กรุงเทพฯ--7 ก.ย.--ปภ.
กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย โดยสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดนครปฐม ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ฝึกซ้อมแผนป้องกันและระงับอัคคีภัย ในวันอังคารที่ 7 กันยายน 2553 ณ ตลาดบางหลวง ร.ศ.๑๒๒ เพื่อให้ทุกภาคส่วนเตรียมความพร้อมด้านบุคลากร อุปกรณ์ และเครื่องมือในการป้องกันและระงับอัคคีภัยให้อยู่ในสภาพพร้อมใช้งานได้ทันทีที่เกิดภัย รวมทั้งสามารถประสานปฏิบัติการระงับอัคคีภัยและช่วยเหลือผู้ประสบภัยได้อย่างเป็นระบบและมีประสิทธิภาพ
นายอนุชา โมกขะเวส อธิบดีกรมป้องและบรรเทาสาธารณภัย เปิดเผยว่า จังหวัดนครปฐมเป็นแหล่งที่ตั้งของชุมชนขนาดใหญ่ที่มีประชาชนอาศัยอยู่หนาแน่นหลายชุมชน โดยเฉพาะชุมชนตลาดบางหลวง ซึ่งเป็นตลาดเก่าแก่ที่มีนักท่องเที่ยวมาเที่ยวชมจำนวนมาก และมีสภาพบ้านเรือนเป็นอาคารไม้เก่า จึงมีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดอัคคีภัย ประกอบกับคณะรัฐมนตรีได้มีมติให้ปี พ.ศ.2553 เป็นปีแห่งการรณรงค์เพื่อการป้องกันอัคคีภัยในเคหสถานและสถานประกอบการ โดยมอบหมายให้กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยร่วมกับจังหวัดดำเนินงานตามโครงการดังกล่าว ดังนั้น กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย โดยสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดนครปฐมจึงได้ร่วมกับหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ดำเนินโครงการฝึกซ้อมแผนป้องกันและระงับอัคคีภัย ณ ตลาดบางหลวง ร.ศ. ๑๒๒ อำเภอบางเลน จังหวัดนครปฐม โดยแบ่งการฝึกซ้อมแผนเป็น 2 รูปแบบ ดังนี้ รูปแบบในที่บังคับการ(Command Post Exercise : CPX) เพื่อประชุมซักซ้อมทำความเข้าใจขั้นตอนการระงับเหตุอัคคีภัย และรูปแบบการฝึกซ้อมแผนปฏิบัติการจริง (Field Training Exercise:FTX) ในวันอังคารที่ 7 กันยายน พ.ศ.2553 โดยจำลองสถานการณ์เพลิงไหม้ชุมชนตลาดบางหลวง ร.ศ. ๑๒๒ ทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บเป็นจำนวนมาก จนต้องระดมกำลังจากหน่วยงานทุกภาคส่วนเข้าระงับเหตุ ช่วยเหลือและอพยพผู้ประสบอัคคีภัยออกจากพื้นที่เกิดเหตุ ทั้งนี้ การฝึกซ้อมแผนฯดังกล่าวเป็นการทดสอบความพร้อมของเครื่องมือ และอุปกรณ์กู้ภัยต่างๆให้อยู่ในสภาพพร้อมใช้งานได้ทันทีที่เกิดภัย รวมถึงเป็นการเตรียมความพร้อมให้เจ้าหน้าที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถประสานการปฏิบัติการระงับอัคคีภัย อพยพและช่วยเหลือผู้ประสบภัยได้อย่างเป็นระบบ และมีประสิทธิภาพ ซึ่งภายหลังการฝึกซ้อมแผนฯจะมีการตรวจสอบข้อบกพร่อง และนำไปแก้ไขปรับปรุงแผนปฏิบัติการป้องกันและลดความเสี่ยงอัคคีภัยระดับจังหวัดให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ซึ่งจะเป็นการสร้างความเชื่อมั่นในมาตรฐานความปลอดภัยให้กับนักท่องเที่ยวและประชาชนในพื้นที่