กรุงเทพฯ--6 ก.ย.--IR network
บมจ.แคปปิทอล เอ็นจิเนียริ่ง เน็ตเวิร์ค หรือ CEN ปรับเป้าหมายการขาย “ระยองไวร์อินดัสตรีส์” ซึ่งเป็นบริษัทลูกใหม่ หลังจากโชว์ผลการดำเนินงานที่โดดเด่นต่อเนื่อง โดย RWI ปีนี้เพิ่มเป้ารายได้ขยายตัว 20-25% จากเดิมที่วางไว้เพียง 10% โดยใช้กลยุทธ์ดำเนินธุรกิจเชิงรุกทำให้สามารถเพิ่มฐานลูกค้าให้กว้างขึ้น อีกทั้งเตรียมออกสินค้าใหม่ช่วงปลายปีนี้ และมีแผนขยายกำลังการผลิตเพิ่มขึ้น ผนวกกับการนำระบบ ERP (Enterprise Resource Planning) มาใช้ทำให้การบริหารต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ และส่งผลให้ความสามารถในการทำกำไรสูงขึ้นด้วย พร้อมวางเป้าหมายอีก 5 ปีข้างหน้ารายได้ RWI ขยับขึ้นไปแตะระดับ 2,000 ล้านบาท
นายวุฒิชัย ลีนะบรรจง ประธานกรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แคปปิทอล เอ็นจิเนียริ่ง เน็ตเวิร์ค จำกัด (มหาชน) (CEN) กล่าวว่า บริษัท ระยองไวร์ อินดัสตรีส์ จำกัด(มหาชน)(RWI) ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของ CEN (CEN ถือหุ้นใน RWI ร้อยละ 99.99) ปัจจุบันดำเนินธุรกิจเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายลวดแรงดึงสูงชนิดเส้นเดี่ยว ชนิดตีเกลียว และ ลวดเชื่อมไฟฟ้า สำหรับใช้ในอุตสาหกรรมโรงหล่อเสาเข็ม สะพานและตึกสูง RWI ได้ปรับเป้าหมายการขายปี 2553 เติบโตจากปีก่อน 10% เป็น 20-25% โดยตั้งเป้าหมายการขายจะไต่ขึ้นไปแตะที่ระดับประมาณ 2,000 ล้านบาทได้ภายใน 5 ปี อันเนื่องมาจากนโยบายการบริหารธุรกิจในเชิงรุกมากขึ้น อีกทั้งในช่วงปลายปีนี้ RWI เตรียมที่จะผลิตสินค้าตัวใหม่ออกสู่ตลาดซึ่งคาดว่าจะได้รับความสนใจเพราะเป็นสินค้าที่อยู่ในอุตสาหกรรมที่กำลังขยายตัวอย่างมากและมีกำลังการผลิตมากพอที่จะรองรับความต้องการของตลาดที่ขยายตัวมากขึ้น
“ในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมาผลการดำเนินงานของ RWI เป็นที่น่าพอใจ สามารถสร้างยอดขายและทำกำไรต่อเนื่องถึง 4 ไตรมาส เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนบริษัทมีผลขาดทุน จากปัญหาวัตถุดิบ ซึ่งปัจจุบันเราได้แก้ปัญหาต้นทุนเป็นที่เรียบร้อยแล้วรวมถึงการจัดการสินค้าคงคลังและเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ทำให้มั่นใจว่าผลการดำเนินงานของบริษัทในรอบบัญชีไตรมาส 3 — 4 ในปีนี้ จะเป็นบวกและมีกำไรสุทธิเกิดขึ้นอีกอย่างแน่นอน ประเมินว่ารายได้รวมของ RWI จะขึ้นไปถึงระดับ 850 ล้านบาท จากปีที่ผ่านมาซึ่งมีรายได้รวมประมาณ 690 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตราการขยายตัวประมาณ 25 % อันเป็นผลพวงมาจากโครงการไทยเข้มแข็งของรัฐบาล ทำให้ความต้องการใช้เหล็กในประเทศเพิ่มขึ้น ส่งผลให้อุตสาหกรรมเหล็กในประเทศฟื้นตัวชัดเจน ซึ่งสะท้อนได้จากราคาเหล็กเส้นที่มีเสถียรภาพมากขึ้น และบริษัทได้มีบริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพโดยใช้ระบบ ERP (Enterprise Resource Planning) และมีคณะทำงานคอยติดตามการเปลี่ยนแปลงของราคาวัตถุดิบอย่างใกล้ชิด”
นายวุฒิชัยเผยในช่วงท้ายว่า RWI มีความเชี่ยวชาญเป็นอย่างมากในการผลิตลวดเหล็กชนิดต่างๆ ซึ่งสามารถส่งเสริมการต่อยอดธุรกิจลวดเหล็กให้เติบโตและขยายไปในอุตสาหกรรมอื่นได้อีก และขณะนี้มีโครงการผลิตสินค้าตัวใหม่ออกสู่ตลาดอุตสาหกรรมก่อสร้างและการผลิต ซึ่งกำลังเติบโตอย่างมากในปัจจุบัน บริษัทได้มีการสำรวจตลาดจนมั่นใจว่าสินค้าดังกล่าวจะได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้าและผู้ประกอบการอย่างแน่นอน และตั้งเป้าที่จะเติบโตในธุรกิจนี้ในระยะยาวและคาดว่าพร้อมลงลุยในอุตสาหกรรมดังกล่าวอย่างเต็มที่ในปี 2554 และปีต่อๆไป โดยเชื่อมั่นว่าจะสามารถขยายตลาดได้เต็มกำลังการผลิตที่มากเพียงพอต่อความต้องการและผลักดันให้ยอดขายรวมขยายตัวแบบก้าวกระโดด
ทั้งนี้ บมจ.ระยองไวร์ อินดัสตรีส์ (RWI) ดำเนินธุรกิจด้านผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ลวดเหล็กแรงดึงสูง และลวดเชื่อมไฟฟ้าซึ่งสามารถแบ่งผลิตภัณฑ์ได้เป็น 3 ประเภท ดังนี้
1.ลวดเหล็กแรงดึงสูงชนิดเส้นเดี่ยว (Prestressed Concrete Wire หรือ PC-Wire) มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางตั้งแต่ 4, 5, 7 และ 9 มิลลิเมตร เป็นผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในงานก่อสร้างที่เน้นความแข็งแรง ความทนทานเพื่อรองรับน้ำหนัก โดยนิยมนำไปใช้ในการผลิตเสาเข็ม เสาไฟฟ้า แผ่นพื้นสำเร็จรูป และไม้หมอนคอนกรีตสำหรับรางรถไฟ
2.ลวดเหล็กแรงดึงสูงชนิดตีเกลียว (7- Wire Prestressed Concrete Strand หรือ PC-Strand) มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 9.3, 9.5, 12.4, 12.7 และ 15.2 มิลลิเมตรเป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้มาจากการนำลวดเหล็กแรงดึงสูงชนิดเส้นเดี่ยวมาตีเกลียวเข้าด้วยกันทำให้สามารถรับแรงดึงได้มากขึ้น และนิยมนำไปใช้ในงานก่อสร้างขนาดใหญ่ อาทิ คานสะพาน ทางยกระดับ เสาเข็มขนาดใหญ่และไซโล เป็นต้น
3.ลวดเชื่อมไฟฟ้า (Welding Wire หรือ เรียกกันว่า MIG WIRE ) มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 0.8, 0.9และ 1.2 มิลลิเมตร เป็นผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในอุตสาหกรรมเชื่อมโลหะ เช่น อุตสาหกรรมประกอบรถยนต์และชิ้นส่วนรถยนต์ อู่ต่อเรือ ตู้คอนเทนเนอร์ท่อสูบน้ำ ถังแก๊ส รถไถนา หม้อแปลงไฟฟ้า และเฟอร์นิเจอร์ เป็นต้น