ตลาดหลักทรัพย์ฯ เพิ่มหมวดธุรกิจเหล็ก เริ่ม 4 ม.ค. 54 สะท้อนภาพของอุตสาหกรรมที่ชัดเจน

ข่าวเศรษฐกิจ Friday October 1, 2010 17:16 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--1 ต.ค.--ตลท. ตลาดหลักทรัพย์ฯ ปรับเพิ่มหมวดธุรกิจ (Sector) เหล็ก (Steel) ภายใต้กลุ่มสินค้าอุตสาหกรรม (Industrials) เพื่อให้ข้อมูลที่ชัดเจนของบริษัทจดทะเบียนที่ประกอบธุรกิจเกี่ยวกับเหล็ก ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการวิเคราะห์ข้อมูลและตัดสินใจลงทุน โดยจะย้ายบริษัทจดทะเบียน 27 แห่ง มารวมไว้ในหมวดดังกล่าว เริ่ม 4 มกราคม 2554 เป็นต้นไป นายชนิตร ชาญชัยณรงค์ ผู้ช่วยผู้จัดการ กลุ่มงานผู้ออกหลักทรัพย์และบริษัทจดทะเบียน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า อุตสาหกรรมเหล็กเป็นอุตสาหกรรมพื้นฐานที่มีความสำคัญต่อการพัฒนาประเทศ เพราะเชื่อมโยงกับอุตสาหกรรมอื่นๆ เป็นจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจก่อสร้าง ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์ และบรรจุภัณฑ์ เป็นต้น การฟื้นตัวของเศรษฐกิจ และโครงการต่าง ๆ ของภาครัฐ ยังสนับสนุนการเติบโตของบริษัทในธุรกิจเหล็กซึ่งมีแนวโน้มการดำเนินงานที่ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัดในปีนี้ “การมีหมวดธุรกิจเหล็กโดยเฉพาะ จะช่วยให้ผู้ถือหุ้น ผู้ลงทุน และนักวิเคราะห์ สามารถเปรียบเทียบข้อมูลของบริษัทในกลุ่มได้ง่ายขึ้น เป็นประโยชน์ต่อการวิเคราะห์ข้อมูลและตัดสินใจลงทุน อีกทั้งยังเป็นการจัดหมวดธุรกิจที่สอดคล้องกับผู้จัดทำดัชนีในระดับสากล และตลาดหลักทรัพย์ต่างประเทศหลายแห่ง” นายชนิตรกล่าว ปัจจุบันตลาดหลักทรัพย์ฯ จัดโครงสร้างธุรกิจของบริษัทจดทะเบียนเป็น 8 กลุ่มอุตสาหกรรม และ 26 หมวดธุรกิจ โดยมีบริษัทที่ประกอบธุรกิจเกี่ยวกับเหล็กมากถึง 27 บริษัท แต่กระจายอยู่ใน 2 หมวดธุรกิจ คือ 16 บริษัทอยู่ในหมวดวัสดุอุตสาหกรรมและเครื่องจักร (ภายใต้กลุ่มสินค้าอุตสาหกรรม) และ 11 บริษัทอยู่ในหมวดวัสดุก่อสร้าง (ภายใต้กลุ่มอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง) ซึ่งเป็นจำนวนมากพอที่จะแยกเป็นอีกหนึ่งหมวดธุรกิจได้ บริษัทในหมวดธุรกิจเหล็ก ครอบคลุมตั้งแต่บริษัทผู้ผลิตเหล็กที่เป็นวัตถุดิบสำคัญของอุตสาหกรรมเหล็ก คือ แผ่นเหล็กรีดร้อน ไปจนถึงผู้ผลิตเหล็กสำหรับงานก่อสร้าง เช่น เหล็กเส้น และผู้แปรรูปเหล็กและตัวแทนจำหน่ายผลิตภัณฑ์เหล็ก นอกจากนี้ ยังรวมถึงบริษัทผู้ผลิตและแปรรูปผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนประกอบจากเหล็กเป็นหลัก เช่น สเตนเลส เป็นต้น ซึ่งในปัจจุบัน บริษัทที่จัดอยู่ในกลุ่มเหล็กมีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดประมาณ 103,000 ล้านบาท คิดเป็น 1.32% ของมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดรวม และอยู่ในอันดับที่ 13 ของหมวดธุรกิจทั้งหมด โดยบริษัทที่มีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ บมจ. สหวิริยาสตีลอินดัสตรี (SSI) บมจ. ทาทา สตีล (ประเทศไทย) (TSTH) และ บมจ. ไทยน๊อคซ์ สเตนเลส (INOX) ตามลำดับ “แม้ในช่วงที่ธุรกิจมีความผันผวน ยังมีบริษัทในธุรกิจเหล็กถึง 5 รายที่มีกำไรต่อเนื่องและจ่ายปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นสม่ำเสมอในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ได้แก่ บมจ. เอ็ม. ซี. เอส. สตีล (MCS) บมจ. สหมิตรเครื่องกล (SMIT) บมจ. ศูนย์บริการเหล็กสยาม (SSSC) บมจ. ไทยแลนด์ไอออนเวิคส์ (TIW) และ บมจ. ค้าเหล็กไทย (TMT)” นายชนิตรกล่าว ทั้งนี้ ตลาดหลักทรัพย์ฯ มีแผนในการให้ข้อมูลผู้ลงทุนเกี่ยวกับหุ้นในธุรกิจเหล็ก เริ่มจากสัมมนา “เจาะหุ้น...ตระกูลเหล็ก” ในวันเสาร์ที่ 16 ตุลาคม 2553 เวลา 12.30—14.30 น. ณ หอประชุมใหญ่ ศูนย์ฝึกอบรม เอ ไอ เอ ถนนสาทร ร่วมด้วยผู้บริหารบริษัท จดทะเบียน 3 แห่ง ได้แก่ บมจ. โลหะกิจ เม็ททอล (LHK) บมจ. ค้าเหล็กไทย (TMT) และ บมจ. สหวิริยาสตีลอินดัสตรี (SSI) รวมทั้งการจัดทำหนังสือ SET Stock Focus: Steel สำหรับหุ้นในธุรกิจเหล็ก ซึ่งจะเริ่มเผยแพร่แก่ผู้ลงทุนในงาน SET in the City ที่สยามพารากอน วันที่ 18-21 พฤศจิกายนที่จะถึงนี้ด้วย สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม โทร. S-E-T Call Center 0-2229-2222 สื่อมวลชนสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ฝ่ายสื่อสารองค์กร ลดาวัลย์ กันทวงศ์ โทร. 0-2229 — 2036 / กนกวรรณ เข็มมาลัย โทร. 0-2229 — 2048 / ณัฐยา เมืองแมน โทร. 0-2229-2043

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ