กรุงเทพฯ--30 ส.ค.--สหมงคลฟิล์ม
บทบาท-คาแร็คเตอร์
เรื่องนี้พลอยก็รับบทเป็น “ยุพดี” ค่ะ ก็จะเป็นผู้หญิงที่อยู่สมัยหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 เป็นผู้หญิงที่ถือว่าทันสมัยและก็เก๋ไก๋มาก คือเป็นผู้หญิงที่ไม่อยู่ในกรอบ และก็เป็นคนที่แบบว่ารักความเป็นปัจเจกชนมากๆ รักอิสระมากๆ คือไม่ชอบอยู่ในกรอบ ในขนบประเพณีที่ว่ามันต้องอยู่ในกรอบ มันต้องทำดีแบบห้ามทำผิดแม้แต่นิดเดียว อย่างการที่หย่ากับสามี สมัยก่อนนี่ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ ผู้หญิงแม่ม่ายถือว่ามีตำหนิ สังคมประณามโน่นนี่ แต่ยุพดีไม่แคร์ เธอคิดว่าชีวิตมนุษย์มันก็เป็นแบบนี้ และก็เป็นผู้หญิงที่เก๋ตรงที่ว่าจะเป็นคนชอบฟังดนตรี ชอบศิลปะร่วมสมัย ชอบอ่านหนังสือ และก็เป็นผู้หญิงที่เก่ง อ่านหนังสือ บทกวี เป็นผู้หญิงที่มีเสน่ห์และก็มีอิสระในตัวของตัวเองมาก
เหมือนเป็นผู้หญิงหัวก้าวหน้าต่างจากผู้หญิงในยุคนั้น
ถือว่าเป็นตัวแทนผู้หญิงยุคใหม่ในสมัยนั้นเลยนะ คือยุพดีจะเป็นคนที่กล้าฉีกม่านประเพณีออก คือกล้าฉีกทุกอย่าง และก็ซื่อตรงกับความคิดความรู้สึกของตนเองมาก คือไม่ใช่ปากอย่างใจอย่าง ใจอยากทำอย่างนี้แต่ว่าประเพณีบ้านเมืองเขาเป็นอย่างนี้ สังคมกรอบมันเป็นแบบนี้ แต่เธอเป็นคนแบบไม่สนใจ ไม่แคร์
ตัวละครตัวนี้มีส่วนเหมือนหรือว่าต่างจากพลอยยังไงบ้าง
ก็คล้ายๆ พลอยตรงที่ว่ารักอิสระ เป็นคนที่รักอิสระมากๆ ไม่ชอบอยู่ในกรอบเหมือนกัน คล้ายๆ กัน ไม่ชอบอยู่ในกรอบอะไรอย่างนี้ค่ะ
พลิกคาแร็คเตอร์ไปเหมือนกัน ไม่ค่อยได้เห็นพลอยเล่นหนังพีเรียดแบบนี้เท่าไหร่
ก็นานๆ ทีจะมีโอกาสได้มาเล่นหนังพีเรียด ก็ครั้งนี้ก็คือว่าพลิกบทบาทมากๆ เลย สำหรับยุพดีเองเป็นตัวละครที่ค่อนข้างที่จะยากมากๆ และก็ต้องแสดงอารมณ์เยอะ เขาเป็นผู้หญิงที่แบบมีหลากหลายอารมณ์เหลือเกิน แบบใครอยู่ด้วยก็จะรู้สึกมีความสุขและก็หลงรักยุพดีมากเพราะเขาเป็นผู้หญิงที่มีเสน่ห์ และซึ่งแบบเราเองยังไม่มีเสน่ห์เท่ายุพดี คิดว่าจะเล่นยังไงให้แบบว่าตีตัวละครนี้ออกมา ก็ทำการบ้านอยู่นานอยู่เหมือนกันค่ะ
ตรงนี้ถือว่าเป็นส่วนยากไหมกับการที่จะตีความบทบาทนี้ออกมา
คือตอนแรกเนี่ยพลอยก็ได้รับการติดต่อมา คือหม่อมบอกว่าจะมีภาพยนตร์ให้เล่นนะ แต่ยังไม่บอกจะเล่นเรื่องอะไร แต่ว่าซึ่งปกติเวลาว่างพลอยก็จะเข้าไปเรียนแสดงกับหม่อมเพิ่มเติมอยู่แล้ว หม่อมก็บอกมาเรื่อยๆ แต่ก็ไม่บอกว่าภาพยนตร์เรื่องอะไร แต่บอกอย่างเดียวว่าบทดีมาก เธอต้องเล่น จนกระทั่งหม่อมมาบอกว่าเป็นภาพยนตร์เรื่อง “ชั่วฟ้าดินสลาย” ซึ่งเป็นบทประพันธ์ของครูมาลัย ชูพินิจซึ่งเป็นศิลปินแห่งชาติ พลอยก็ตกใจ โห เรื่องนี้เลยหรอ คือมันรู้สึกอย่างแรกคือรู้สึกว่ารู้สึกเป็นเกียรติมาก รู้สึกเป็นเกียรติกับตัวเองมาก ไม่คิดว่าแบบครั้งนึงในชีวิตเราจะได้รับบทเป็นยุพดี ซึ่งเป็นบทที่นักแสดงทั่วประเทศไทยใครๆ ก็อยากเล่นบทนี้ รู้สึกเป็นเกียรติมากและก็รู้สึกแอบกดดันตัวเองเล็กๆ ว่าจะทำได้ไหม เพราะว่าพลอยอ่านเรื่องสั้นแล้วมันก็ค่อนข้างที่จะแบบดราม่ามากๆ แต่ก็ไม่ค่อยกลัวเท่าไหร่ เพราะว่าตัวหม่อมเองเขาก็จะ
เป็นคนแบบคอยสอนตลอด สอนการแสดงเรา นี่เธออย่างนี้นะ ยุพดีเขาเป็นอย่างนี้นะ หม่อมเขาก็จะเล่าให้ฟังตลอด
ทำให้เราอินและก็ง่ายต่อการแสดงด้วยใช่ไหม
อินค่ะ อินมากๆ คือหม่อมเขาจะมีการเรียกนักแสดงทุกคนมา ทีมงานทุกคนมาอ่านบทพร้อมกัน ก็คือเป็นการแบบ Read-Through ไปเลย พอพลอยอ่านบทเสร็จร้องไห้เลย ร้องแบบโฮเลย แบบมันสะเทีอนใจมากเรื่องนี้ และก็เป็นเรื่องที่แบบหม่อมเขียนบทออกมาได้แบบดีมากๆ คำพูดทุกคำพูดมันมีความหมาย ฟังแล้วแบบขนลุก ฟังแล้วรู้สึกแบบอินจังเลยกับประโยคนี้อย่างเช่น “ไม่มีการกระทำอันใดหรือความผิดสถานใดที่ความรักจะให้อภัยไม่ได้” อันนี้มันเป็นแบบชีวิตจริงของเราด้วย เราได้ยินประโยคนี้เราก็รู้สึกแบบขนลุกเลย
สไตล์การทำงานของหม่อมอย่างนี้ คือมีการฝึกซ้อมก่อนการแสดงจริง มันทำเราทำงานง่ายขึ้นไหม
ก็ต้องบอกว่าทำให้ง่ายขึ้น แต่ใช้เวลาไหม คุณต้องให้เวลาคือต้องทุ่มเทจริงๆ คือพลอยนี่เข้าบ้านหม่อมอาทิตย์หนึ่ง 3-4 วันเข้าตลอด ทำงานอะไรเสร็จก็คือเข้าไปอ่านบท ไปซ้อม วางบล็อกกิ้ง คือซ้อมเหมือนเล่นจริงเลยทุกอย่าง แล้วหม่อมเขาก็จะคอยแบบอ่านบทไปก็จะค่อยใส่รายละเอียดไปว่า ตัวละครฉากนี้เขาคิดยังไง เขาต้องการอะไร หรือวิธีการเล่น วิธีการที่แบบแอ็คติ้งต่างๆ เพราะว่าหม่อมจะสอนว่า นักแสดงส่วนมากในประเทศไทย 99% เล่นที่ตรงนี้ เล่นที่สมอง ไม่ใช้ทั้งร่างกาย ใช้แต่ตรงนี้เล่น (ชี้ที่ศีรษะ) ก็ไปเรียนสม่ำเสมอ มีการซ้อม ทำแบบฝึกหัด โยคะฝึกลมหายใจ นั่งอานาปานสติ (อา-นา-ปา-นะ-สะ-ติ) คือนั่งสมาธิ มีสติในการกำหนดลมหายใจเข้าออก คือทำทุกอย่าง ก็นานอยู่เหมือนกันกว่าจะเข้าสถานที่ถ่ายทำจริงๆ ก็พอถึงสถานที่ถ่ายทำจริงๆ ก็ไม่มีปัญหา วันแรกก็อินเลย เกิดผลดีกับเรามาก เพราะว่าเราซ้อมด้วยและเราก็อ่านบทด้วย คือบทนี่คืออ่านจนบทนี่เปื่อย ไฮไลท์นี่คือแบบมีไม่รู้กี่สี (หัวเราะ) เขียนโน้ตเขียนอะไรก็คือแบบทำการบ้านมาอย่างดี คือพลอยคิดว่าพลอยมีโอกาสที่ดี ได้มาเล่นหนังเรื่อง “ชั่วฟ้าดินสลาย” แล้วทำไมพลอยจะไม่ทำให้ดีล่ะ ก็ทำตั้งใจเต็มที่ คือทุกคนก็เต็มที่จริงๆ ค่ะ
การดำเนินเรื่องของตัวยุพดีเป็นยังไง เหตุการณ์อะไรทำให้เกิดแบบว่าหายนะต่อชีวิตตัวเอง
หายนะเหรอคะ ก็ตรงที่ว่าตัดสินใจเร็วเกินไปที่จะมาอยู่กับพะโป้ (ธีรพงศ์ เหลียวรักวงศ์) คือเธอเป็นผู้หญิงที่ขาดความรัก อยู่โรงเรียนคอนแวนต์ เป็นเด็กที่น่ารัก ร่าเริง สดใส แต่พอพ่อแม่ประสบอุบัติเหตุรถคว่ำตาย ก็เหมือนเป็นคนที่ขาดความรักและก็โหยหาความรักมาตลอด พอแต่งงานกับสามีคนแรกซึ่งเป็นชาวต่างชาติก็ถูกซ้อมทำร้ายร่างกาย ก็เลยหย่า เลือกที่จะตัดสินใจเด็ดเดี่ยว หย่าคือหย่า ฉันก็ไม่แคร์ คนจะมองยังไง ใครจะประณามยังไง เป็นแม่ม่าย ผู้หญิงมีตำหนิ ฉันไม่แคร์ ก็จนกระทั่งมาเจอพะโป้ มันเหมือนเป็นการที่ตัดสินใจอะไรที่นำพาหายนะมาสู่ตนเองโดยที่ยุพดีไม่รู้ตัว แต่ทุกอย่างมันคือ Destiny คือข้างบนกำหนดมาแล้วว่าชีวิตเราต้องเจออย่างนี้
พอมาเจอพะโป้ก็เลยรู้สึกว่าเหมือนพะโป้มาเติมเต็มความรักที่เธอขาดได้ ด้วยความที่พะโป้เป็นผู้ชายที่อายุมากกว่า พอพะโป้ขอแต่งงานยุพดีก็เลยตัดสินใจมาอยู่ที่ปางไม้ แต่โชคชะตาก็เล่นตลกกับเธออีก คือเธอได้มาพบรักจริง ก็คือมาพบรักกับหลานซึ่งไม่ใช่หลานแท้ๆ ของพะโป้ เป็นหลานเก็บมาเลี้ยง ก็คือส่างหม่อง (อนันดา เอเวอริ่งแฮม) โชคร้าย พระเจ้าเล่นตลก ก็เหมือนแบบคนเรามันจะรักกัน มันก็ห้ามไม่ได้ คือยุพดีกับส่างหม่องเนี่ยรักกันด้วยหัวใจ ด้วยความปรารถนา และทั้งสองคนนี้ชอบอ่านหนังสือเหมือนกัน มีความคิดความอ่านเหมือนกัน เหมือนแบบอยู่ด้วยกันแล้ว Chemical มันตรงกัน ก็เลยทำให้ไม่ยากที่ทั้งคู่จะรักกันเลย เพราะว่าสองคนนี้ตั้งแต่เจอกันครั้งแรกก็จะแบบเหมือนมีมนต์สะกดที่แบบคนนี้ใช่ เหมือนโดนมนต์สะกดแล้วแบบทุกอย่างแบบหยุด เราก็แบบอินเลิฟจัง แต่ด้วยสถานะตอนนี้เราต้องกดเอาไว้ เพราะว่าเราแต่งงานกับพะโป้แล้ว แต่ทุกสิ่งทุกอย่างมันก็คือมนุษย์ มนุษย์มันก็มีรัก โลภ โกรธ หลง และด้วยความปรารถนามันสูงส่งมากก็เลยแบบว่าห้ามกันไม่ได้ ก็เลยเป็นชู้กัน เรื่องราวต่อจากนี้ก็ต้องตามไปดูกันว่าจะเป็นยังไงนะคะ
ฉากดราม่าเรียกน้ำตา ฉากอิน ฉากประทับใจ
คือมันมีหลายซีน ซีนที่พลอยชอบอันนึงก็คือเป็นแบบว่า ตอนนั้นส่างหม่องกับยุพดียังไม่มีอะไรกัน เหมือนแบบเขาพาไปเดินป่า ส่างหม่องพายุพดีไปเดินเที่ยวบนภูเขา เพราะยุพดีเป็นคนแบบรักอิสระมาก คืออยู่ในกรุงเทพฯ อยู่แต่ในกรอบ อยู่แต่ในเมือง ตอนนั้นก็มีสงคราม อึดอัด ทนไม่ได้ คือเธอจะเป็นคน Sensitive พอได้มาอยู่ที่นี่ก็รู้สึกว่าเธอมีอิสระ อยู่ในโลกกว้าง อยู่กับธรรมชาติ เธอก็เหมือนมีโอกาสได้พูดคุยกับส่างหม่อง จากความคิดของยุพดี เธอพูดกับส่างหม่องว่าทำไมคนเราชอบพูดกันด้วยสมองมากกว่าหัวใจ ไม่เห็นต้องสรรหาคำพูดให้มันยากหรือซับซ้อนหรือเยิ่นเย้อ ทั้งๆ ที่ความหมายมันก็คือความหมายเดียวกัน คือมันมีไดอะล็อคหลายไดอะล็อคที่พลอยชอบ และก็ยุพดีเป็นคนที่ฉลาด เป็นผู้หญิงที่ไม่แบบว่าทำตามอารมณ์หรือความปรารถนาอย่างเดียว มันคือความรัก และเธอก็เป็นคนที่ฉลาดมาก ความคิดความอ่านฉลาดมาก ไม่งั้นพะโป้ไม่รักผู้หญิงคนนี้ได้อย่างรวดเร็ว
และก็มีฉากที่เรียกน้ำตา ก็คงเป็นฉากที่พอทั้งคู่ได้มาอยู่ด้วยกันแล้วนี่ โดนล่ามโซ่อยู่ด้วยกัน ก็จะมีภาพที่แบบว่า ได้ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน เดินเล่น วิ่งเล่น อ่านหนังสือ ทานอาหารด้วยกัน ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันจนมีความรู้สึกที่ว่าคนเรามันอยู่ด้วยกันตลอดไม่ได้ ต่อให้รักกันขนาดไหนก็ไม่มีทางจะแบบตัวติดกันอย่างนี้ได้ตลอด มันต้องมีแบบทะเลาะ มีกระทบกระทั่งกันเพราะว่ามนุษย์ทุกคนอย่างที่ยุพดีพูด “มนุษย์ทุกคนย่อมมีหัวใจที่รักอิสระ” ทั้งคู่ก็เริ่มทะเลาะกัน ตีกัน ก็จะเป็นฉากดราม่าที่สะท้อนอะไรหลายๆ อย่างค่ะ และก็เป็นฉากที่เจ็บตัว ตบจริง ก็ตบกันไปตบกันมา ทีมงานยังแบบช็อคกันเลย ดูเหมือนจริงมาก ก็ทะเลาะกันจริงๆ ผลักกันไปผลักกันมา ก็อินกันจริงๆ
อินเป็นตัวยุพดีไปเลย
ก็เป็นค่ะ แต่ว่าเวลาคัทปุ๊บ พลอยก็เป็นตัวพลอย พลอยจะตัดได้เร็ว แต่เวลาเป็นตัวยุพดีปุ๊บก็ไม่ออกเลย
นอกจากนี้ ยังมีฉากใหญ่ๆ อลังการหลายฉากด้วย
ใช่ อย่างฉากที่ยุพดีเดินทางมาถึงที่ปางไม้นี้ ก็จะเป็นแบบงานต้อนรับ เป็นวันแรกที่เธอได้มาสู่ที่นี่ และก็ได้พบส่างหม่อง ก็เป็นงานต้อนรับยุพดี ซึ่งฉากก็จะใหญ่โตมาก เพราะว่าเราเซ็ตฉากคฤหาสน์พะโป้หลังใหญ่มากขึ้นมากันเองเลย ก็จะเป็นฉากที่สร้างขึ้นที่อุทยานแห่งชาติขุนแจ ก็มาสร้างเหมือนเป็นพระราชวังของพะโป้ เซ็ตนี้ก็จะอลังการมาก และก็สวยมากด้วยค่ะ พลอยว่าเรื่องนี้โปรดักชั่นพิถีพิถันและก็สวยทุกฉากเลยค่ะ
คอสตูมก็สวยไม่แพ้กัน
ใช่แล้วค่ะ คอสตูมเรื่องนี้มีเสน่ห์มากๆ ตรงที่ว่า สำหรับตัวยุพดีก่อนเลย เธอก็เป็นผู้หญิงที่ใส่ชุดของฝรั่งตลอด ซึ่งในยุคนั้น เสื้อผ้าแบบสไตล์แกสบี้ มีเฉพาะในยุคนั้น และประเทศไทยก็ไม่มีแน่ๆ แต่ผู้หญิงที่ใส่ชุดแบบนี้ถือว่าเก๋ อินเทรนด์มากๆ เก๋สุดๆ และก็ทำผมเป็นเวฟ คือออกแบบมาได้เท่มาก และก็พอย้ายมาอยู่ที่ปางไม้ ยุพดีก็จะเก๋ตรงที่ว่าเอาผ้าซิ่นมาแต่งกับชุดฝรั่งด้วย คือ Mix and Match เป็นผู้หญิงเก๋นะ มิกซ์แอนด์แมทช์สมัยนั้นไม่มีนะ
และก็ชุดนอนของยุพดีนี่ พลอยชอบมากเลย ก็จะเป็นแบบเดรสยาว เป็นซาตินข้างในลื่นๆ และข้างนอกก็เป็นกิโมโนตลอด ใส่กิโมโนอยู่บ้านตลอด ใส่กิโมโนอยู่บ้าน เก๋ แล้วก็ทาปากแดง เล็บแดง เขาจะเป็นคนที่แต่งตัวจัดตลอด ก็สำหรับเสื้อผ้าที่อยู่ที่นี่ ที่แต่งกายโดยชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นนักแสดงหลัก หรือว่านักแสดงสมสบทุกๆ คน ก็จะเป็นเสื้อผ้าของไทยใหญ่ เป็นแบบผ้าถุงเป็นผ้าซิ่น ก็จะเป็นลวดลายเป็นคลื่นมีสีส้ม สีเขียว สีชมพู สีเหลือง เป็นสีพาสเทล ซึ่งดูแล้วแบบสวยงามมาก เวลามาอยู่ด้วยกัน เหมือนแบบเขาจะใส่ผ้าแถบข้างใน บางทีใส่ผ้าแถบข้างในเป็นสีส้ม เสื้อคลุมก็จะเป็นสีชมพู คือแบบว่าออกแบบมาอย่างดีหมดเลย เท่มากๆ ทุกคนเท่หมดเลย ชอบคอสตูมเรื่องนี้มาก
ร่วมงานกับอนันดาในภาพยนตร์เป็นครั้งแรก เป็นอย่างไรบ้าง
สำหรับอนันดานี่ก็คือ ก็เคยเล่นละครด้วยกันแล้ว ละครของหม่อมเนี่ยแหละค่ะ เป็นศิษย์หม่อมด้วยกันมาทั้งคู่ โตด้วยกันมา เป็นเจเนอเรชั่นเล็กที่แบบว่าโตขึ้นมา ก็รู้สึกดีนะ ได้ทำงานกับเพื่อนเพราะอย่างอนันดานี่คือพลอยรู้จักมาตั้งแต่อายุ 14 แล้ว ก็คือโตด้วยกันมาตั้งแต่เด็กเลยแบบไปเที่ยวเล่นด้วยกัน เจอกัน แฮงค์เอาท์กัน อนันดาเป็นคนที่น่ารัก จริงใจ และก็ตลก บ้าๆ บอๆ เขาก็จะไม่ใช่ผู้ชายที่แบบมีมาดมาก หรือแบบมีชั้นเชิงเยอะ เขาเป็นคนง่ายๆ น่ารักๆ และก็ทุกครั้งที่พลอยได้มีโอกาสทำงานกับเขา พลอยรู้สึกสบายใจ พลอยรู้สึกสบายใจที่ทำงานด้วย หรือว่าพูดคุยด้วย เพราะเขาเป็นคนที่ค่อนข้างเปิด และก็ทำงานมันรู้สึกว่าเคมีมันตรงกัน คือความคิดเราก็เหมือนกัน เวลาเราพูดอะไรก็พูดภาษาเดียวกันเรื่องเดียวกัน และเวลาแสดงเขาเป็นพาร์ทเนอร์ที่ดีมาก เขาจะรับส่งให้พลอยตลอด และก็พูดได้เลยว่าเขาเป็นผู้ชายคนเดียวที่พลอยกล้าที่จะเล่นเลิฟซีนด้วย เพราะปกติพลอยไม่เล่นเลิฟซีนหวือหวาขนาดนี้ ไม่เล่นเลย แต่รู้สึกสบายใจเพราะว่าอนันดาเขาให้เกียรติเรามากเลย
อย่างพี่บี๋ ธีรพงศ์ก็เคยร่วมงานกับพลอยมาตั้งแต่เด็กแล้ว
ใช่ค่ะ กับพี่บี๋เขาก็แบบเป็นตากล้องที่สาวๆ ทุกคนต้องรู้จัก พี่บี๋เคยถ่ายรูปให้พลอยเรื่องลูกทาส พี่บี๋มาถ่ายรูปละครให้หม่อมน้อย ก็เป็นรูปที่สวยมาก พลอยชอบมาก ตอนนั้นแต่งเป็นทาสและก็ถือร่มสีส้ม เป็นรูปที่ชอบสุด และก็ไม่คิดว่าวันหนึ่งเราจะมีโอกาสได้มาแสดงกับพี่บี๋ ซึ่งปกติพี่บี๋ส่วนมากก็จะถ่ายรูป และก็เล่นละครบ้าง และเรื่องนี้ก็ต้องมารับบทหนักด้วยกัน แต่ว่าพี่บี๋เขาก็น่ารักมาก ให้ความเป็นกันเอง ก็ดีใจที่ได้มีโอกาสได้มาแสดงหนังกับพี่บี๋ และพี่บี๋เป็นคนที่แบบแสดงออกมาได้ดีมากเลยนะ ตอนแรกพลอยไม่คิดว่าเขาจะเป็นตัวพะโป้ได้มากขนาดนี้ ดูแบบทรงเสน่ห์ แบบพาวเวอร์ฟูล โอ้โห้ ดูมีอำนาจ ดูแบบแข็งแรงมาก ชอบมาก คาแร็คเตอร์ของเขาในเรื่องนี้ดูเปลี่ยนแปลงไปมากจากที่เคยสัมผัสหรือเห็นมานะคะ
เสน่ห์หรือความน่าสนใจโดยรวมของเรื่อง “ชั่วฟ้าดินสลาย”
จริงๆ แล้ว “ชั่วฟ้าดินสลาย” นี่ โดดเด่นมาตั้งแต่บทประพันธ์แล้ว เป็นบทประพันธ์ที่พูดได้ว่า พลอยไม่เคยอ่านบทประพันธ์ไหนที่แบบว่าทำให้เฌอมาลย์ร้องไห้ได้ทันควัน ร้องได้มากมายขนาดนี้ เป็นบทประพันธ์ที่ดีมาก และโดยเฉพาะเอามาเรียบเรียงใหม่โดยหม่อมน้อยแล้วเนี่ย ยิ่งสวยงามมากๆ และก็ด้วยนักแสดงเองทุกคน แคสติ้งมาลงตัวที่สุด ลงตัวมาก และในส่วนงานสร้างไม่ว่าจะเป็นฉาก เป็นทีมกล้อง หรือทีมงานทุกคน ก็คือทำงานกันเต็มที่มากๆ และพลอยเชื่อว่างานคงออกมาดีอย่างแน่นอน ไม่ทำให้ทุกคนผิดหวังแน่นอน เพราะว่าหลายคนก็ตั้งหน้าตั้งตารอคอยดูอยู่
อีกแง่มุมหนึ่ง ตัวเนื้อหาก็สะท้อนความรัก กิเลสตัณหา ความเป็นมนุษย์ออกมาด้วย
มันก็หลายอย่างนะ ให้แง่คิดได้หลายมุมมอง แต่ที่แน่ๆ ก็คือ ถ้าคนเราทำอะไรที่มันแบบตามความรู้สึกมากจนเกินไป ก็อาจจะนำผลเสียมาให้ตัวเองได้ อย่างที่เห็นกับตัวละครในเรื่องนี้ และมันก็จะมีมุมมองความรักที่สวยงาม ค่อนข้างที่จะเยอะ สะท้อนออกมาในบทพูดของตัวแสดงแต่ละประโยค ซึ่งพลอยเอง พลอยอ่านแล้วก็เออ...จริง มุมมองความรักแบบนี้ จริงนะ ทำไมเราไม่คิดแบบนี้บ้าง
ความคาดหวังต่อเรื่อง “ชั่วฟ้าดินสลาย”
ถามว่าคาดหวังไหม ก็คาดหวังนะ ปกติทำงานจะไม่คาดหวังอะไรมาก แต่สำหรับเรื่องนี้คาดหวังมากๆ อยากให้คนดูรักภาพยนตร์เรื่องนี้ เหมือนกับที่พลอยรัก เหมือนกับที่ทีมงานทุกๆ คนรัก เป็นภาพยนตร์ที่ดีมากๆ เป็นภาพยนตร์รักแห่งปีแห่งศตวรรษเลยก็ว่าได้ ไม่ว่าจะเป็นทั้งงานภาพ การแสดง ทุกอย่างเพอร์เฟคมาก เพอร์เฟคที่สุดเลย และก็ผู้กำกับในยุคหลังนี้ไม่มีใครทำหนังแบบนี้แล้วด้วย จริงๆ นะ ไม่มีใครทำหนังได้อย่างนี้แล้วด้วย ก็อยากให้มาดูกันมากๆ เป็นหนังไทยคุณภาพที่ดีมากๆ ค่ะ