กรุงเทพฯ--6 ก.ย.--PRdd
นางพวรรณ์ นววัฒนทรัพย์ รองประธานกรรมการบริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด เปิดเผยถึงภาพรวมสถานการณ์ตลาดทองคำในช่วง 8 เดือนที่ผ่านมาว่า มีความผันผวนสูงมากโดยมีปัจจัยสำคัญที่มีผลกระทบต่อการขึ้นลงของราคาทองคำอย่างต่อเนื่อง จากประเด็นข่าวทั้งเชิงบวกและลบต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของประเทศต่างๆทั้งยุโรปและสหรัฐ ทั้งนี้ ราคาทองคำมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในช่วงปลายเดือนมิถุนายน ที่ 1,265 ดอลลาร์ต่อออนซ์จากระดับ 1,080 ดอลลาร์ต่อออนซ์ในเดือนมีนาคม โดยปรับเพิ่มขึ้นถึง 185 ดอลลาร์ต่อออนซ์ จากปัญหาวิกฤติหนี้สาธารณะในยุโรป จนภายหลังมาตรการช่วยเหลือได้กระตุ้นความเชื่อมั่นระยะสั้น ทำให้ราคาทองคำปรับตัวลดลงจากจุดสูงสุดเป็นประวัติการณ์มาทำจุดต่ำสุดที่ระดับ 1,155 ดอลลาร์ต่อออนซ์ โดยปรับตัวลดลงมา 110 ดอลลาร์ต่อออนซ์
ทั้งนี้ ล่าสุดเมื่อมีการรายงานตัวเลขจีดีพีไตรมาส 2 ของสหรัฐที่ชะลอตัวลง รวมทั้งความวิตกกังวลของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ต่อแนวโน้มการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจด้วยตัวเลขการจ้างงานและผลผลิตทางเศรษฐกิจชะลอตัวลง และยังคาดว่าในระยะใกล้นี้เศรษฐกิจมีแนวโน้มขยายตัวในระดับต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ จึงเป็นสาเหตุให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์ถึงประเด็นการเกิดสภาวะถดถอยซ้ำซ้อน (double dip recession) อย่างกว้างขวาง ซึ่งถือเป็นปัจจัยหลักที่กระตุ้นนักลงทุนเข้าถือครองทองคำส่งผลให้ราคาทองคำไต่ระดับขึ้นทดสอบจุดสูงสุดใหม่อีกครั้งโดยล่าสุด(2/09/10)เคลื่อนไหวอยู่ที่ระดับ 1,245 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากจุดต่ำสุดก่อนหน้านี้แล้ว 90 ดอลลาร์ต่อออนซ์
นางพวรรณ์ ยังกล่าวถึงแนวโน้มราคาทองคำจากนี้จนถึงสิ้นปีว่า ยังคงมีปัจจัยที่กระทบต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจทุกภูมิภาคทั่วโลก ทั้งปัญหาการว่างงาน ปัญหาฟองสบู่อสังหาริมทรัพย์ ความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน การยกเลิกนโยบายการเงินผ่อนคลาย และ ปัญหาการขาดดุลงบประมาณและหนี้สาธารณะ เมื่อประกอบกับราคาทองคำได้รับปัจจัยหนุนเพิ่มเติมจากเทศกาลในประเทศอินเดียในไตรมาส 4 แล้ว ทำให้มีความต้องการทองคำ (Physical Demand) เพิ่มมากขึ้น จึงคาดว่าจะสามารถผลักดันให้ราคาทองคำขยับขึ้นไปเคลื่อนไหวอยู่บริเวณ 1,300-1,350 ดอลลาร์ต่อออนซ์ได้ภายในสิ้นปีนี้
สำหรับการดำเนินงานของกลุ่มวายแอลจีในช่วงที่ผ่านมา ในส่วนธุรกิจทองคำแท่งบริษัทฯยังสามารถรักษาความเป็นผู้นำอันดับ 1 ไว้ได้ โดยมียอดซื้อขายประมาณ 75% ของเป้าหมายที่ตั้งไว้ในปี 53 ที่คาดว่าจะทำยอดขายได้ไม่ต่ำกว่า 200 ตัน และมีอัตราการเติบโตจากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมาประมาณ 30% จากยอดขายรวมในปี 52 ที่ 150 ตัน โดยยอดขายที่เพิ่มขึ้นส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากราคาทองคำในตลาดโลก ที่มีการเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงค่อนข้างสูงในช่วงครึ่งปีแรกทำให้นักลงทุนเข้ามาลงทุนเป็นจำนวนมาก อีกทั้งลูกค้ายังมีความเชื่อถือในบริษัทฯมากขึ้น จากการจัดกิจกรรมส่งเสริมการตลาดและการให้ความรู้แก่นักลงทุนอย่างต่อเนื่องและการให้บริการใหม่ๆเพื่ออำนวยความสะดวกแก่ลูกค้าอย่างครอบคลุมมากขึ้น
“ปัจจัยสำเร็จอีกส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากเราได้ขยายบริการใหม่ๆเต็มทุกรูปแบบ โดยมีเป้าหมายทั้งเรื่องความสะดวกและปลอดภัยของลูกค้า โดยล่าสุดได้เปิดขยายบริการรับซื้อขายทองคำแท่ง 99.99% และทองคำแท่ง 96.5% ไปจนถึงเวลา 24.00 น. จากเดิมที่เปิดถึง 22.00 น. โดยอ้างอิงราคา spot ทองคำโลกด้วย ช่วยให้ลูกค้าลดความเสี่ยงจากความผันผวนของราคาทองคำในตลาดโลก” นางพวรรณ์กล่าวพร้อมเพิ่มเติมว่า
นอกจากนี้นักลงทุนยังไม่ต้องถือเงินสดในการลงทุนอีกต่อไปด้วยบริการทางการเงินของการหักบัญชีอัตโนมัติ (ATS) และบริการส่งสินค้าตามธนาคารสาขาใกล้บ้านในเขตกรุงเทพ สำหรับธนาคารกรุงเทพ และกสิกรไทย รวมทั้งบริการส่งสินค้าในต่างจังหวัดตามความต้องการของลูกค้า
ด้านนางสาวฐิภา นววัฒนทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลียน แอนด์ฟิวเจอร์ส จำกัด เปิดเผยว่า ในช่วง 8 เดือนที่ผ่านมา บริษัทปริมาณการซื้อขายสัญญาโกลด์ฟิวเจอร์สของบริษัทฯ มีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 8,420 สัญญา หรือ คิดเป็นยอดเทรดต่อวันประมาณ 400-1,000 สัญญา และจากการเปิดให้บริการซื้อขายสัญญาทองคำล่วงหน้าขนาด 10 บาท หรือ มินิโกลด์ฟิวเจอร์สนั้น แม้จะยังไม่ได้ช่วยเพิ่มกลุ่มลูกค้าใหม่ในช่วงเริ่มต้นแต่ก็สามารถเป็นเครื่องมือในการบริหารการลงทุนให้กับลูกค้าที่ลงทุนในสัญญาโกลด์ฟิวเจอร์สสัญญาละ 50 บาทได้ทยอยขายออกหรือลงทุนเพิ่มโดยผ่านมินิโกลด์ได้ โดยบริษัทฯยังคงตั้งเป้าหมายขยายฐานลูกค้ากลุ่มใหม่เป็น 2,000 ราย จากเดิมที่มีอยู่ 1,500 ราย
“เราจะให้ความสำคัญกับการให้ความรู้แก่ลูกค้าโดยจะจัดสัมมนาทุกๆเดือน พร้อมกิจกรรมการตลาดเพื่อเข้าถึงกลุ่มลูกค้าทั้งในกรุงเทพและต่างจังหวัด ควบคู่กับการพัฒนาสินค้าใหม่ๆให้ตรงกับความต้องการลูกค้า โดยจะทำโฆษณาประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างแบรนด์ให้มีความแข็งแกร่ง นอกจากนี้ บริษัทฯยังใช้งบประมาณ 10 ล้านบาทในการพัฒนาระบบไอทีเพื่อรองรับการขยายบริการใหม่ในอนาคต เช่น การให้บริการสั่งซื้อขายทองคำแท่งออนไลน์” นางสาวฐิภากล่าว