แท็ก
กรมสรรพากร
ที่ กค 0811/7319
กรมสรรพากร
90 ซอยพหลโยธิน 7 ถนนพหลโยธิน
แขวงสามเสนใน เขตพญาไท กทม.10400
6 ธันวาคม 2543
เรื่อง ภาษีเงินได้นิติบุคคล กรณีขายเรือลำเก่าเพื่อซี้อเรือลำใหม่
เรียน
อ้างถึง
ตามหนังสือที่อ้างถึงแจ้งว่า บริษัทฯ ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทยประกอบกิจการขนส่งสินค้าทางทะเลระหว่างประเทศ บริษัทฯ ได้ขายเรือที่ใช้ในการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ และได้นำเงินจากการขายเรือดัง กล่าวไปซื้อลำใหม่ โดยมีข้อเท็จจริงดังนี้
กรมสรรพากรขอเรียนว่า
1. บริษัทฯ มีรายได้จากการขายเรือที่ใช้ใน การขนส่งสินค้าทางทะเลระหว่างประเทศและได้นำเงินได้จากการขายเรือดังกล่าวนี้ไป ซื้อเรือลำใหม่โดยบริษัทฯ ได้มีการจดทะเบียนขายเรือ หรือถอนทะเบียนเรือกับกรมเจ้าท่า เมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน 2540 ส่วนเรือลำใหม่ที่ซื้อได้มีการจดทะเบียนกับ กรมเจ้าท่าเป็นเรือไทย เมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2541 ซึ่งถือว่าเป็นวันที่ซื้อเสร็จเด็ดขาด
2. เรือลำเดิมได้ซื้อมาเพื่อปี พ.ศ.2524 มีระวางบรรทุก 5,694 ตัน มีอายุการใช้งาน 18 ปี และได้มี การหักค่าเสื่อมราคาหมดแล้ว จึงได้ขายให้กับบริษัท A ประเทศสิงคโปร์ ในราคา 232,231,880 บาท (6,100,000 เหรียญสหรัฐฯ)
3. เรือลำใหม่ที่บริษัทฯ ได้ซื้อมามีระวางบรรทุก 6,393 ตัน เรือดังกล่าวเป็นเรือ ที่ต่อขึ้นใหม่ ราคา 651,456,916.22 บาท ได้แบ่งการชำระเงินออกเป็น 4 งวด งวดสุดท้ายชำระเมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2541 ซึ่งได้นำเรือไปจดทะเบียนเป็นเรือไทยเมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2541
4. บริษัทฯ ได้มีการแจ้งการขายเรือลำเก่าและซื้อเรือ ลำใหม่ต่ออธิบดีกรมสรรพากร เมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2541 ไว้แล้ว
5. รายได้จากการขายเรือลำเดิม ได้มอบให้บริษัทย่อยในสิงคโปร์คือ บริษัท B จำกัด ซึ่งได้เป็นผู้จ่าย เงินค่ามัดจำล่วงหน้างวดแรกตามคำสั่งของบริษัทฯ โดยทดลองจ่ายไปก่อนเป็นจำนวนเงิน 164.5 ล้านเยน (49,525,095.87 บาท) ส่วนเงินที่เหลือจากการขายไม่ ได้นำเข้าที่สำนักงานใหญ่ในกรุงเทพฯ เพราะยังไม่ถึงเวลาที่จะต้องชำระงวดต่อไป โดยบริษัทฯ ในกรุงเทพฯ มีภาระผูกพันจะต้องจ่ายค่าบริการบริหารเรือ ให้กับบริษัทย่อยในสิงคโปร์ เพื่อบริษัทจะไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มที่เหลือนั้น บริษัทฯ ได้โอนเงินไปชำระในงวดต่อ ๆ ไปจนครบตามสัญญา จากการขายเรือยอดนี้ ดังนั้น ได้ถือเป็นรายได้อื่นรวมอยู่ในงบ การเงินประจำของปีนั้นแล้ว
บริษัทฯ จึงหารือว่ากรณีตามข้อเท็จจริงดังกล่าวบริษัทฯ จะได้รับยกเว้นภาษีเงินได้จากการขายเรือลำเดิม ตามพระราชกฤษฎีกาฯ (ฉบับที่ 299) พ.ศ.2539 หรือไม่ นั้น
กรมสรรพากรขอเรียนว่า บริษัทฯ ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทยได้ขายเรือเดิน ทะเลซึ่งเป็นเรือขนส่งสินค้าทางทะเลระหว่าง ประเทศนำเงินได้รับจากการขายเรือจำนวน 232,231,880 บาท จ่ายเป็นส่วนหนึ่งของราคาค่าเรือลำใหม่ ซึ่งซื้อใน ราคา 651,456,916.22 บาท การซื้อและขายเรือดังกล่าว ถือได้ว่าเป็นการขายเรือเดินทะเล ที่ใช้ในการขนส่งสินค้าระหว่าง ประเทศและนำเงินได้ดังกล่าวไปซื้อเรือลำใหม่ ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข มาตรา 4 แห่งพระราชกฤษฎีกาฯ (ฉบับที่ 299) พ.ศ.2539 แล้ว บริษัทฯ จึงได้รับยกเว้นภาษีเงินได้จากการขายเรือลำเดิม
ขอแสดงความนับถือ
ชาญยุทธ ปทุมารักษ์
(นายชาญยุทธ ปทุมารักษ์)
รองอธิบดี ปฏิบัติราชการแทน
อธิบดีกรมสรรพากร
--บริการสารสรรพากร--
-สศ-
กรมสรรพากร
90 ซอยพหลโยธิน 7 ถนนพหลโยธิน
แขวงสามเสนใน เขตพญาไท กทม.10400
6 ธันวาคม 2543
เรื่อง ภาษีเงินได้นิติบุคคล กรณีขายเรือลำเก่าเพื่อซี้อเรือลำใหม่
เรียน
อ้างถึง
ตามหนังสือที่อ้างถึงแจ้งว่า บริษัทฯ ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทยประกอบกิจการขนส่งสินค้าทางทะเลระหว่างประเทศ บริษัทฯ ได้ขายเรือที่ใช้ในการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ และได้นำเงินจากการขายเรือดัง กล่าวไปซื้อลำใหม่ โดยมีข้อเท็จจริงดังนี้
กรมสรรพากรขอเรียนว่า
1. บริษัทฯ มีรายได้จากการขายเรือที่ใช้ใน การขนส่งสินค้าทางทะเลระหว่างประเทศและได้นำเงินได้จากการขายเรือดังกล่าวนี้ไป ซื้อเรือลำใหม่โดยบริษัทฯ ได้มีการจดทะเบียนขายเรือ หรือถอนทะเบียนเรือกับกรมเจ้าท่า เมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน 2540 ส่วนเรือลำใหม่ที่ซื้อได้มีการจดทะเบียนกับ กรมเจ้าท่าเป็นเรือไทย เมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2541 ซึ่งถือว่าเป็นวันที่ซื้อเสร็จเด็ดขาด
2. เรือลำเดิมได้ซื้อมาเพื่อปี พ.ศ.2524 มีระวางบรรทุก 5,694 ตัน มีอายุการใช้งาน 18 ปี และได้มี การหักค่าเสื่อมราคาหมดแล้ว จึงได้ขายให้กับบริษัท A ประเทศสิงคโปร์ ในราคา 232,231,880 บาท (6,100,000 เหรียญสหรัฐฯ)
3. เรือลำใหม่ที่บริษัทฯ ได้ซื้อมามีระวางบรรทุก 6,393 ตัน เรือดังกล่าวเป็นเรือ ที่ต่อขึ้นใหม่ ราคา 651,456,916.22 บาท ได้แบ่งการชำระเงินออกเป็น 4 งวด งวดสุดท้ายชำระเมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2541 ซึ่งได้นำเรือไปจดทะเบียนเป็นเรือไทยเมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2541
4. บริษัทฯ ได้มีการแจ้งการขายเรือลำเก่าและซื้อเรือ ลำใหม่ต่ออธิบดีกรมสรรพากร เมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2541 ไว้แล้ว
5. รายได้จากการขายเรือลำเดิม ได้มอบให้บริษัทย่อยในสิงคโปร์คือ บริษัท B จำกัด ซึ่งได้เป็นผู้จ่าย เงินค่ามัดจำล่วงหน้างวดแรกตามคำสั่งของบริษัทฯ โดยทดลองจ่ายไปก่อนเป็นจำนวนเงิน 164.5 ล้านเยน (49,525,095.87 บาท) ส่วนเงินที่เหลือจากการขายไม่ ได้นำเข้าที่สำนักงานใหญ่ในกรุงเทพฯ เพราะยังไม่ถึงเวลาที่จะต้องชำระงวดต่อไป โดยบริษัทฯ ในกรุงเทพฯ มีภาระผูกพันจะต้องจ่ายค่าบริการบริหารเรือ ให้กับบริษัทย่อยในสิงคโปร์ เพื่อบริษัทจะไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มที่เหลือนั้น บริษัทฯ ได้โอนเงินไปชำระในงวดต่อ ๆ ไปจนครบตามสัญญา จากการขายเรือยอดนี้ ดังนั้น ได้ถือเป็นรายได้อื่นรวมอยู่ในงบ การเงินประจำของปีนั้นแล้ว
บริษัทฯ จึงหารือว่ากรณีตามข้อเท็จจริงดังกล่าวบริษัทฯ จะได้รับยกเว้นภาษีเงินได้จากการขายเรือลำเดิม ตามพระราชกฤษฎีกาฯ (ฉบับที่ 299) พ.ศ.2539 หรือไม่ นั้น
กรมสรรพากรขอเรียนว่า บริษัทฯ ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทยได้ขายเรือเดิน ทะเลซึ่งเป็นเรือขนส่งสินค้าทางทะเลระหว่าง ประเทศนำเงินได้รับจากการขายเรือจำนวน 232,231,880 บาท จ่ายเป็นส่วนหนึ่งของราคาค่าเรือลำใหม่ ซึ่งซื้อใน ราคา 651,456,916.22 บาท การซื้อและขายเรือดังกล่าว ถือได้ว่าเป็นการขายเรือเดินทะเล ที่ใช้ในการขนส่งสินค้าระหว่าง ประเทศและนำเงินได้ดังกล่าวไปซื้อเรือลำใหม่ ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข มาตรา 4 แห่งพระราชกฤษฎีกาฯ (ฉบับที่ 299) พ.ศ.2539 แล้ว บริษัทฯ จึงได้รับยกเว้นภาษีเงินได้จากการขายเรือลำเดิม
ขอแสดงความนับถือ
ชาญยุทธ ปทุมารักษ์
(นายชาญยุทธ ปทุมารักษ์)
รองอธิบดี ปฏิบัติราชการแทน
อธิบดีกรมสรรพากร
--บริการสารสรรพากร--
-สศ-