กรุงเทพฯ--5 ต.ค.--ไทยยูเนี่ยน โฟรเซ่น โปรดักส์
TUF ประกาศได้รับการยืนยันจาก Office of Fair Trading (OFT) ประเทศอังกฤษ ผ่านการอนุมัติควบรวมกิจการเป็นที่เรียบร้อยแล้ว มั่นใจสามารถปิดดีล MW Brands ปลายเดือนต.ค. เผยพร้อมเข้าวางแผนและกำหนดกลยุทธ์การดำเนินงานร่วมกับ MW Brands
นายธีรพงศ์ จันศิริ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไทยยูเนี่ยน โฟรเซ่น โปรดักส์ จำกัด (มหาชน) หรือทียูเอฟ ผู้ผลิตและส่งออกอาหารทะเลแช่แข็งและบรรจุกระป๋องรายใหญ่ของไทยเผยว่า บริษัทได้ผ่านระเบียบว่าด้วยเรื่องการควบรวมกิจการจาก Office of Fair Trading ของประเทศอังกฤษเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งเป็นเงื่อนไขอันดับสุดท้ายสำหรับการปิดดีลการซื้อ MWB ขณะนี้บริษัทมีความพร้อมทุกอย่าง เพราะได้ผ่านเงื่อนไขต่างๆ หมดแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการอนุมัติเข้าซื้อจากที่ประชุมผู้ถือหุ้น การอนุมัติเพิ่มทุน และล่าสุดเรื่องกฎหมายการควบรวมกิจการ ซึ่งถือเป็นความสำเร็จของบริษัทสำหรับการลงทุนข้ามชาติของบริษัทที่เป็นการลงทุนที่ใหญ่ที่สุดที่เคยเกิดขึ้น เพราะมีมูลค่าถึง 2.8 หมื่นล้านบาท อย่างไรก็ดี บริษัทมั่นใจว่า จะสามารถพร้อมปิด Transaction นี้ได้ ปลายเดือนตุลาคม
สำหรับการขออนุญาตในการควบรวมกิจการจาก UK Office of Fair Trading นั้น บริษัทสมัครใจที่จะยื่นขออนุญาตเอง (Voluntary Filing) เพื่อให้มั่นใจว่า การควบรวมในครั้งนี้จะไม่ก่อให้เกิดการผูกขาดทางการค้า อันจะเป็นผลให้การดำเนินธุรกิจและการแข่งขันเป็นไปอย่างไม่เป็นธรรม ซึ่งก็ได้รับการพิสูจน์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว สำหรับ Office of Fair Trading เป็นหน่วยงานของประเทศอังกฤษที่มีหน้าที่ดูแลผู้บริโภคและการแข่งขันในตลาดให้มีการแข่งขันทางการค้าอย่างเป็นธรรม เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของผู้บริโภค
นายธีรพงศ์ ยังได้กล่าวถึงความคืบหน้าเกี่ยวกับการเพิ่มทุนอีกว่า ในส่วนของผู้ถือหุ้นเดิมนั้น บริษัทจะจัดสรรหุ้นในสัดส่วน 20 หุ้นสามัญเดิมต่อ 1 หุ้นสามัญใหม่ ในราคาเสนอขายหุ้นละ 50 บาท โดยได้มีการปิดสมุดทะเบียนไปแล้ว ซึ่งก็ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อราคาหุ้นในตลาด ณ วันนั้น อย่างไรก็ดีบริษัทมั่นใจว่า จะได้รับความสนใจการจองซื้อจากผู้ถือหุ้นเดิม ทั้งนี้บริษัทจะเปิดให้จองหุ้นพร้อมกับชำระเงินในวันที่ 11-15 ตุลาคม 2553 นี้ สำหรับในส่วนของการเพิ่มทุนให้กับบุคคลในวงจำกัดนั้น บริษัทได้มีการออก Road
Show ตั้งแต่ได้รับการอนุมัติจากที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นที่ผ่านมา เพื่ออธิบายให้กับนักลงทุนสถาบันทั้งในประเทศและต่างประเทศ รวมถึงการเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนจำนวน 29 ล้านหุ้น ซึ่งก็ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีมาก โดยจะทำการ Book building ในวันที่ 18-20 ตุลาคม ชำระเงินในวันที่ 21-22 ตุลาคม และจะสามารถซื้อขายหุ้นเพิ่มทุนใหม่ได้ในวันที่ 29 ตุลาคม 2553
อย่างไรก็ดี นายธีรพงศ์เชื่อว่า การเพิ่มทุนในครั้งนี้ จะไม่มีผลต่อกำไรต่อหุ้นของบริษัท (EPS) และจำนวนหุ้นที่เพิ่มขึ้น ถือเป็นโครงสร้างที่เหมาะสมตามหลักการ เพราะเมื่อส่วนของผู้ถือหุ้นเพิ่มขึ้นจะทำให้หนี้ต่อทุนลดลง สำหรับโครงสร้างนี้จะมี Dilution เพียง 9% เท่านั้นสำหรับผู้ถือหุ้นเดิม ซึ่งไม่สูงมาก อย่างไรก็ดี บริษัทเชื่อมั่นว่า จากโครงสร้างดังกล่าวจะส่งผลดีต่อการดำเนินธุรกิจของบริษัท
ซึ่งการควบรวมกันนี้ จะสร้างความแข็งแกร่งให้กับบริษัทในเรื่องการเป็น Global Supply Chain โดยครอบคลุมไปตั้งแต่การจัดหาและจัดซื้อวัตถุดิบ สามารถเข้าถึงแหล่งจับปลาทูน่าหลักไม่ว่าจะเป็น มหาสมุทรแปซิฟิก มหาสมุทรแอตแลนติก และมหาสมุทรอินเดีย ขณะเดียวกันในแง่ของฐานการผลิต จะทำให้บริษัทมีฐานการผลิตครอบคลุมทุกภูมิภาค เช่น เอเซียตะวันออกเฉียงใต้ อเมริกา อัฟริกา และยุโรป ซึ่งล้วนแต่เป็นภูมิภาคที่สำคัญสำหรับการผลิตปลาทูน่า นอกจากนี้กลยุทธ์ทางด้านการตลาดที่สำคัญ คือ โอกาสในการขยายตลาดไปยังภูมิภาคยุโรปให้กว้างขวางขึ้น ซึ่งจะช่วยเพิ่มความหลากหลายของตลาด โดยสัดส่วนของการกระจายตลาดใหม่จะเป็น ตลาดสหรัฐอเมริกา 38% ตลาดยุโรป 31% และตลาดเอเซียและอื่นๆ 31% ถือเป็นการสร้างความสมดุลในการกระจายตลาดที่ดี นอกจากนี้จะมีการแบ่งปันข้อมูลทางการตลาด และการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ร่วมกัน ซึ่งจากนี้ต่อไปเราจะต้องมีกิจกรรมต่างๆ ที่ต้องทำร่วมกับ MW Brands อีกมาก
อย่างไรก็ดี บริษัทมั่นใจว่า การซื้อกิจการในครั้งนี้เป็นโอกาสที่ดีสำหรับธุรกิจของกลุ่มบริษัท โอกาสในการขยายตลาดเข้าสู่ภูมิภาคยุโรป ซึ่งเป็นตลาดอาหารทะเลบรรจุกระป๋องที่ใหญ่ที่สุดในโลก โอกาสในการเป็นเจ้าของเครื่องหมายการค้าชั้นนำในยุโรป และโอกาสที่จะสร้างศักยภาพทางการแข่งขันและความแข็งแกร่งให้กับกลุ่มบริษัท สำหรับเป้าหมายที่บริษัทเคยตั้งไว้ 3,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ภายในปี 2555 นี้ เชื่อว่า หลังจากการรวมกันจะถึงเป้าได้ในปีหน้า ซึ่งเร็วกว่าที่กำหนด โดย ณ วันนี้บริษัทได้ตั้งเป้าหมายใหม่ที่ 4,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ภายในปี 2558 ซึ่งเป็นเป้าหมายที่จะต้องไปให้ถึง