยาวกว่าปกติ แต่เราก็ผ่านมาได้ด้วยดีและช่วงนี้สถานการณ์ทางธุรกิจเริ่มดีขึ้นแล้ว และงานฐานรากถือเป็นงานในช่วงต้นๆ ของการก่อสร้าง ดังนั้นหากมีงานเข้าสู่ตลาดจึงจะได้รับผลดีก่อนงานในช่วงอื่นๆ จึงค่อนข้างมั่นใจว่าแนวโน้มผลงานในไตรมาสที่ 3 จะออกมาดีต่อเนื่องได้" นายบดินทร์กล่าว ข้อมูลบริษัท ไพลอน จำกัด (มหาชน) บริษัท ไพลอน จำกัด (มหาชน) (PYLON) ดำเนินธุรกิจเป็นผู้รับเหมาก่อสร้างงานฐานรากงาน แบ่งออกเป็น 3 สายงานหลัก ดังนี้ คือ 1.งานเสาเข็มเจาะ (Bored Pile) เสาเข็มเจาะเป็นเสาเข็มที่นิยมใช้กับการก่อสร้างฐานรากของโครงสร้างขนาดใหญ่ และโครงสร้างอาคารในบริเวณที่มีพื้นที่จำกัด นอกจากนี้เสาเข็มเจาะยังลดมลภาวะเรื่องเสียงและแรงสั่นสะเทือนเมื่อเทียบกับการใช้เสาเข็มตอก การก่อสร้างเสาเข็มเจาะนั้นสามารถปรับเปลี่ยนขนาดได้ จากขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางน้อยกว่า 50 เซนติเมตร จนถึงมากกว่า 1 เมตรขึ้นไป และทำได้ถึงความลึกมากกว่า 60 เมตร ขึ้นอยู่กับการออกแบบกำลังรับน้ำหนักของเสาเข็มโดยวิศวกร และสภาพชั้นดินในแต่ละพื้นที่ 2. งานปรับปรุงคุณภาพดิน (Ground Improvement) มีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มเสถียรภาพให้กับโครงสร้างของดินเดิม ทำให้ดินมีกำลังรับน้ำหนักมากขึ้นและป้องกันการเคลื่อนตัวของดิน โดยบริษัทมีการให้บริการงานประเภทนี้โดยวิธีการอัดฉีดซีเมนต์ด้วยแรงดันสูง (Jet Grouting) ที่ความดันประมาณ 200 ถึง 400 บาร์ และ 3.งานก่อสร้างกำแพงกันดินชนิดไดอะแฟรม (Diaphragm Wall) กำแพงกันดินชนิดไดอะแฟรมเป็นการก่อสร้างกำแพงโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อใช้เป็นโครงสร้างรับน้ำหนักและป้องกันการเคลื่อนตัวของดินทางด้านข้าง ซึ่งส่วนใหญ่จะใช้เพื่อเป็นโครงสร้างของชั้นจอดรถใต้ดิน กำแพงอาคารผู้โดยสารสำหรับระบบรถไฟฟ้าใต้ดิน และอุโมงค์ลอดทางแยก เป็นต้น ติดต่อขอข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ : คุณจุฬารัตน์ เจริญภักดี (ฟ้า) 02-5549395

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ