เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ ๑๙๐)
เรื่อง กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการลดอัตราและยกเว้นภาษีเงินได้
ของบริษัทซึ่งประกอบกิจการสำนักงานปฏิบัติการภูมิภาค
-----------------------------
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๑๑/๑ มาตรา ๑๑/๖ (๕) (๖) และ (๗) แห่งพระราชกฤษฎีกา ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตราและยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ๔๐๕) พ.ศ. ๒๕๔๕ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชกฤษฎีกา ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตราและยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ๕๐๘) พ.ศ. ๒๕๕๓ อธิบดีกรมสรรพากรกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข เพื่อการลดอัตราและยกเว้นภาษีเงินได้ของบริษัทซึ่งประกอบกิจการสำนักงานปฏิบัติการภูมิภาค ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ในประกาศนี้
“กิจการสำนักงานปฏิบัติการภูมิภาค” หมายความว่า กิจการการให้บริการด้านการบริหารหรือด้านเทคนิค หรือการให้บริการสนับสนุนดังต่อไปนี้ แก่วิสาหกิจในเครือหรือสาขาของตนไม่ว่าจะตั้งอยู่ในประเทศไทยหรือในต่างประเทศ
(๑) การบริหารงานทั่วไป การวางแผนทางธุรกิจ และการประสานงานทางธุรกิจ
(๒) การจัดหาวัตถุดิบและชิ้นส่วน
(๓) การวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์
(๔) การสนับสนุนด้านเทคนิค
(๕) การส่งเสริมด้านการตลาดและการขาย
(๖) การบริหารด้านงานบุคคลและการฝึกอบรมในภูมิภาค
(๗) การให้คำปรึกษาด้านการเงิน
(๘) การวิเคราะห์และวิจัยด้านเศรษฐกิจและการลงทุน
(๙) การจัดการและควบคุมสินเชื่อ
(๑๐) การให้บริการสนับสนุนอื่น ๆ ตามที่อธิบดีกรมสรรพากรประกาศกำหนด
“การควบคุม” หมายความว่า การควบคุมตามหลักเกณฑ์ของมาตรฐานทางบัญชีที่ยอมรับโดยทั่วไป
“บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่เกี่ยวข้อง” หมายความว่า บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่นำผลการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีของสำนักงานปฏิบัติการภูมิภาคไปใช้ในการผลิตสินค้าหรือให้บริการแก่สำนักงานปฏิบัติการภูมิภาค วิสาหกิจในเครือ หรือสาขาต่างประเทศของสำนักงานปฏิบัติการภูมิภาค
“รายได้จากการประกอบกิจการสำนักงานปฏิบัติการภูมิภาค” หมายความว่า รายได้ที่สำนักงานปฏิบัติการภูมิภาคได้รับจากวิสาหกิจในเครือ สาขาของตน และจากวิสาหกิจในเครือที่มีการควบคุมระหว่างกัน ซึ่งได้รับสิทธิลดอัตราและยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลตาม มาตรา ๑๑/๒ หรือมาตรา ๑๑/๓ แห่งพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตราและยกเว้นรัษฎากร (ฉบับ ๔๐๕) พ.ศ. ๒๕๔๕ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชกฤษฎีกา ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตราและยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ๕๐๘) พ.ศ. ๒๕๕๓ ดังต่อไปนี้
(๑) รายได้จากการให้บริการของสำนักงานปฏิบัติการภูมิภาคแก่วิสาหกิจในเครือ หรือสาขาต่างประเทศของสำนักงานปฏิบัติการภูมิภาค
(๒) ดอกเบี้ยที่ได้รับจากวิสาหกิจในเครือ หรือสาขาต่างประเทศของสำนักงานปฏิบัติการภูมิภาค ทั้งนี้ เฉพาะดอกเบี้ยจากเงินกู้ยืมที่สำนักงานปฏิบัติการภูมิภาคได้กู้มาเพื่อให้กู้ยืมต่อ
(๓) ค่าสิทธิที่ได้รับจากวิสาหกิจในเครือ หรือสาขาต่างประเทศของสำนักงานปฏิบัติการภูมิภาค หรือจากบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ เฉพาะค่าสิทธิที่เกิดจากผลการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีของสำนักงานปฏิบัติการภูมิภาคที่กระทำขึ้นในประเทศไทย
ข้อ ๒ ให้บริษัทซึ่งประกอบกิจการสำนักงานปฏิบัติการภูมิภาคที่ประสงค์จะได้รับสิทธิลดอัตราและยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลตาม มาตรา ๑๑/๒ มาตรา ๑๑/๓ หรือมาตรา ๑๑/๔ แห่งพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตราและยกเว้นรัษฎากร (ฉบับ ๔๐๕) พ.ศ. ๒๕๔๕ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชกฤษฎีกา ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตราและยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ๕๐๘) พ.ศ. ๒๕๕๓ แจ้งการจัดตั้งสำนักงานปฏิบัติการภูมิภาคต่ออธิบดีกรมสรรพากร ตามแบบแจ้งการจัดตั้งสำนักงานปฏิบัติการภูมิภาคที่แนบท้ายประกาศนี้ โดยให้ยื่น ณ สำนักบริหารภาษีธุรกิจขนาดใหญ่ กรมสรรพากร หรือยื่น ณ สำนักงานสรรพากรพื้นที่ ในเขตท้องที่ที่บริษัทซึ่งประกอบกิจการสำนักงานปฏิบัติการภูมิภาคมีสถานประกอบการตั้งอยู่ ในกรณีมีสถานประกอบการหลายแห่ง ให้ยื่น ณ สำนักงานสรรพากรพื้นที่ ในเขตท้องที่ที่สำนักงานใหญ่ของบริษัทซึ่งประกอบกิจการสำนักงานปฏิบัติการภูมิภาคตั้งอยู่ก็ได้ ทั้งนี้ บริษัทซึ่งประกอบกิจการสำนักงานปฏิบัติการภูมิภาคต้องจดแจ้งภายในห้าปีนับแต่วันที่ ๑๕ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๓ บริษัทซึ่งประกอบกิจการสำนักงานปฏิบัติการภูมิภาคมีสิทธิที่จะใช้แบบแจ้งการจัดตั้งสำนักงานปฏิบัติการภูมิภาคที่พิมพ์จากระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตทางเว็บไซต์ของกรมสรรพากร www.rd.go.th หรือจะใช้แบบแจ้งการจัดตั้งที่กรมสรรพากรจัดพิมพ์ก็ได้
ข้อ ๓ การคำนวณกำไรสุทธิและขาดทุนสุทธิของบริษัทซึ่งประกอบกิจการสำนักงานปฏิบัติการภูมิภาคต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขในมาตรา ๖๕ และมาตรา ๖๕ ทวิ แห่งประมวลรัษฎากร
กรณีบริษัทซึ่งประกอบกิจการทั้งกิจการสำนักงานปฏิบัติการภูมิภาคและกิจการอื่นให้บริษัทดังกล่าวคำนวณกำไรสุทธิและขาดทุนสุทธิของแต่ละกิจการแยกต่างหากจากกัน หากรายจ่ายใดไม่สามารถแยกกันได้โดยชัดแจ้งว่าส่วนใดเป็นรายจ่ายของกิจการใดให้บริษัทเฉลี่ยรายจ่ายดังกล่าวตามส่วนของรายได้ระหว่างรายได้จากการประกอบกิจการสำนักงานปฏิบัติการภูมิภาคและรายได้จากกิจการอื่น กรณีบริษัทประกอบกิจการสำนักงานปฏิบัติการภูมิภาค ซึ่งมีทั้งรายได้ที่ได้รับสิทธิยกเว้นและลดอัตราภาษีเงินได้ ให้บริษัทดังกล่าวคำนวณกำไรสุทธิและขาดทุนสุทธิของรายได้แต่ละส่วน แยกต่างหากจากกัน หากรายจ่ายใดไม่สามารถแยกกันได้โดยชัดแจ้งว่าเป็นรายจ่ายของรายได้ในส่วนใด ให้บริษัทเฉลี่ยรายจ่ายดังกล่าวตามส่วนของรายได้ระหว่างรายได้ที่ได้รับสิทธิยกเว้นและรายได้ที่ได้รับสิทธิลดอัตราภาษีเงินได้
ข้อ ๔ กรณีบริษัทซึ่งประกอบกิจการทั้งกิจการสำนักงานปฏิบัติการภูมิภาคและกิจการอื่น หากกิจการสำนักงานปฏิบัติการภูมิภาคมีผลขาดทุนสุทธิให้คงผลขาดทุนสุทธิดังกล่าวไว้ในกิจการสำนักงานปฏิบัติการภูมิภาคเท่านั้น
กรณีบริษัทประกอบกิจการสำนักงานปฏิบัติการภูมิภาค ซึ่งมีทั้งรายได้ที่ได้รับสิทธิยกเว้นและลดอัตราภาษีเงินได้หากรายได้ที่ได้รับสิทธิยกเว้นภาษีเงินได้มีผลขาดทุนสุทธิให้คงผลขาดทุนสุทธิดังกล่าวไว้ในกิจการสำนักงานปฏิบัติการภูมิภาคในรายได้ที่ได้รับสิทธิยกเว้นภาษีเงินได้เท่านั้น
ข้อ ๕ ให้บริษัทซึ่งประกอบกิจการสำนักงานปฏิบัติการภูมิภาคยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้ของบริษัท พร้อมทั้งบัญชีงบดุล บัญชีทำการ และบัญชีกำไรขาดทุน ภายในหนึ่งร้อยห้าสิบวันนับแต่วันสุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชี ตามแบบที่อธิบดีกำหนดพร้อมกับชำระภาษีตามมาตรา ๖๘ และมาตรา ๖๙ แห่งประมวลรัษฎากรและยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้ของบริษัทภายในสองเดือนนับแต่วันสุดท้ายของรอบระยะเวลาหกเดือนนับแต่วันแรกของรอบระยะเวลาบัญชีตามแบบที่อธิบดีกำหนดพร้อมกับชำระภาษีตามมาตรา ๖๗ ทวิ แห่งประมวลรัษฎากร
กรณีบริษัทซึ่งประกอบกิจการทั้งกิจการสำนักงานปฏิบัติการภูมิภาคและกิจการอื่นให้บริษัทดังกล่าวแยกยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้ของบริษัท พร้อมทั้งบัญชีทำการ และบัญชีกำไรขาดทุนของแต่ละกิจการออกเป็นคนละชุด สำหรับบัญชีงบดุลของบริษัทดังกล่าวให้ยื่นพร้อมแบบแสดงรายการภาษีเงินได้ของบริษัทในกิจการใดกิจการหนึ่งก็ได้ โดยในการยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้ของบริษัทดังกล่าวให้ใช้เลขประจำตัวผู้เสียภาษีอากรเดียวกัน
ข้อ ๖ พนักงานปฏิบัติงานในสำนักงานปฏิบัติการภูมิภาคซึ่งมีทักษะและความรู้ขั้นต่ำตาม มาตรา ๑๑/๖ (๕) แห่งพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตราและยกเว้นรัษฎากร (ฉบับ ๔๐๕) พ.ศ. ๒๕๔๕ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชกฤษฎีกา ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตราและยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ๕๐๘) พ.ศ. ๒๕๕๓ จะต้องสำเร็จการศึกษาในระดับที่ไม่ต่ำกว่ามัธยมศึกษาตอนปลาย ประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นต้นหรือเทียบเท่า
ข้อ ๗ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๑๕ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๓ เป็นต้นไป
ประกาศ ณ วันที่ ๑๕ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๓
สาธิต รังคสิริ
(นายสาธิต รังคสิริ)
อธิบดีกรมสรรพากร