กรุงเทพฯ--13 ก.ย.--IR PLUS
เตาเผาขยะอัคคีปราการได้รับความไว้วางใจจาก ป.ป.ส.ให้เป็นผู้เผาทำลายยาเสพติดให้โทษของกลางประเภท 4 (ซาฟรอล) ที่จับได้ล็อตใหญ่สุดในประเทศไทยกว่า 50 ตัน "วันชัย เหลืองวิริยะ" เผยเหตุเป็นเตาเผาขยะความร้อนสูงแห่งเดียวของไทยที่ไม่ปล่อยมลภาวะออกสู่สิ่งแวดล้อม ซึ่งทุกขั้นตอนควบคุมโดยหน่วยงานรัฐ เผยพร้อมสานต่อปนิธานกรมโรงงานเจ้าของโครงการมุ่งกำจัดกากอุตสาหกรรมอันตรายให้ไม่กระทบต่อสิ่งแวดล้อมของประเทศ เชื่อผลักดันธุรกิจเติบโตต่อเนื่องได้ หลังพบมีกากอุตสาหกรรมอันตรายที่รอการเผาทำลายมากกว่าปีละ 5 แสนตัน ขณะที่ปัจจุบันมีการเผาทำลายเพียงปีละ 2 หมื่นตันเท่านั้น
นายวันชัย เหลืองวิริยะ กรรมการผู้จัดการ บริษัท อัคคีปราการ จำกัด ผู้ประกอบกิจการบริหารเตาเผาขยะความร้อนสูงของกรมโรงงานอุตสาหกรรม เพื่อให้บริการเผาทำลายขยะ สิ่งปฏิกูลและวัสดุที่ไม่ใช้แล้วทุกชนิด รวมถึง ขยะติดเชื้อจากโรงพยาบาล ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของบริษัทเบตเตอร์ เวิลด์ กรีน จำกัด (มหาชน) หรือ BWG ผู้ดำเนินธุรกิจการบริหารและจัดการกากอุตสาหกรรมอย่างครบวงจร (One Stop Service) กล่าวว่า บริษัทได้รับความไว้วางใจจากสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) ให้เป็นผู้เผาทำลายยาเสพติดให้โทษของกลางประเภท 4 (ซาฟรอล) จำนวน50 ตัน โดยวิธีการเผาทำลายด้วยเตาเผาอุณหภูมิสูง ซึ่งสารเคมีตั้งต้นของสารเสพติดล็อตดังกล่าวถือเป็นสารตั้งต้นฯที่จับได้ล็อตใหญ่ที่สุดในประเทศไทย และจะเข้ากระบวนการเผาทำลายที่ถูกต้องตามหลักสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะคุณภาพอากาศที่ปล่อยออกไม่มีผล กระทบต่อชั้นบรรยากาศ พร้อมกันนี้ได้เชิญสื่อมวลชนทั้งในและต่างประเทศเข้าร่วมชมและเผยแพร่พิธีการเผาทำลายออกสู่สาธารณะทั้งในและต่างประเทศด้วย
“ป.ป.ส.ไว้วางใจให้อัคคีปราการเป็นผู้เผาทำลายสารตั้งต้นของสารเสพติดล็อตใหญ่ในครั้งนี้เพราะมั่นใจในกระบวนการเผาทำลาย โดยเฉพาะระบบฟอกอากาศที่ได้มาตรฐานและทันสมัยที่สุด และถูกควบคุมโดยหน่วยงานรัฐทั้งระบบว่าจะไม่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ในขณะเดียวกันยังสามารถแสดงให้ทุกองค์กรทั่วโลกได้เห็นว่าไทยมีความตั้งใจจริงที่จะทำลายสารเสพติดให้หมดไปจากประเทศ และมีเทคโนโลยีที่ควบคุมอากาศที่ปล่อยออกสู่ชั้นบรรยากาศที่ได้มาตรฐาน เพราะกระบวนการเผาทำลายเป็นไปอย่างปลอดภัย โปร่งใส สามารถเปิดเผยได้ทุกขั้นตอน สามารถสร้างการยอมรับได้ในระดับสากล”
เขากล่าวอีก ว่าเตาเผากากอุตสาหกรรมด้วยความร้อนสูงแห่งนี้ ปัจจุบันมีอยู่เพียงแห่งเดียวในประเทศไทย เนื่องจากใช้งบประมาณการลงทุนค่อนข้างสูง โดยโครงการแห่งนี้ ใช้งบประมาณสูงถึง 1,500 ล้านบาท ซึ่งเป็นการลงทุนของกรมโรงงานอุตสาหกรรม เนื่องจากกระบวนการเผาต้องควบคุมมาตรฐานในทุกขั้นตอนจนไม่เหลือมลพิษออกสู่สิ่งแวดล้อม โดยบริษัท อัคคีปราการ จำกัด ได้รับสัมปทานให้เป็นผู้บริหารโครงการดังกล่าวเป็นระยะเวลา 20 ปี และสามารถต่อสัญญาได้อีก โดยนโยบายหลักคือมุ่งสานต่อนโยบายของภาครัฐที่ต้องการจัดการกากอุตสาหกรรมอันตรายให้เป็นไปอย่างถูกวิธี โดยไม่มีมลพิษออกไปสู่สิ่งแวดล้อม ซึ่งที่ผ่านมาสามารถสนองตอบต่อนโยบายของ ภาครัฐได้เป็นอย่างดี เนื่องจากบริษัทเบตเตอร์ เวิลด์ กรีน จำกัด (มหาชน) หรือ BWG ซึ่งเป็นบริษัทแม่ มีประสบการณ์ในธุรกิจกำจัดกากอุตสาหกรรมมายานนานกว่า 13 ปี และเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ที่มีกฎเกณฑ์การบริหารธุรกิจที่โปร่งใสและตรวจสอบได้ จึงได้รับการยอมรับเป็นอย่างดีจากลูกค้าที่ใช้บริการ ของบริษัทฯ
นายวันชัยกล่าวอีกว่าปัจจุบันลูกค้าหลักของเตาเผาขยะอุตสาหกรรม คือ กลุ่มโรงงานอุตสาหกรรมที่มีการลงทุนจากประเทศญี่ปุ่น ที่มีนโยบายหลักในการจัดการกากอุตสาหกรรมที่เป็นรูปแบบแบบ Zero landfill รวมทั้งอุตสาหกรรมในประเทศทั้งกลุ่มธุรกิจยาปราบศัตรูพืช และยาฆ่าแมลง รวมทั้งกลุ่มอุตสาหกรรมปิโตรเคมี หรือกลุ่มของอุตสาหกรรมที่ผลิตหรือก่อให้เกิดกากอุตสาหกรรมอันตราย และกลุ่มโรงพยาบาลที่มีความเสี่ยงเรื่องขยะติดเชื้อ ส่วนในอนาคตเชื่อว่าธุรกิจดังกล่าวมีแนวโน้มเติบโตได้ดี หลังจากที่ภาครัฐได้ให้ความสำคัญกับการกำจัดกากอุตสาหกรรมอันตรายและขยะติดเชื้อแบบถูกวิธีมากขึ้น ซึ่งปัจจุบันมีการกำจัดขยะแบบเผาทำลายเพียงปีละ 2 หมื่นตันเท่านั้น จากจำนวนขยะดังกล่าวที่มีสูงถึงปีละ 5 แสนตัน จึงเชื่อว่าหากกลุ่มอุตสาหกรรมข้างต้นทยอยกำจัดกากอุตสาหกรรมแบบถูกวิธีจะทำให้บริษัทสามารถเติบโตอย่างก้าวกระโดดได้
ทั้งนี้ บริษัท อัคคีปราการ จำกัด เพิ่งได้รับสัมปทานสิทธิการบริหาร จากกรมโรงงานเมื่อปี 2551 ผลประกอบการใน 2 ปีแรกจึงอยู่ในภาวะขาดทุน เนื่องจากเป็นช่วงที่บริษัทและกรมโรงงานอุตสาหกรรมต้องลงทุนเพิ่มเพื่อปรับเปลี่ยนกระบวนการจัดการของเสียภายในประเทศให้ได้รับการจัดการโดยวิธีเฉพาะของแต่ละประเภทของเสีย แต่จากปัจจุบันที่รัฐมีนโยบายสนับสนุนการออกกฎระเบียบให้กากอตุสาหกรรมอันตรายได้รับการกำจัดโดยการเผาในเตาเผาแห่งนี้ จึงทำให้ตั้งแต่ไตรมาสที่4 ของปี 2552 บริษัทจึงเริ่มมีกำไรมาอย่างต่อเนื่อง ส่วนในปีนี้หลังจากที่คาดว่าผลประกอบการจะออกมาเป็นกำไรเป็นปีแรก บริษัทได้กำหนดเป้าหมายการเติบโตของรายได้ไว้เพียง 20-30 % เท่านั้น และในปี 2554 คาดว่าจะมีผลประกอบการจะเติบโตได้อย่างโดดเด่น ดังนั้นจึงเป็นไปได้ที่บริษัทจะยื่นขอเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เพิ่มเพิ่มความคล่องตัวในการรองรับโอกาสทางธุรกิจที่คาดว่าจะเติบโตเป็นอย่างมากในอนาคต
ข้อมูลเพิ่มเติมกรุณาติดต่อ
IR PLUS : คุณจุฬารัตน์ เจริญภักดี(ฟ้า)
Tel. 02-554-9395 // E-mail : jurarat@irplus.in.th