ประกาศกระทรวงการคลังว่าด้วยภาษีเงินได้และภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ ๗๐๔) เรื่อง หลักเกณฑ์การพิจารณาประกาศกำหนดองค์การ สถานสาธารณกุศลสถานพยาบาล และสถานศึกษา

ข่าวทั่วไป Tuesday May 1, 2018 10:47 —ข้อบังคับและประกาศภาษีสรรพากร

ประกาศกระทรวงการคลัง

ว่าด้วยภาษีเงินได้และภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ ๗๐๔)

เรื่อง หลักเกณฑ์การพิจารณาประกาศกำหนดองค์การ สถานสาธารณกุศลสถานพยาบาล และสถานศึกษา

ตามมาตรา ๔๗ (๗) (ข) แห่งประมวลรัษฎากร

และมาตรา ๓ (๔) (ข) แห่งพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร

ว่าด้วยการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ ๒๓๙) พ.ศ. ๒๕๓๔

ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร

ว่าด้วยการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ ๒๕๔) พ.ศ. ๒๕๓๕

_____________

ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังมีอำนาจที่จะประกาศกำหนดองค์การ สถานสาธารณกุศล สถานพยาบาล และสถานศึกษา ตามมาตรา ๔๗ (๗) (ข) แห่งประมวลรัษฎากร ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ ๑๙) พ.ศ. ๒๕๐๘ และมาตรา ๓ (๔) (ข) แห่งพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ ๒๓๙) พ.ศ. ๒๕๓๔ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ ๒๕๔) พ.ศ. ๒๕๓๕ เพื่อความสะดวก รวดเร็ว และเป็นธรรมในการพิจารณากำหนดดังกล่าว จึงปรับปรุงประกาศกำหนดหลักเกณฑ์และคุณสมบัติขององค์การหรือสถานสาธารณกุศล ดังต่อไปนี้

ข้อ ๑ ให้ยกเลิกประกาศกระทรวงการคลัง ว่าด้วยภาษีเงินได้และภาษีและภาษีมูลค่าเพิ่ม(ฉบับที่ ๕๓๑) เรื่อง หลักเกณฑ์การพิจารณาประกาศกำหนดองค์การ สถานสาธารณกุศล

สถานพยาบาลและสถานศึกษา ตามมาตรา ๔๗ (๗) (ข) แห่งประมวลรัษฎากร และมาตรา ๓ (๔) (ข) แห่งพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ ๒๓๙) พ.ศ. ๒๕๓๔ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ ๒๕๔) พ.ศ. ๒๕๓๕ ลงวันที่ ๑๕ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๕

ข้อ ๒ ในประกาศนี้

"รายจ่ายเพื่อการกุศลสาธารณะ" หมายความว่า รายจ่ายเพื่อประโยชน์แก่สาธารณะ ในประเทศไทย เช่น การสงเคราะห์ผู้ยากไร้ ผู้ด้อยโอกาส และหมายความรวมถึงรายจ่ายเพื่อการรณรงค์ ส่งเสริมหรือปลูกจิตสำนึกต่อสังคม การศึกษา ศาสนา วัฒนธรรม สิ่งแวดล้อม และรายจ่ายเพื่อการสาธารณประโยชน์และรายจ่ายเพื่อการศึกษาและรายจ่ายเพื่อการกีฬา ตามประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ ๔๔) เรื่อง กำหนดรายจ่ายเพื่อการสาธารณประโยชน์ รายจ่ายเพื่อการศึกษา และรายจ่ายเพื่อการกีฬา ตามมาตรา ๖๕ ตรี (๓) แห่งประมวลรัษฎากร ลงวันที่ ๙ กันยายน พ.ศ. ๒๕๓๕

ข้อ ๓ มูลนิธิที่ประสงค์จะขอให้พิจารณาประกาศเป็นองค์การหรือสถานสาธารณกุศลจะต้องมีฐานะเป็นนิติบุคคล และมีคำขอเป็นลายลักษณ์อักษรยื่นต่อกรมสรรพากรเพื่อพิจารณาเสนอกระทรวงการคลัง

ข้อ ๔ ชื่อของมูลนิธิต้องไม่ปรากฏข้อความว่า "บริษัทจำกัด" "บริษัทมหาชนจำกัด""ห้างหุ้นส่วนสามัญ" "ห้างหุ้นส่วนจำกัด" หรือ "ห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล" หรือข้อความอื่นใด ที่มีความหมายในลักษณะทำนองเดียวกัน

ข้อ ๕ มูลนิธิต้องมีวัตถุประสงค์เพื่อการกุศลสาธารณะในประเทศไทยเท่านั้น และต้องไม่มีวัตถุประสงค์ใดวัตถุประสงค์หนึ่งที่จะให้ประโยชน์แก่บุคคล คณะบุคคล หรือหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่ง ไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน

ข้อ ๖ การดำเนินงานของมูลนิธิต้องเป็นไปตามวัตถุประสงค์เท่านั้น และต้องไม่มีการใช้ชื่อของมูลนิธิหรือไม่มีการดำเนินงานของคณะกรรมการมูลนิธิเพื่อหาประโยชน์เฉพาะแก่บุคคล คณะบุคคล หรือหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่ง

ข้อ ๗ กรมสรรพากรจะตรวจสอบเอกสารหลักฐานต่าง ๆ เกี่ยวกับการดำเนินงานของมูลนิธินั้นก่อน เช่น รายงานการประชุมใหญ่ งบดุลและบัญชีรายได้รายจ่ายซึ่งมีผู้สอบบัญชีรับรองแล้ว เอกสารหลักฐานที่นำมาบันทึกบัญชีรายได้หรือรายจ่าย เป็นต้น โดยจะตรวจสอบการดำเนินงาน ของมูลนิธิย้อนหลัง ๓ รอบระยะเวลาบัญชี และจะต้องปรากฏดังต่อไปนี้

(๑) รายได้ของมูลนิธิได้นำไปเป็นรายจ่ายเพื่อการกุศลสาธารณะไม่น้อยกว่าร้อยละ ๖๐ ของรายได้ทั้งสิ้นใน ๓ รอบระยะเวลาบัญชีที่แล้วมา เว้นแต่

(ก) ตราสารจัดตั้งระบุว่า ให้นำดอกผลมาเป็นรายได้เท่านั้น หรือให้นำดอกผลมาใช้จ่ายเท่านั้น

(ข) กรณีมีเหตุจำเป็นต้องเก็บสะสมรายได้เพื่อดำเนินการตามโครงการตามวัตถุประสงค์ของมูลนิธิ

(๒) รายได้ของมูลนิธิต้องไม่ได้มาจากการซื้อขายหรือการให้บริการโดยมีค่าตอบแทนเป็นปกติธุระ เว้นแต่การซื้อขายหรือการให้บริการนั้นเกี่ยวข้องกับการศาสนา การศึกษา การสถานพยาบาล หรือการสังคมสงเคราะห์ และไม่นำรายได้ดังกล่าวไปจ่ายในทางอื่น

(๓) รายจ่ายของมูลนิธิต้องเป็นรายจ่ายเพื่อการกุศลสาธารณะไม่น้อยกว่าร้อยละ ๗๕ ของรายจ่ายทั้งสิ้นใน ๓ รอบระยะเวลาบัญชีที่แล้วมา และรายจ่ายดังกล่าวได้นำไปเป็นรายจ่าย เพื่อการกุศลสาธารณะไม่น้อยกว่าร้อยละ ๖๕ ของรายจ่ายทั้งสิ้นในแต่ละรอบระยะเวลาบัญชี

(๔) รายจ่ายเพื่อการกุศลสาธารณะของมูลนิธิต้องกระจายเป็นการทั่วไปตามวัตถุประสงค์ ที่จดแจ้งไว้ หรือไม่ได้จ่ายไปเพื่อประโยชน์แก่บุคคล คณะบุคคล หรือหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่ง

รายจ่ายเพื่อการกุศลสาธารณะต้องกระจายเป็นการทั่วไปตามวรรคหนึ่ง หมายความว่า มูลนิธิต้องไม่มีรายจ่ายเพื่อการกุศลสาธารณะเพื่อประโยชน์แก่บุคคล คณะบุคคล หรือหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่งเกินกว่าร้อยละ ๓๕ ของรายจ่ายเพื่อการกุศลสาธารณะทั้งสิ้นในแต่ละรอบระยะเวลาบัญชี

ข้อ ๘ มูลนิธิที่จัดตั้งขึ้นยังไม่ครบ ๓ รอบระยะเวลาบัญชี ซึ่งแต่ละรอบระยะเวลาบัญชี ไม่ครบ ๑๒ เดือน จะไม่พิจารณาประกาศให้

ข้อ ๙ มูลนิธิใดที่มิได้มีฐานะเป็นนิติบุคคลจะไม่พิจารณาประกาศให้ เว้นแต่จะมีวัตถุประสงค์และการดำเนินงานเช่นเดียวกับมูลนิธิที่มีฐานะเป็นนิติบุคคล จะพิจารณาประกาศให้เป็นราย ๆ ไปในหลักเกณฑ์เดียวกัน

ข้อ ๑๐ มูลนิธิใดที่มีวัตถุประสงค์และการดำเนินงานไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ข้อ ๓ ถึงข้อ ๙ จะไม่พิจารณาประกาศให้ เว้นแต่

(๑) เป็นมูลนิธิในพระบรมราชูปถัมภ์ พระบรมราชินูปถัมภ์ พระอุปถัมภ์ของพระบรมวงศานุวงศ์หรือพระสังฆราชูปถัมภ์ หรือมีบุคคลซึ่งได้รับเงินค่าใช้จ่ายในพระองค์จากงบประมาณรายจ่ายประจำปี พระบรมวงศานุวงศ์ตั้งแต่ชั้นพระองค์เจ้าขึ้นไป หรือสมเด็จพระสังฆราชทรงเป็นประธานกิตติมศักดิ์

(๒) เป็นมูลนิธิที่ทางราชการจัดตั้งขึ้นเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากภัยธรรมชาติ การก่อการร้าย หรือเพื่อการศึกษาเป็นการทั่วไป

ข้อ ๑๑ มูลนิธิที่ได้รับการประกาศให้เป็นองค์การหรือสถานสาธารณกุศล เว้นแต่สภากาชาดไทย วัดวาอาราม และสถานพยาบาล หรือสถานศึกษาขององค์การของรัฐบาล จะต้องปฏิบัติดังต่อไปนี้

(๑) ใบรับที่ออกให้แก่บุคคล คณะบุคคล หรือหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่งซึ่งบริจาคเงินหรือทรัพย์สิน ให้ระบุลำดับที่ได้รับการประกาศด้วย

(๒) ส่งรายงานการประชุมใหญ่ งบดุลและบัญชีรายได้รายจ่าย พร้อมทั้งรายงานการดำเนินงาน ของกิจการสำหรับรอบระยะเวลาบัญชีที่ผ่านมาให้กรมสรรพากรทราบภายใน ๑๕๐ วันนับแต่วันสิ้นรอบระยะเวลาบัญชี โดยยื่นผ่านสำนักงานสรรพากรพื้นที่ที่มูลนิธินั้นตั้งอยู่

ข้อ ๑๒ มูลนิธิใดที่ได้รับการประกาศให้เป็นองค์การหรือสถานสาธารณกุศลแล้ว ต่อมาได้มี การจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงแก้ไขชื่อหรือวัตถุประสงค์ ให้แจ้งการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวต่อกรมสรรพากรภายใน ๖๐ วันนับแต่วันที่ได้จดทะเบียนเปลี่ยนแปลงนั้น

ข้อ ๑๓ มูลนิธิที่ได้รับการประกาศให้เป็นองค์การหรือสถานสาธารณกุศลแล้ว ให้สำนักงานสรรพากรภาคที่มูลนิธินั้นตั้งอยู่ ดำเนินการตรวจสอบเอกสารหลักฐานเกี่ยวกับผลการดำเนินงาน หากปรากฏว่า การดำเนินงานเข้าลักษณะข้อใดข้อหนึ่งดังต่อไปนี้โดยไม่มีเหตุอันสมควร ให้แจ้งผลการตรวจสอบให้กรมสรรพากรทราบเพื่อพิจารณาเสนอกระทรวงการคลังเพิกถอนการประกาศต่อไป ทั้งนี้ ให้มีผลตั้งแต่รอบระยะเวลาบัญชีถัดจากรอบระยะเวลาบัญชีที่ประกาศเพิกถอนในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป

(๑) การดำเนินงานของมูลนิธิไม่ตรงตามวัตถุประสงค์ หรือมีวัตถุประสงค์หรือมีการใช้ชื่อมูลนิธิหรือการดำเนินงานของคณะกรรมการมูลนิธิเป็นไปเพื่อประโยชน์เฉพาะแก่บุคคล คณะบุคคล หรือหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่ง

(๒) รายได้ของมูลนิธิได้นำไปเป็นรายจ่ายเพื่อการกุศลสาธารณะน้อยกว่าร้อยละ ๖๐ ของรายได้ทั้งสิ้นใน ๓ รอบระยะเวลาบัญชีที่แล้วมา เว้นแต่รายได้เฉพาะดอกผลของมูลนิธิได้นำไป เป็นรายจ่ายเพื่อการกุศลสาธารณะน้อยกว่าร้อยละ ๖๐ ของรายได้ดอกผลใน ๓ รอบระยะเวลาบัญชี ที่แล้วมา ทั้งนี้ เฉพาะกรณีตราสารจัดตั้งระบุว่าให้นำดอกผลมาเป็นรายจ่ายเท่านั้น หรือกรณีมี เหตุจำเป็นต้องเก็บสะสมรายได้เพื่อดำเนินการตามโครงการตามวัตถุประสงค์ของมูลนิธิ

(๓) รายได้ได้มาจากการซื้อขายหรือการให้บริการโดยมีค่าตอบแทนเป็นปกติธุระ เว้นแต่การซื้อขาย หรือการให้บริการนั้นเกี่ยวข้องกับการศาสนา การศึกษา การสถานพยาบาล หรือการสังคมสงเคราะห์ และไม่นำรายได้ดังกล่าวไปจ่ายในทางอื่น

(๔) รายจ่ายของมูลนิธิเป็นรายจ่ายเพื่อการกุศลสาธารณะน้อยกว่าร้อยละ ๖๕ ของรายจ่ายทั้งสิ้น ในแต่ละรอบระยะเวลาบัญชี และรายจ่ายดังกล่าวได้นำไปเป็นรายจ่ายเพื่อการกุศลสาธารณะน้อยกว่าร้อยละ ๗๕ ของรายจ่ายทั้งสิ้นใน ๓ รอบระยะเวลาบัญชีที่แล้วมา เว้นแต่กรณีมีเหตุอันสมควร

(๕) รายจ่ายเพื่อการกุศลสาธารณะของมูลนิธิไม่กระจายเป็นการทั่วไป

(๖) มูลนิธิไม่ปฏิบัติตามข้อ ๑๑ หรือข้อ ๑๒

ข้อ ๑๔ มูลนิธิที่ถูกเพิกถอนการประกาศแล้ว หากประสงค์จะขอให้พิจารณาประกาศเป็นองค์การหรือสถานสาธารณกุศลใหม่ สามารถยื่นคำขอได้เมื่อพ้น ๓ รอบระยะเวลาบัญชีนับแต่รอบระยะเวลาบัญชีถัดจากรอบระยะเวลาบัญชีที่ประกาศเพิกถอนในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป

ข้อ ๑๕ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับสำหรับมูลนิธิที่ได้ยื่นคำขอเป็นลายลักษณ์อักษรต่อกรมสรรพากรตั้งแต่วันที่ ๑ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๖๑ เป็นต้นไป ทั้งนี้ ประกาศกระทรวงการคลัง ว่าด้วยภาษีเงินได้และภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ ๕๓๑) เรื่อง หลักเกณฑ์การพิจารณาประกาศกำหนดองค์การ สถานสาธารณกุศล สถานพยาบาลและสถานศึกษา ตามมาตรา ๔๗ (๗) (ข) แห่งประมวลรัษฎากร และมาตรา ๓ (๔) (ข) แห่งพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ ๒๓๙) พ.ศ. ๒๕๓๔ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชกฤษฎีกาออกตามความ ในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ ๒๕๔) พ.ศ. ๒๕๓๕ ลงวันที่ ๑๕ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๕ ให้ยังคงใช้บังคับต่อไปเฉพาะมูลนิธิที่ได้ยื่นคำขอเป็นลายลักษณ์อักษรต่อกรมสรรพากรก่อนวันที่ ๑ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๖๑

ประกาศ ณ วันที่ ๑ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๖๑

อภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง

ที่มา: http://www.rd.go.th


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ