พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ให้ไว้ ณ วันที่ ๗ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๖๔
เป็นปีที่ ๖ ในรัชกาลปัจจุบัน พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า
โดยที่เป็นการสมควรยกเว้นภาษีเงินได้ ภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีธุรกิจเฉพาะ และอากรแสตมป์ ให้แก่บุคคลธรรมดาหรือบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล ในบางกรณี
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๑๗๕ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และมาตรา ๓ (๑) แห่งประมวลรัษฎากร ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวล รัษฎากร (ฉบับที่ ๑๐) พ.ศ. ๒๔๙๖ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชกฤษฎีกาขึ้นไว้ ดังต่อไปนี้
มาตรา ๑ พระราชกฤษฎีกานี้เรียกว่า "พระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ๗๓๕) พ.ศ. ๒๕๖๔"
มาตรา ๒ พระราชกฤษฎีกานี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
มาตรา ๓ ให้ยกเลิกพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วย การยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ๖๒๑) พ.ศ. ๒๕๕๙
มาตรา ๔ ในพระราชกฤษฎีกานี้ "วิสาหกิจเพื่อสังคม" หมายความว่า บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทย ซึ่งดำเนินกิจการเกี่ยวกับการผลิต การจำหน่ายสินค้า หรือการบริการ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสังคม เป็นเป้าหมายหลักของกิจการ และได้รับการจดทะเบียนเป็นวิสาหกิจเพื่อสังคมตามกฎหมายว่าด้วย การส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคม
"วิสาหกิจเพื่อสังคมประเภทไม่แบ่งปันกำไร" หมายความว่า วิสาหกิจเพื่อสังคมที่ไม่ประสงค์จะแบ่งปันกำไรให้แก่ผู้เป็นหุ้นส่วนหรือผู้ถือหุ้น ตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคม
"กองทุนส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคม" หมายความว่า กองทุนส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคม ตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคม
"ระบบบริจาคอิเล็กทรอนิกส์" หมายความว่า ระบบที่ใช้สร้างและเก็บรักษาข้อมูลการบริจาคในรูปของข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อใช้เป็นหลักฐานประกอบการใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีอากร ตามประมวลรัษฎากร
มาตรา ๕ ให้ยกเว้นภาษีเงินได้ตามส่วน ๓ หมวด ๓ ในลักษณะ ๒ แห่งประมวลรัษฎากร ให้แก่วิสาหกิจเพื่อสังคมประเภทไม่แบ่งปันกำไร สำหรับกำไรสุทธิที่ได้จากการประกอบกิจการตั้งแต่วันที่วิสาหกิจเพื่อสังคมประเภทไม่แบ่งปันกำไรนั้นได้จดทะเบียนบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสังคมเป็นเป้าหมายหลักของกิจการ และไม่มีการแบ่งปันกำไรให้แก่ผู้เป็นหุ้นส่วนหรือผู้ถือหุ้น ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่อธิบดีประกาศกำหนด
หากวิสาหกิจเพื่อสังคมตามวรรคหนึ่ง เปลี่ยนแปลงประเภทของวิสาหกิจเป็นวิสาหกิจเพื่อสังคม ที่ประสงค์จะแบ่งปันกำไรให้แก่ผู้เป็นหุ้นส่วนหรือผู้ถือหุ้น ให้การยกเว้นภาษีเงินได้ตามวรรคหนึ่งสิ้นสุดลง ตั้งแต่รอบระยะเวลาบัญชีแรกที่ได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษี และต้องนำไปรวมคำนวณเป็นรายได้ ในการคำนวณกำไรสุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้ในรอบระยะเวลาบัญชีที่ได้ใช้สิทธินั้น
มาตรา ๖ ให้ยกเว้นภาษีเงินได้ตามส่วน ๒ และส่วน ๓ หมวด ๓ ในลักษณะ ๒ แห่งประมวลรัษฎากร สำหรับเงินได้ที่ได้จ่ายเพื่อการลงทุนในหุ้นหรือการเป็นหุ้นส่วนเพื่อการจัดตั้งหรือการเพิ่มทุนของวิสาหกิจเพื่อสังคมที่ได้จดแจ้งต่ออธิบดีตามมาตรา ๑๑ แล้ว ดังต่อไปนี้
(๑) สำหรับบุคคลธรรมดา ให้ยกเว้นสำหรับเงินได้พึงประเมินเท่าที่ได้จ่ายไปเพื่อการลงทุน ในหุ้นหรือการเป็นหุ้นส่วนเพื่อการจัดตั้งหรือเพื่อการเพิ่มทุน แล้วแต่กรณี แต่เมื่อรวมกันแล้วต้องไม่เกินกรณีละหนึ่งแสนบาท สำหรับปีภาษีนั้น
(๒) สำหรับบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล ให้ยกเว้นสำหรับเงินได้เท่าที่ได้จ่ายไป เพื่อการลงทุนในหุ้นหรือการเป็นหุ้นส่วนเพื่อการจัดตั้งหรือเพื่อการเพิ่มทุน
การได้รับยกเว้นตามวรรคหนึ่ง ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่อธิบดีประกาศกำหนด
ผู้ลงทุนในหุ้นหรือการเป็นหุ้นส่วนที่จะได้รับยกเว้นภาษีเงินได้ตามวรรคหนึ่ง ต้องถือหุ้นหรือ เป็นหุ้นส่วนในวิสาหกิจเพื่อสังคมนั้นจนกว่าวิสาหกิจเพื่อสังคมนั้นเลิกกัน เว้นแต่กรณีที่อธิบดีประกาศกำหนด
มาตรา ๗ ให้ยกเว้นภาษีเงินได้ตามส่วน ๓ หมวด ๓ ในลักษณะ ๒ แห่งประมวลรัษฎากรให้แก่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล สำหรับเงินได้เท่าจำนวนเงินหรือเท่ากับราคาทรัพย์สิน ที่โอนให้วิสาหกิจเพื่อสังคมที่ได้จดแจ้งต่ออธิบดีตามมาตรา ๑๑ แล้ว โดยไม่มีค่าตอบแทนผ่านระบบบริจาคอิเล็กทรอนิกส์ที่ได้กระทำตั้งแต่วันที่พระราชกฤษฎีกานี้มีผลใช้บังคับถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๖๖ แต่เมื่อรวมกับรายจ่ายเพื่อการกุศลสาธารณะหรือเพื่อการสาธารณประโยชน์ตามมาตรา ๖๕ ตรี (๓) (ข) แห่งประมวลรัษฎากรแล้ว ต้องไม่เกินร้อยละสองของกำไรสุทธิ ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่อธิบดีประกาศกำหนด
มาตรา ๘ ให้ยกเว้นภาษีเงินได้ตามส่วน ๒ และส่วน ๓ หมวด ๓ ในลักษณะ ๒ แห่งประมวลรัษฎากร สำหรับการบริจาคผ่านระบบบริจาคอิเล็กทรอนิกส์ให้แก่กองทุนส่งเสริมวิสาหกิจ เพื่อสังคมที่ได้กระทำตั้งแต่วันที่พระราชกฤษฎีกานี้มีผลใช้บังคับถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๖๖ ดังต่อไปนี้
(๑) สำหรับบุคคลธรรมดา ให้ยกเว้นสำหรับเงินได้พึงประเมินหลังจากหักค่าใช้จ่ายและ หักลดหย่อนตามมาตรา ๔๗ (๑) (๒) (๓) (๔) (๕) หรือ (๖) แห่งประมวลรัษฎากร เท่าจำนวนเงิน ที่บริจาค แต่เมื่อรวมกับเงินบริจาคตามมาตรา ๔๗ (๗) แห่งประมวลรัษฎากรแล้ว ต้องไม่เกิน ร้อยละสิบของเงินได้พึงประเมินหลังหักค่าใช้จ่ายและหักลดหย่อนนั้น
(๒) สำหรับบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล ให้ยกเว้นสำหรับเงินได้เท่าจำนวนเงินหรือ ราคาทรัพย์สินที่บริจาค แต่เมื่อรวมกับรายจ่ายเพื่อการกุศลสาธารณะหรือเพื่อการสาธารณประโยชน์ ตามมาตรา ๖๕ ตรี (๓) (ข) แห่งประมวลรัษฎากรแล้ว ต้องไม่เกินร้อยละสองของกำไรสุทธิ
การได้รับยกเว้นตามวรรคหนึ่ง ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่อธิบดีประกาศกำหนด
มาตรา ๙ ให้ยกเว้นภาษีเงินได้ตามส่วน ๒ และส่วน ๓ หมวด ๓ ภาษีมูลค่าเพิ่ม ตามหมวด ๔ ภาษีธุรกิจเฉพาะตามหมวด ๕ และอากรแสตมป์ตามหมวด ๖ ในลักษณะ ๒ แห่งประมวลรัษฎากร ให้แก่บุคคลธรรมดาหรือบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล สำหรับเงินได้ที่ได้รับ จากการโอนทรัพย์สินหรือการขายสินค้า หรือสำหรับการกระทำตราสารอันเนื่องมาจากการโอนทรัพย์สิน ให้แก่วิสาหกิจเพื่อสังคมโดยไม่มีค่าตอบแทนตามมาตรา ๗ หรือการบริจาคทรัพย์สินให้แก่กองทุนส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคม โดยผู้โอนจะต้องไม่นำต้นทุนของทรัพย์สินหรือสินค้า ซึ่งได้รับยกเว้นภาษีดังกล่าวมาหักเป็นค่าใช้จ่ายในการคำนวณภาษีเงินได้ของบุคคลธรรมดาหรือบริษัทหรือห้างหุ้นส่วน นิติบุคคล ทั้งนี้ สำหรับการโอนหรือการบริจาคทรัพย์สินที่ได้กระทำตั้งแต่วันที่พระราชกฤษฎีกานี้ มีผลใช้บังคับถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๖๖
มาตรา ๑๐ วิสาหกิจเพื่อสังคมประเภทไม่แบ่งปันกำไรที่จะได้รับยกเว้นภาษีเงินได้ ตามมาตรา ๕ จะต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข ดังต่อไปนี้
(๑) จดแจ้งต่ออธิบดีตามมาตรา ๑๑ (๒) ใช้ทรัพย์สินในกิจการหรือเพื่อกิจการของวิสาหกิจเพื่อสังคมเท่านั้น (๓) ไม่มีการจำหน่ายจ่ายโอนทรัพย์สินที่ใช้ในกิจการ เว้นแต่การจำหน่ายจ่ายโอนทรัพย์สินตามที่อธิบดีประกาศกำหนด
(๔) ไม่เป็นคู่สัญญากับผู้ถือหุ้นหรือผู้เป็นหุ้นส่วนและไม่มีการจ่ายค่าตอบแทนใด ๆ ให้แก่ ผู้ถือหุ้นหรือผู้เป็นหุ้นส่วน รวมถึงบุคคลซึ่งมีความสัมพันธ์กับผู้ถือหุ้นหรือผู้เป็นหุ้นส่วน เว้นแต่ กรณีที่อธิบดีประกาศกำหนด
(๕) ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขอื่นที่อธิบดีประกาศกำหนด มาตรา ๑๑ วิสาหกิจเพื่อสังคมประเภทไม่แบ่งปันกำไรที่ประสงค์จะได้รับสิทธิประโยชน์ ทางภาษีตามมาตรา ๕ และวิสาหกิจเพื่อสังคมที่ประสงค์จะให้บุคคลซึ่งสนับสนุนกิจการของตนได้รับ สิทธิประโยชน์ทางภาษีตามพระราชกฤษฎีกานี้ ให้จดแจ้งความประสงค์ต่ออธิบดีภายในวันสุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชีที่ได้รับการจดทะเบียนตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคม ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่อธิบดีประกาศกำหนด
ในกรณีที่วิสาหกิจเพื่อสังคมได้รับการจดทะเบียนตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมวิสาหกิจ เพื่อสังคมก่อนวันที่พระราชกฤษฎีกานี้มีผลใช้บังคับ ให้จดแจ้งความประสงค์ต่ออธิบดีภายใน หนึ่งร้อยแปดสิบวันนับแต่วันที่พระราชกฤษฎีกานี้มีผลใช้บังคับ
ในกรณีที่มีเหตุจำเป็นทำให้ไม่สามารถจดแจ้งความประสงค์ภายในกำหนดเวลาตามวรรคหนึ่งหรือวรรคสองได้ อธิบดีจะขยายกำหนดเวลาออกไปตามความจำเป็นแห่งกรณีก็ได้
มาตรา ๑๒ ในกรณีที่วิสาหกิจเพื่อสังคมถูกเพิกถอนการจดทะเบียนตามกฎหมายว่าด้วย การส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคม ให้การยกเว้นภาษีเงินได้ของวิสาหกิจเพื่อสังคมประเภทไม่แบ่งปันกำไร ตามมาตรา ๕ สิ้นสุดลงนับแต่วันที่การเพิกถอนการจดทะเบียนมีผลใช้บังคับ
มาตรา ๑๓ ในกรณีที่วิสาหกิจเพื่อสังคมเลิกการเป็นวิสาหกิจเพื่อสังคมตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคม ให้การยกเว้นภาษีเงินได้ตามพระราชกฤษฎีกานี้สิ้นสุดลง ดังนี้
(๑) กรณีเลิกก่อนครบระยะเวลาห้าปีนับแต่วันที่ได้รับการจดทะเบียนเป็นวิสาหกิจเพื่อสังคม
(ก) ให้การยกเว้นภาษีเงินได้ตามมาตรา ๕ สิ้นสุดลงตั้งแต่รอบระยะเวลาบัญชีแรก ที่ได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษี และต้องนำไปรวมคำนวณเป็นรายได้ในการคำนวณกำไรสุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้ในรอบระยะเวลาบัญชีที่ได้ใช้สิทธินั้น
(ข) ให้การยกเว้นภาษีเงินได้ตามมาตรา ๖ สิ้นสุดลงตั้งแต่ปีภาษีแรกหรือรอบระยะเวลาบัญชีแรกที่ได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษี และต้องนำเงินได้ที่ได้ใช้สิทธิยกเว้นภาษีเงินได้ไปแล้วไปรวมคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับปีภาษีที่ได้ใช้สิทธิยกเว้นภาษีเงินได้นั้น หรือไปรวมคำนวณ กำไรสุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้ในรอบระยะเวลาบัญชีที่ได้ใช้สิทธินั้น แล้วแต่กรณี
(๒) กรณีเลิกภายหลังครบระยะเวลาห้าปีนับแต่วันที่ได้รับการจดทะเบียนเป็นวิสาหกิจ เพื่อสังคม ให้การยกเว้นภาษีเงินได้ตามมาตรา ๕ สิ้นสุดลงตั้งแต่รอบระยะเวลาบัญชีที่เลิกการเป็นวิสาหกิจเพื่อสังคม
มาตรา ๑๔ ในกรณีที่วิสาหกิจเพื่อสังคมเลิกกัน ให้การยกเว้นภาษีเงินได้ของวิสาหกิจ เพื่อสังคมประเภทไม่แบ่งปันกำไรตามมาตรา ๕ สิ้นสุดลงตั้งแต่รอบระยะเวลาบัญชีที่วิสาหกิจ เพื่อสังคมนั้นเลิกกัน
มาตรา ๑๕ กรณีวิสาหกิจเพื่อสังคมประเภทไม่แบ่งปันกำไรตามมาตรา ๕ หรือผู้ลงทุน ในหุ้นหรือการเป็นหุ้นส่วนตามมาตรา ๖ ได้ใช้สิทธิยกเว้นภาษีเงินได้ตามพระราชกฤษฎีกานี้แล้ว ต่อมาไม่ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการได้รับยกเว้นภาษีเงินได้ดังกล่าวในรอบระยะเวลาบัญชีใดหรือในปีภาษีใด ให้การยกเว้นภาษีเงินได้ตามพระราชกฤษฎีกานี้สิ้นสุดลง ดังนี้
(๑) ให้การยกเว้นภาษีเงินได้ตามมาตรา ๕ สิ้นสุดลงตั้งแต่รอบระยะเวลาบัญชีแรกที่ได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษี และต้องนำไปรวมคำนวณเป็นรายได้ในการคำนวณกำไรสุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้ในรอบระยะเวลาบัญชีที่ได้ใช้สิทธินั้น
(๒) ให้การยกเว้นภาษีเงินได้ตามมาตรา ๖ สิ้นสุดลงตั้งแต่ปีภาษีแรกหรือรอบระยะเวลาบัญชีแรก ที่ได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษี และต้องนำเงินได้ที่ได้ใช้สิทธิยกเว้นภาษีเงินได้ไปแล้วไปรวมคำนวณ ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับปีภาษีที่ได้ใช้สิทธิยกเว้นภาษีเงินได้นั้น หรือไปรวมคำนวณกำไรสุทธิ เพื่อเสียภาษีเงินได้ในรอบระยะเวลาบัญชีที่ได้ใช้สิทธินั้น แล้วแต่กรณี
มาตรา ๑๖ วิสาหกิจเพื่อสังคมที่ได้รับอนุมัติจากอธิบดีตามพระราชกฤษฎีกาออกตามความ ในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ๖๒๑) พ.ศ. ๒๕๕๙ และได้รับ การจดทะเบียนเป็นวิสาหกิจเพื่อสังคมตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคมอยู่แล้ว ในวันก่อนวันที่พระราชกฤษฎีกานี้มีผลใช้บังคับ ให้ถือว่าวิสาหกิจเพื่อสังคมนั้นได้จดแจ้งต่ออธิบดี ตามมาตรา ๑๑ แล้ว ตั้งแต่วันที่พระราชกฤษฎีกานี้มีผลใช้บังคับ
มาตรา ๑๗ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังรักษาการตามพระราชกฤษฎีกานี้ ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา
นายกรัฐมนตรี
ที่มา: http://www.rd.go.th