กรุงเทพฯ--11 ก.ค.--ทริสเรทติ้ง
บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ประกาศคงอันดับเครดิตองค์กรของ บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ “BBB+” พร้อมทั้งจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่มีประกันในวงเงินไม่เกิน 2,000 ล้านบาทของบริษัทที่ระดับ “BBB+” ด้วยแนวโน้ม “Positive” หรือ “บวก” โดยอันดับเครดิตยังคงสะท้อนถึงความเป็นผู้นำในตลาดทาวน์เฮ้าส์ระดับกลางล่าง ความสามารถในการควบคุมต้นทุนการก่อสร้าง และสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่งของบริษัท นอกจากนี้ อันดับเครดิตยังสะท้อนถึงอุปสงค์ในตลาดที่อยู่อาศัยที่ชะลอตัวลงอันเป?นผลจากผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศที่เติบโตต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ ตลอดจนสถานการณ?ทางการเมืองที่ไม?แน?นอน และความเชื่อมั่นของผู?บริโภคที่ลดลง
แนวโน้มอันดับเครดิต “Positive” หรือ “บวก” สะท้อนถึงการคาดการณ์ว่าบริษัทได้รับผลลบจากการชะลอตัวของตลาดที่อยู่อาศัยไม่มากนักเมื่อเปรียบเทียบกับผู้ประกอบการรายอื่น แม้ว่าอุปสงค์ในที่อยู่อาศัยในระดับราคา 1-2 ล้านบาทต่อหน่วยจะชะลอตัวเช่นเดียวกับตลาดที่อยู่อาศัยโดยรวม แต่การแข่งขันไม่รุนแรงนักเนื่องจากมีผู้ประกอบการน้อยรายที่อยู่ในตลาดเดียวกันกับบริษัท นอกจากนี้ การมีข้อได้เปรียบด้านต้นทุนจากการสร้างบ้านจำนวนมากน่าจะทำให้บริษัทมีผลการดำเนินงานที่โดดเด่นในช่วงปี 2550-2551
ทริสเรทติ้งรายงานว่า บริษัทพฤกษา เรียลเอสเตท เป็นหนึ่งในผู้ประกอบการพัฒนาที่อยู่อาศัยชั้นนำของประเทศ ก่อตั้งในปี 2536 โดยนายทองมา วิจิตรพงศ์พันธุ์ และจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในเดือนธันวาคม 2548 ณ เดือนมีนาคม 2550 กลุ่มนายทองมาถือหุ้นจำนวน 78% ของหุ้นทั้งหมดของบริษัท บริษัทเน้นการพัฒนาโครงการทาวน์เฮ้าส์สำหรับผู้มีรายได้น้อยถึงปานกลางในเขตรอบนอกกรุงเทพฯ ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา บริษัทมีรายได้มากกว่า 57% จากการขายทาวน์เฮ้าส์ และส่วนที่เหลือจากบ้านเดี่ยว โดยราคาเฉลี่ยต่อหน่วยสำหรับทาวน์เฮ้าส์อยู่ที่ 9 แสนบาท และสำหรับบ้านเดี่ยวอยู่ที่ 2.8 ล้านบาท ความได้เปรียบในการแข่งขันของบริษัทมาจากความสามารถในการบริหารการก่อสร้างอย่างครบวงจรด้วยเทคโนโลยีการก่อสร้างที่มีประสิทธิภาพและใช้ชิ้นส่วนคอนกรีตเสริมเหล็กสำเร็จรูปจากโรงงานของบริษัท ซึ่งทำให้บริษัทสามารถลดระยะเวลาในการก่อสร้างและดำรงความเป็นผู้นำด้านต้นทุนในตลาดที่อยู่อาศัยในปัจจุบัน
ทริสเรทติ้งกล่าวว่า ในช่วง 3 เดือนแรกของปี 2550 บริษัทพฤกษา เรียลเอสเตท มีผลการดำเนินงานเป็นที่น่าพอใจ แม้ว่ายอดรับรู้รายได้สำหรับช่วง 3 เดือนแรกของปี 2550 จะลดลง 9% เป็น 1,887 ล้านบาทจากช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ยอดทำสัญญาของบริษัทสำหรับช่วง 3 เดือนแรกของปี 2550 เพิ่มขึ้นถึง 26% ในขณะที่ความสามารถในการทำกำไรของบริษัทอยู่ในระดับที่ดีแม้จะลดลง โดยบริษัทมีอัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานอยู่ที่ 20% ในปี 2549 และในช่วง 3 เดือนแรกของปี 2550 นอกจากนี้ บริษัทยังคงมีฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง โดย ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2550 บริษัทมีอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนอยู่ที่ 12.46%
ความไม่แน่นอนของสถานการณ์ทางการเมืองทำให้ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคลดลงอย่างต่อเนื่องและส่งผลให้อุปสงค์ในตลาดที่อยู่อาศัยอ่อนตัวลง และแม้ว่าแรงกดดันจากภาวะเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยจะค่อยๆ บรรเทาลง แต่ก็คาดว่าอุปสงค์ในที่อยู่อาศัยจะยังคงชะลอตัวต่อไปในช่วงปี 2550-2551 ทริสเรทติ้งกล่าว