กรุงเทพฯ--17 ก.ย.--กรมสรรพสามิต
ดร.อารีพงศ์ ภู่ชอุ่ม อธิบดีกรมสรรพสามิต เปิดเผยว่าหลังจากที่ประชุมคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างประกาศกระทรวงการคลัง ตามที่กรมสรรพสามิตได้ขอความเห็นชอบในการยกเว้นภาษีสรรพสามิต โดยยกเว้นการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตแบตเตอรี่ ที่ใช้เป็นวัตถุดิบหรือส่วนประกอบผลิตสิ่งของอื่นเพื่อการส่งออกนอกราชอาณาจักร เพื่อให้ผู้ประกอบการผลิตสินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ หรือสินค้าอื่นๆ รวมทั้งอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง เช่น อุตสาหกรรมรถยนต์ อุตสาหกรรมรถจักรยานยนต์ อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ โทรศัพท์ ของเด็กเล่น และเครื่องมือแพทย์ ให้สามารถยกเว้นภาษีสรรพสามิตแบตเตอรี่ที่แฝงอยู่ได้ ซึ่งมาตรการนี้จะทำให้ช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันกับต่างประเทศได้
ดร.อารีพงศ์ กล่าวต่อว่า นอกจากจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันแล้ว ยังช่วยให้ผู้ประกอบการที่ได้รับสิทธิประโยชน์ภายใต้กฎหมายส่งเสริมการลงทุน พ.ศ. 2520 ที่นำเข้าแบตเตอรี่สำหรับใช้เป็นส่วนประกอบในการผลิตสินค้าเพื่อการส่งออก จากเดิมที่ได้สิทธิเพียงการยกเว้นอากรของกรมศุลกากรเท่านั้น โดยไม่ได้รับสิทธิขอยกเว้นภาษีในส่วนของภาษีสรรพสามิต แต่จากมาตรการนี้จะทำให้ผู้ประกอบการสามารถขอยกเว้นภาษีสรรพสามิตได้ ส่งผลให้สินค้าที่ส่งออกมีราคาต้นทุนต่ำลง
“เมื่อมีการยกเว้นภาษีสรรพสามิตแบตเตอรี่สำหรับแบตเตอรี่ที่ใช้เป็นวัตถุดิบหรือส่วนประกอบในการผลิตสินค้าหรือสิ่งของอื่นเพื่อการส่งออกนอกราชอาณาจักร จะทำให้รัฐสูญเสียรายได้ประมาณปีละ 333 ล้านบาทก็ตาม แต่ก็นับว่าคุ้มค่า เพราะช่วยให้ผู้ประกอบการภายในประเทศที่ผลิตสินค้าเพื่อการส่งออกมีศักยภาพในการแข่งขันเพิ่มขึ้น รวมถึงช่วยลดภาระต้นทุนของผู้ประกอบการ และสนับสนุนให้ประเทศไทยเป็นฐานในการผลิตสินค้าเพื่อการส่งออกมากยิ่งขึ้น”
ดร.อารีพงศ์ กล่าวเพิ่มเติมว่าในรอบ 11 เดือน ของปีงบประมาณ 2553 (ตุลาคม 2552-สิงหาคม 2553) กรมสรรพสามิตจัดเก็บภาษีจากแบตเตอรี่ได้รวม 1,223.22 ล้านบาท แยกเป็นแบตเตอรี่ที่ใช้ในรถยนต์ จำนวน 987.57 ล้านบาท แบตเตอรี่ที่ใช้ในรถจักรยานยนต์ จำนวน 84.39 ล้านบาท แบตเตอรี่ที่ใช้ในถ่านไฟฉาย จำนวน 143.92 ล้านบาท แบตเตอรี่ที่ใช้ในโทรศัพท์ จำนวน 2.79 ล้านบาท และแบตเตอรี่ประเภทอื่นๆ จำนวน 4.56 ล้านบาท
ฝ่ายประชาสัมพันธ์ สำนักงานเลขานุการกรม กรมสรรพสามิต โทร. 02 241 4778 www.excise.go.th