พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ใหไว ณ วันที่ ๒๙ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๖๖
เป็นปีที่ ๘ ในรัชกาลปัจจุบัน พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า
โดยที่เป็นการสมควรมีกฎหมายว่าด้วยการแลกเปลี่ยนข้อมูลเพื่อปฏิบัติตามความตกลง ระหว่างประเทศเกี่ยวกับภาษีอากร
พระราชกำหนดนี้มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล ซึ่งมาตรา ๒๖ ประกอบกับมาตรา ๓๒ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย บัญญัติให้กระทำได้ โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย
เหตุผลและความจำเป็นในการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคลตามพระราชกำหนดนี้ เพื่อให้ประเทศไทยสามารถปฏิบัติตามพันธกรณีและข้อผูกพันในการแลกเปลี่ยนข้อมูลภาษีอากร และข้อมูลบัญชีทางการเงินตามความตกลงระหว่างประเทศเกี่ยวกับภาษีอากร และเพื่อให้การจัดเก็บภาษี เกิดความเป็นธรรมและมีประสิทธิภาพ อันจะเป็นประโยชน์ต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งการตราพระราชกำหนดนี้สอดคล้องกับเงื่อนไขที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๒๖ ของรัฐธรรมนูญ แห่งราชอาณาจักรไทยแล้ว
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๑๗๒ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชกำหนดขึ้นไว้ ดังต่อไปนี้
มาตรา ๑ พระราชกำหนดนี้เรียกว่า "พระราชกำหนดการแลกเปลี่ยนข้อมูลเพื่อปฏิบัติ ตามความตกลงระหว่างประเทศเกี่ยวกับภาษีอากร พ.ศ. ๒๕๖๖"
มาตรา ๒ พระราชกำหนดนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา เป็นต้นไป
มาตรา ๓ ในพระราชกำหนดนี้ "เจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจ" หมายความว่า เจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจของประเทศไทยหรือเจ้าหน้าที่ ผู้มีอำนาจของคู่สัญญาตามที่ระบุในความตกลงระหว่างประเทศเกี่ยวกับภาษีอากรตามหมวด ๑ การแลกเปลี่ยนข้อมูลแบบร้องขอ หรือความตกลงตามหมวด ๒ การแลกเปลี่ยนข้อมูลแบบอัตโนมัติ
"อธิบดี" หมายความว่า อธิบดีกรมสรรพากร "รัฐมนตรี" หมายความว่า รัฐมนตรีผู้รักษาการตามพระราชกำหนดนี้ มาตรา ๔ บรรดาคำสั่งหรือหนังสืออื่นใดที่อธิบดีมีถึงบุคคลใดตามพระราชกำหนดนี้ ให้ส่งโดยทางไปรษณีย์ลงทะเบียนตอบรับหรือให้นำไปส่ง ณ ภูมิลำเนา หรือถิ่นที่อยู่ หรือสำนักงาน ของบุคคลนั้น ในระหว่างพระอาทิตย์ขึ้นถึงพระอาทิตย์ตก หรือในเวลาทำการของบุคคลนั้น ถ้าไม่พบผู้รับ ณ ภูมิลำเนา หรือถิ่นที่อยู่ หรือสำนักงานของผู้รับ จะส่งให้แก่บุคคลใดซึ่งบรรลุนิติภาวะแล้ว และอยู่หรือทำงานในบ้านหรือสำนักงานที่ปรากฏว่าเป็นของผู้รับนั้นก็ได้
ในกรณีที่ไม่สามารถส่งตามวิธีในวรรคหนึ่งได้ หรือบุคคลนั้นออกไปนอกราชอาณาจักร ให้ใช้วิธีปิดคำสั่งหรือหนังสืออื่น แล้วแต่กรณี ในที่ซึ่งเห็นได้ง่าย ณ ที่อยู่ หรือสำนักงานของบุคคลนั้น หรือบ้านที่บุคคลนั้นมีชื่ออยู่ในทะเบียนตามกฎหมายว่าด้วยการทะเบียนราษฎรครั้งสุดท้าย หรือโฆษณา ข้อความย่อในหนังสือพิมพ์ที่จำหน่ายเป็นปกติในท้องที่นั้น หรือโฆษณาทางสื่ออิเล็กทรอนิกส์สาธารณะ ตามที่กำหนดในกฎกระทรวงก็ได้
เมื่อได้ปฏิบัติตามวิธีที่กำหนดในวรรคหนึ่งหรือวรรคสองแล้วให้ถือว่าเป็นอันได้รับแล้ว มาตรา ๕ บรรดาคำสั่งหรือหนังสืออื่นใดที่อธิบดีส่งไปยังบุคคลใดตามพระราชกำหนดนี้ หรือบรรดาข้อมูล บัญชีทางการเงิน คำชี้แจง เอกสาร หรือหลักฐานใด ๆ ที่บุคคลใดต้องจัดทำ หรือนำส่งให้แก่อธิบดีตามพระราชกำหนดนี้ อาจกระทำด้วยกระบวนการทางอิเล็กทรอนิกส์ก็ได้ ทั้งนี้ ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดในกฎกระทรวง
กฎกระทรวงตามวรรคหนึ่งให้กำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการเกี่ยวกับการจัดทำ การส่ง การรับ ตลอดจนการเก็บรักษาที่เกี่ยวข้องไว้ด้วย ซึ่งต้องสอดคล้องกับหลักเกณฑ์ตามกฎหมายว่าด้วยธุรกรรม ทางอิเล็กทรอนิกส์
มาตรา ๖ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังรักษาการตามพระราชกำหนดนี้ และให้มีอำนาจออกกฎกระทรวงและประกาศเพื่อปฏิบัติการตามพระราชกำหนดนี้
กฎกระทรวงและประกาศนั้น เมื่อได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว ให้ใช้บังคับได้
หมวด ๑ การแลกเปลี่ยนข้อมูลแบบร้องขอ มาตรา ๗ ในหมวดนี้ "ความตกลงระหว่างประเทศเกี่ยวกับภาษีอากร" หมายความว่า (๑) ความตกลงหรืออนุสัญญาเพื่อการเว้นการเก็บภาษีซ้อนและการป้องกันการเลี่ยงรัษฎากร ที่รัฐบาลไทยหรือสำนักงานการค้าและเศรษฐกิจไทยทำกับคู่สัญญา หรือ
(๒) ความตกลงพหุภาคีว่าด้วยการให้ความช่วยเหลือด้านการบริหารภาษีที่รัฐบาลไทย ได้เข้าผูกพันเป็นภาคี
"คู่สัญญา" หมายความว่า รัฐบาลต่างประเทศ หรือหน่วยงานต่างประเทศที่ได้ทำความตกลง หรืออนุสัญญาเพื่อการเว้นการเก็บภาษีซ้อนและการป้องกันการเลี่ยงรัษฎากรกับรัฐบาลไทย หรือสำนักงานการค้าและเศรษฐกิจไทย หรือที่เป็นภาคีตามความตกลงพหุภาคีว่าด้วยการให้ความช่วยเหลือ ด้านการบริหารภาษี
มาตรา ๘ ภายใต้ความตกลงระหว่างประเทศเกี่ยวกับภาษีอากร ให้เจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจ ของประเทศไทยมีอำนาจแลกเปลี่ยนข้อมูลตามที่ได้รับการร้องขอจากเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจของคู่สัญญา ทั้งนี้ การแลกเปลี่ยนข้อมูลดังกล่าวต้อง
(๑) เป็นการแลกเปลี่ยนข้อมูลเฉพาะข้อมูลที่เกี่ยวข้องและเป็นประโยชน์ต่อการบริหาร การจัดเก็บภาษีอากรและการบังคับใช้กฎหมายภาษีอากรของคู่สัญญาผู้ร้องขอ และ
(๒) เป็นการแลกเปลี่ยนข้อมูลเฉพาะข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับบุคคลซึ่งอยู่ระหว่างการตรวจสอบ การสอบสวน การดำเนินคดี หรือการบังคับคดีในทางภาษีอากรโดยคู่สัญญาผู้ร้องขอ รวมทั้งข้อมูล ของบุคคลซึ่งเกี่ยวข้องกับบุคคลดังกล่าว
มาตรา ๙ เจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจของคู่สัญญาใดประสงค์จะขอข้อมูลภายใต้ความตกลง ระหว่างประเทศเกี่ยวกับภาษีอากร ให้เจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจของคู่สัญญานั้นทำคำร้องขอข้อมูล ส่งมายังเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจของประเทศไทย โดยอย่างน้อยต้องมีสาระสำคัญ ดังต่อไปนี้
(๑) รายละเอียดข้อมูลของบุคคลซึ่งอยู่ระหว่างการตรวจสอบ การสอบสวน การดำเนินคดี หรือการบังคับคดีในทางภาษีอากรโดยคู่สัญญาผู้ร้องขอ หรือข้อมูลของบุคคลซึ่งเกี่ยวข้องกับบุคคลดังกล่าว
(๒) ข้อมูลที่ร้องขอ รวมถึงลักษณะและรูปแบบของข้อมูลที่คู่สัญญาผู้ร้องขอประสงค์ จะให้เจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจของประเทศไทยจัดส่งให้
(๓) วัตถุประสงค์ในทางภาษีที่เป็นเหตุในการขอข้อมูล (๔) เหตุที่ทำให้เชื่อว่ามีข้อมูลที่ร้องขออยู่ในประเทศไทย หรือมีข้อมูลที่ร้องขออยู่ใน ความครอบครองหรือควบคุมของบุคคลซึ่งอยู่ในประเทศไทย
(๕) ชื่อและที่อยู่ของบุคคลซึ่งเชื่อว่าครอบครองข้อมูลที่ร้องขอ (๖) ข้อความซึ่งแสดงให้เห็นว่าการร้องขอดังกล่าวสอดคล้องกับกฎหมายหรือแนวปฏิบัติ ในทางบริหารของคู่สัญญาผู้ร้องขอ เพื่อแสดงให้เห็นว่าหากข้อมูลนั้นอยู่ในดินแดนของคู่สัญญาผู้ร้องขอ เจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจของคู่สัญญาผู้ร้องขอจะสามารถเข้าถึงข้อมูลดังกล่าวได้ตามกฎหมายหรือแนวปฏิบัติปกติ ในทางบริหารของคู่สัญญาผู้ร้องขอ และการขอข้อมูลนั้นสอดคล้องกับความตกลงระหว่างประเทศ เกี่ยวกับภาษีอากร
(๗) ข้อความซึ่งแสดงให้เห็นว่าคู่สัญญาผู้ร้องขอได้ดำเนินมาตรการทั้งหมดเท่าที่ตนจะสามารถ กระทำได้เพื่อให้ได้มาซึ่งข้อมูลดังกล่าวแล้ว หรือในกรณีที่มีมาตรการที่สามารถดำเนินการเพื่อให้ได้มา ซึ่งข้อมูลดังกล่าวแต่การดำเนินมาตรการดังกล่าวจะทำให้เกิดความยากลำบากเกินสมควร
มาตรา ๑๐ ให้เจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจของประเทศไทยปฏิเสธการแลกเปลี่ยนข้อมูลตามหมวดนี้ หากปรากฏเหตุหนึ่งเหตุใดดังต่อไปนี้
(๑) การได้มาซึ่งข้อมูลเพื่อแลกเปลี่ยนตามหมวดนี้จะเป็นการขัดต่อกฎหมายหรือแนวปฏิบัติปกติ ในทางบริหารของประเทศไทยหรือของคู่สัญญาผู้ร้องขอ
(๒) การแลกเปลี่ยนข้อมูลจะเป็นการขัดต่อกฎหมายหรือแนวปฏิบัติปกติในทางบริหาร ของประเทศไทยหรือของคู่สัญญาผู้ร้องขอ
(๓) การแลกเปลี่ยนข้อมูลจะมีผลเป็นการเปิดเผยความลับทางการค้า ธุรกิจอุตสาหกรรม พาณิชยกรรม หรือความลับทางวิชาชีพ หรือกรรมวิธีทางการค้า หรือข้อมูลที่เปิดเผยจะขัดต่อ ความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน
(๔) มีพฤติการณ์อันควรเชื่อได้ว่าคู่สัญญาผู้ร้องขอจะไม่สามารถรักษาข้อมูลที่ได้รับไว้เป็นความลับ (๕) เจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจของคู่สัญญาผู้ร้องขอจะไม่สามารถจัดส่งข้อมูลลักษณะเดียวกัน ที่มีอยู่ในดินแดนของตน หากเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจของประเทศไทยร้องขอข้อมูลดังกล่าว
(๖) หลักการในการจัดเก็บภาษีอากรของคู่สัญญาผู้ร้องขอขัดหรือแย้งกับหลักการ ในการจัดเก็บภาษีอากรซึ่งเป็นที่ยอมรับทั่วไปหรือขัดต่อบทบัญญัติของความตกลงระหว่างประเทศ เกี่ยวกับภาษีอากร
(๗) คู่สัญญาผู้ร้องขอยังมิได้ดำเนินมาตรการทั้งหมดเท่าที่จะทำได้เพื่อให้ได้มาซึ่งข้อมูล ภายใต้กฎหมายหรือแนวปฏิบัติทางบริหาร เว้นแต่การดำเนินมาตรการดังกล่าวจะทำให้เกิด ความยากลำบากเกินสมควร
(๘) การแลกเปลี่ยนข้อมูลตามคำร้องขอของคู่สัญญาจะมีผลทำให้เกิดการเลือกปฏิบัติ อย่างไม่เป็นธรรมต่อบุคคลผู้มีสัญชาติไทย
มาตรา ๑๑ เมื่อได้รับคำร้องขอข้อมูลตามมาตรา ๙ แล้ว ให้เจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจ ของประเทศไทยพิจารณาว่าคำร้องขอข้อมูลนั้นอยู่ในหลักเกณฑ์การแลกเปลี่ยนข้อมูลตามมาตรา ๘ หรือไม่ และคำร้องขอข้อมูลนั้นมีรายการครบถ้วนและมีรายละเอียดที่ชัดเจนเพียงพอต่อการดำเนินการ หรือไม่ รวมทั้งมีเหตุปฏิเสธการแลกเปลี่ยนข้อมูลตามมาตรา ๑๐ หรือไม่
ในกรณีที่เจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจของประเทศไทยเห็นว่าคำร้องขอข้อมูลนั้นมีรายการไม่ครบถ้วน หรือมีรายละเอียดไม่ชัดเจนหรือไม่เพียงพอต่อการดำเนินการตามคำร้องขอข้อมูลได้ ให้เจ้าหน้าที่ ผู้มีอำนาจของประเทศไทยแจ้งเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจของคู่สัญญาผู้ร้องขอว่าคำร้องขอดังกล่าวมีรายการ ไม่ครบถ้วน หรือมีรายละเอียดไม่ชัดเจนหรือไม่เพียงพอต่อการดำเนินการตามคำร้องขอได้ และแจ้งเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจของคู่สัญญาผู้ร้องขอให้จัดทำข้อมูลเพิ่มเติมส่งมายังเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจ ของประเทศไทยภายในระยะเวลาที่กำหนด
ในกรณีที่เจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจของประเทศไทยพิจารณาคำร้องขอข้อมูลแล้วเห็นว่าคำร้องขอข้อมูลนั้นไม่อยู่ในหลักเกณฑ์การแลกเปลี่ยนข้อมูลตามมาตรา ๘ หรือเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจของคู่สัญญา ผู้ร้องขอไม่ดำเนินการจัดทำและส่งข้อมูลเพิ่มเติมภายในระยะเวลาที่กำหนดในวรรคสองโดยไม่มีเหตุ อันสมควร หรือมีเหตุปฏิเสธการแลกเปลี่ยนข้อมูลตามมาตรา ๑๐ ให้เจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจของประเทศไทย ปฏิเสธคำร้องขอข้อมูลพร้อมแจ้งเหตุผลของการปฏิเสธให้เจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจของคู่สัญญาผู้ร้องขอทราบ
มาตรา ๑๒ เมื่อเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจของประเทศไทยพิจารณาคำร้องขอข้อมูลตามมาตรา ๑๑ แล้วเห็นว่าคำร้องขอข้อมูลนั้นอยู่ในหลักเกณฑ์การแลกเปลี่ยนข้อมูลตามมาตรา ๘ และมีรายการครบถ้วน และมีรายละเอียดที่ชัดเจนเพียงพอต่อการดำเนินการ รวมทั้งไม่มีเหตุปฏิเสธการแลกเปลี่ยนข้อมูล ตามมาตรา ๑๐ ให้เจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจของประเทศไทยดำเนินการรวบรวมข้อมูลตามที่ได้รับการร้องขอ ทั้งนี้ หากยังไม่มีข้อมูลดังกล่าว ให้เจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจของประเทศไทยสั่งการให้อธิบดีดำเนินการ เพื่อให้ได้มาซึ่งข้อมูลตามที่ได้รับการร้องขอนั้นและส่งให้แก่เจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจของประเทศไทย เพื่อใช้ในการแลกเปลี่ยนข้อมูลตามที่ได้รับการร้องขอได้
ในการดำเนินการเพื่อให้ได้มาซึ่งข้อมูลตามวรรคหนึ่ง ให้อธิบดีมีอำนาจสั่งให้บุคคล ซึ่งครอบครองหรือควบคุมข้อมูลของบุคคลซึ่งถูกระบุในคำร้องขอ มาให้ถ้อยคำ หรือส่งคำชี้แจงเป็นหนังสือ หรือรวบรวมและนำส่งข้อมูลนั้นให้แก่อธิบดีได้
หมวด ๒ การแลกเปลี่ยนข้อมูลแบบอัตโนมัติ
มาตรา ๑๓ ในหมวดนี้ "ความตกลง" หมายความว่า ความตกลงพหุภาคีระหว่างเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจในการแลกเปลี่ยน ข้อมูลบัญชีทางการเงินแบบอัตโนมัติ
"คู่สัญญา" หมายความว่า รัฐหรือภาคีตามความตกลง ทั้งนี้ ตามรายชื่อที่รัฐมนตรีประกาศ ในราชกิจจานุเบกษา
"บัญชีทางการเงิน" หมายความว่า บัญชีรับฝากเงิน บัญชีรับฝากสินทรัพย์ บัญชีเพื่อการลงทุน หรือกรมธรรม์ประกันชีวิต ของลูกค้าของผู้มีหน้าที่รายงาน
"ผู้ที่ต้องถูกรายงาน" หมายความว่า ผู้ซึ่งมีถิ่นที่อยู่ทางภาษีในดินแดนของคู่สัญญา หรือกองมรดกของเจ้ามรดกซึ่งมีถิ่นที่อยู่ทางภาษีในดินแดนของคู่สัญญา
มาตรา ๑๔ ภายใต้ความตกลง เจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจของประเทศไทยมีอำนาจแลกเปลี่ยนข้อมูล แบบอัตโนมัติซึ่งข้อมูลบัญชีทางการเงินที่ต้องถูกรายงานที่ได้รับมาตามมาตรา ๑๘ กับเจ้าหน้าที่ ผู้มีอำนาจของคู่สัญญา โดยข้อมูลที่จะแลกเปลี่ยนกับคู่สัญญาใด ต้องเป็นข้อมูลที่เกี่ยวกับผู้ที่ต้องถูกรายงาน ซึ่งมีถิ่นที่อยู่ทางภาษีในดินแดนของคู่สัญญานั้น
มาตรา ๑๕ ให้บุคคลดังต่อไปนี้ เป็นผู้มีหน้าที่รายงานข้อมูลบัญชีทางการเงินที่ต้องถูกรายงาน ต่ออธิบดี
(๑) สถาบันการเงินตามกฎหมายว่าด้วยธุรกิจสถาบันการเงิน (๒) บริษัทหลักทรัพย์ตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (๓) สถาบันการเงินของรัฐที่มีกฎหมายเฉพาะจัดตั้งขึ้น (๔) ผู้ได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจประกันชีวิตตามกฎหมายว่าด้วยการประกันชีวิต (๕) ผู้ประกอบธุรกิจสัญญาซื้อขายล่วงหน้าตามกฎหมายว่าด้วยสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (๖) ผู้ดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญาตามกฎหมายว่าด้วยการดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญา (๗) ผู้ประกอบธุรกิจบัตรเครดิตตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๕๘ ลงวันที่ ๒๖ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๑๕
(๘) ทรัสตีตามกฎหมายว่าด้วยทรัสต์เพื่อธุรกรรมในตลาดทุน (๙) บุคคลอื่นใดซึ่งมีข้อมูลบัญชีทางการเงินตามที่รัฐมนตรีประกาศกำหนด บุคคลตามวรรคหนึ่งต้องมีลักษณะหรือการให้บริการหรือทำธุรกรรมตามที่กำหนด ในกฎกระทรวง
มาตรา ๑๖ ให้รัฐมนตรีมีอำนาจออกกฎกระทรวงเพื่อกำหนดยกเว้นบุคคลผู้มีหน้าที่รายงาน ตามมาตรา ๑๕ ให้ไม่ต้องมีหน้าที่รายงาน
มาตรา ๑๗ ให้ผู้มีหน้าที่รายงานจัดให้ลูกค้าแจ้งและยืนยันข้อมูลเกี่ยวกับถิ่นที่อยู่ทางภาษี ทุกครั้งที่มีการเปิดบัญชีทางการเงินใหม่
บัญชีทางการเงินที่ผู้มีหน้าที่รายงานต้องดำเนินการตามวรรคหนึ่ง ได้แก่ บัญชีทางการเงิน ที่มีลักษณะและไม่เป็นบัญชีทางการเงินที่ถูกยกเว้นการรายงานตามที่กำหนดในกฎกระทรวง
เมื่อลูกค้าแจ้งและยืนยันตามวรรคหนึ่งแล้ว ให้ผู้มีหน้าที่รายงานตรวจสอบข้อมูลดังกล่าว และหากพบว่าบัญชีทางการเงินใดถือโดยลูกค้าซึ่งเป็นผู้ที่ต้องถูกรายงาน หรือถือโดยลูกค้าซึ่งมีผู้มีอำนาจควบคุม เป็นผู้ที่ต้องถูกรายงาน ให้ผู้มีหน้าที่รายงานกำหนดให้บัญชีทางการเงินดังกล่าวเป็นบัญชีทางการเงิน ที่ต้องถูกรายงาน
ผู้ที่ต้องถูกรายงานตามวรรคสาม ไม่หมายความรวมถึงหน่วยงานของรัฐบาลต่างประเทศ องค์การระหว่างประเทศ ธนาคารกลาง และหน่วยงานทางการเงินอื่น ทั้งนี้ เฉพาะที่มีลักษณะ ตามที่กำหนดในกฎกระทรวง และผู้ซึ่งรัฐมนตรีประกาศกำหนด
ผู้มีอำนาจควบคุม หมายความว่า บุคคลธรรมดาซึ่งใช้อำนาจควบคุมเหนือลูกค้าซึ่งไม่ใช่บุคคลธรรมดา ทั้งนี้ ลักษณะของลูกค้าและการใช้อำนาจควบคุมเหนือลูกค้าแต่ละประเภท ให้เป็นไปตามที่กำหนด ในกฎกระทรวง
หลักเกณฑ์และวิธีการในการพิจารณาถิ่นที่อยู่ทางภาษีของผู้ที่ต้องถูกรายงาน การแจ้งและยืนยันข้อมูล และการตรวจสอบข้อมูล ให้เป็นไปตามที่กำหนดในกฎกระทรวง ทั้งนี้ กฎกระทรวงอาจกำหนด ให้แตกต่างกันตามประเภทหรือมูลค่าของบัญชีทางการเงินก็ได้
มาตรา ๑๘ เมื่อผู้มีหน้าที่รายงานกำหนดบัญชีทางการเงินที่ต้องถูกรายงานแล้ว ให้ส่งข้อมูลเกี่ยวกับบัญชีทางการเงินที่ต้องถูกรายงานและข้อมูลของผู้มีหน้าที่รายงานดังต่อไปนี้ ไปยังอธิบดีภายในวันที่ ๓๐ มิถุนายน ของปีถัดไป เพื่อส่งให้เจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจของประเทศไทย ใช้ในการแลกเปลี่ยนข้อมูลแบบอัตโนมัติต่อไป
(๑) ข้อมูลเกี่ยวกับเจ้าของบัญชีหรือผู้มีอำนาจควบคุมของเจ้าของบัญชี ได้แก่ ชื่อ ที่อยู่ หมายเลขประจำตัวผู้เสียภาษี วัน เดือน ปีเกิด และสถานที่เกิด หรือข้อมูลอื่นตามที่อธิบดีประกาศกำหนด
(๒) ข้อมูลเกี่ยวกับบัญชีทางการเงิน ได้แก่ เลขที่บัญชี ยอดเงินในบัญชีหรือมูลค่าเงินสด ในกรมธรรม์ ดอกเบี้ยที่ได้รับ หรือผลประโยชน์อื่นใดตามที่อธิบดีประกาศกำหนด
(๓) ข้อมูลเกี่ยวกับผู้มีหน้าที่รายงาน ได้แก่ ชื่อและหมายเลขระบุตัวตนของผู้มีหน้าที่รายงาน ทั้งนี้ ให้ใช้ข้อมูล ณ วันสิ้นปีปฏิทิน หรือ ณ วันอื่นตามที่อธิบดีประกาศกำหนด
การส่งข้อมูลตามวรรคหนึ่งให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ เงื่อนไข และรูปแบบการส่งข้อมูล ที่อธิบดีประกาศกำหนด
ในกรณีที่มีเหตุอันสมควร รัฐมนตรีมีอำนาจออกประกาศผ่อนผันการส่งข้อมูลบางรายการ หรือขยายกำหนดเวลาการส่งข้อมูลนั้นออกไปก็ได้
มาตรา ๑๙ ภายหลังจากการดำเนินการตามมาตรา ๑๗ แล้ว หากปรากฏข้อเท็จจริง แก่ผู้มีหน้าที่รายงานว่ามีข้อมูลที่เปลี่ยนแปลงไป อันมีผลทำให้บัญชีทางการเงินใดเป็นบัญชีทางการเงิน ที่ต้องถูกรายงานหรือทำให้ไม่เป็นบัญชีทางการเงินที่ต้องถูกรายงานอีกต่อไป ให้ผู้มีหน้าที่รายงานกำหนด เพิ่มให้บัญชีนั้นเป็นบัญชีทางการเงินที่ต้องถูกรายงานหรือยกเลิกการกำหนดให้บัญชีทางการเงินนั้น เป็นบัญชีทางการเงินที่ต้องถูกรายงาน แล้วแต่กรณี
มาตรา ๒๐ ให้ผู้มีหน้าที่รายงานเก็บรักษารายการและหลักฐานการดำเนินการต่าง ๆ ว่าได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติในหมวดนี้ และข้อมูลที่ได้รวบรวมมาจากกระบวนการตรวจสอบบัญชีทางการเงิน ตามหมวดนี้เป็นระยะเวลาหกปีนับแต่วันสิ้นปีปฏิทินที่เสร็จสิ้นกระบวนการตรวจสอบบัญชีทางการเงินนั้น
มาตรา ๒๑ ผู้มีหน้าที่รายงานอาจแต่งตั้งตัวแทนเพื่อดำเนินการตามมาตรา ๑๗ มาตรา ๑๘ หรือมาตรา ๒๐ ก็ได้ ทั้งนี้ ให้ผู้มีหน้าที่รายงานยังคงมีความรับผิดหากตัวแทนมิได้ดำเนินการถูกต้อง ครบถ้วนตามมาตรา ๑๗ มาตรา ๑๘ หรือมาตรา ๒๐ แล้วแต่กรณี
มาตรา ๒๒ เพื่อประโยชน์ในการปฏิบัติตามหมวดนี้ ให้อธิบดีมีอำนาจออกคำสั่ง ให้ผู้มีหน้าที่รายงาน กรรมการ ผู้จัดการ บุคคลผู้มีอำนาจในการจัดการของผู้มีหน้าที่รายงาน หรือตัวแทนซึ่งได้รับแต่งตั้งให้ดำเนินการตามมาตรา ๒๑ มาให้ถ้อยคำ ส่งคำชี้แจงเป็นหนังสือ หรือส่งบัญชีทางการเงิน เอกสาร หรือหลักฐานใด ๆ อันควรแก่เรื่องมาตรวจสอบไต่สวนได้
มาตรา ๒๓ ในกรณีที่ความปรากฏแก่อธิบดีว่า (๑) ผู้มีหน้าที่รายงานไม่ปฏิบัติตามมาตรา ๑๗ มาตรา ๑๘ หรือมาตรา ๓๒ ให้อธิบดี มีอำนาจสั่งให้ผู้มีหน้าที่รายงานนั้นปฏิบัติให้ถูกต้องภายในระยะเวลาที่กำหนด
(๒) ผู้มีหน้าที่รายงานปฏิบัติตามมาตรา ๑๗ มาตรา ๑๘ หรือมาตรา ๓๒ แต่ข้อมูล ที่รายงานนั้นไม่ถูกต้องครบถ้วน ให้อธิบดีมีอำนาจสั่งให้ผู้มีหน้าที่รายงานนั้นแก้ไขให้ถูกต้อง ภายในระยะเวลาที่กำหนด
มาตรา ๒๔ เพื่อประโยชน์ในการปฏิบัติตามหมวดนี้ หากความปรากฏแก่อธิบดีว่า ผู้มีหน้าที่รายงาน ผู้ที่ต้องถูกรายงาน หรือบุคคลอื่นใด กระทำการใด ๆ โดยมีวัตถุประสงค์หลัก เพื่อให้ผู้มีหน้าที่รายงาน หรือผู้ที่ต้องถูกรายงานไม่ต้องปฏิบัติตามบทบัญญัติในหมวดนี้ ให้อธิบดี มีอำนาจสั่งให้ผู้มีหน้าที่รายงาน หรือผู้ที่ต้องถูกรายงาน หรือบุคคลอื่นดังกล่าวปฏิบัติตามบทบัญญัติ ในหมวดนี้
หมวด ๓ อำนาจของเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจ มาตรา ๒๕ ภายใต้ความตกลงระหว่างประเทศเกี่ยวกับภาษีอากรตามหมวด ๑ การแลกเปลี่ยนข้อมูลแบบร้องขอ หรือความตกลงตามหมวด ๒ การแลกเปลี่ยนข้อมูลแบบอัตโนมัติ ให้เจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจของประเทศไทยมีอำนาจเปิดเผยข้อมูลที่ได้รับตามพระราชกำหนดนี้ หรือข้อมูล ที่ได้รับจากเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจของคู่สัญญา ให้แก่เจ้าพนักงานประเมินตามประมวลรัษฎากร หรือกฎหมายว่าด้วยภาษีเงินได้ปิโตรเลียม หรือกฎหมายเกี่ยวกับภาษีอากรอื่นตามที่กำหนดในกฎกระทรวง
หมวด ๔ บทกำหนดโทษ มาตรา ๒๖ ผู้ใดไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของอธิบดีตามมาตรา ๑๒ วรรคสอง โดยปราศจาก เหตุอันสมควร ให้อธิบดีมีอำนาจพิจารณามีคำสั่งลงโทษปรับทางปกครองไม่เกินสองแสนบาท
มาตรา ๒๗ ผู้ใดไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของอธิบดีตามมาตรา ๒๓ หรือมาตรา ๒๔ โดยปราศจากเหตุอันสมควร ให้อธิบดีพิจารณามีคำสั่งลงโทษปรับทางปกครองไม่เกินสองแสนบาท
มาตรา ๒๘ ผู้ใดเจตนาแจ้งข้อความอันเป็นเท็จ หรือปกปิดความจริง ในการดำเนินการ หรือการให้ข้อมูลตามมาตรา ๑๒ มาตรา ๑๗ หรือมาตรา ๑๘ ต้องระวางโทษปรับตั้งแต่ห้าหมื่นบาท ถึงห้าแสนบาท
มาตรา ๒๙ ผู้มีหน้าที่รายงานผู้ใดไม่ปฏิบัติตามมาตรา ๒๐ ต้องระวางโทษปรับไม่เกิน สามแสนบาท
มาตรา ๓๐ ผู้ใดล่วงรู้ข้อมูลอันเนื่องจากการปฏิบัติตามพระราชกำหนดนี้ แล้วนำไปเปิดเผย แก่บุคคลอื่น เว้นแต่เป็นการเปิดเผยตามหน้าที่และอำนาจตามพระราชกำหนดนี้ ต้องระวางโทษจำคุก ไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา ๓๑ ความผิดตามมาตรา ๒๘ และมาตรา ๒๙ ให้อธิบดีมีอำนาจเปรียบเทียบได้ ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ที่รัฐมนตรีกำหนด
เมื่ออธิบดีได้ทำการเปรียบเทียบ และผู้ต้องหาได้ชำระค่าปรับตามจำนวนและภายในระยะเวลา ที่อธิบดีกำหนดแล้ว ให้ถือว่าคดีเลิกกันตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
ถ้าผู้ต้องหาไม่ยินยอมตามที่เปรียบเทียบ หรือเมื่อยินยอมแล้วไม่ชำระเงินค่าปรับ ภายในระยะเวลาที่กำหนด ให้ดำเนินคดีต่อไป
บทเฉพาะกาล
มาตรา ๓๒ เพื่อประโยชน์ในการแลกเปลี่ยนข้อมูลแบบอัตโนมัติตามหมวด ๒ การแลกเปลี่ยนข้อมูลแบบอัตโนมัติ เมื่อพระราชกำหนดนี้ใช้บังคับ ให้ผู้มีหน้าที่รายงานตามมาตรา ๑๕ ตรวจสอบบัญชีทางการเงินที่มีอยู่ในวันก่อนวันที่พระราชกำหนดนี้ใช้บังคับของลูกค้าของตน และหากพบว่าบัญชีทางการเงินใดถือโดยลูกค้าซึ่งเป็นผู้ที่ต้องถูกรายงาน หรือถือโดยลูกค้าซึ่งมีผู้มีอำนาจควบคุม เป็นผู้ที่ต้องถูกรายงาน ให้ผู้มีหน้าที่รายงานกำหนดให้บัญชีทางการเงินดังกล่าวเป็นบัญชีทางการเงิน ที่ต้องถูกรายงานตามหมวด ๒ การแลกเปลี่ยนข้อมูลแบบอัตโนมัติ
หลักเกณฑ์และวิธีการในการตรวจสอบบัญชีทางการเงินตามวรรคหนึ่ง และระยะเวลาในการส่งข้อมูล ให้เป็นไปตามที่กำหนดในกฎกระทรวง ทั้งนี้ กฎกระทรวงอาจกำหนดให้แตกต่างกันตามประเภท หรือมูลค่าของบัญชีทางการเงินก็ได้
ให้นำบทบัญญัติเกี่ยวกับบัญชีทางการเงิน ผู้ที่ต้องถูกรายงาน ผู้มีอำนาจควบคุม และการพิจารณาถิ่นที่อยู่ทางภาษีของผู้ที่ต้องถูกรายงานตามมาตรา ๑๗ และบทบัญญัติมาตรา ๒๑ มาตรา ๒๒ มาตรา ๒๓ และมาตรา ๒๔ รวมทั้งบทกำหนดโทษที่เกี่ยวข้อง มาใช้บังคับ แก่การดำเนินการตามมาตรานี้ด้วย
มาตรา ๓๓ ห้ามมิให้ใช้บังคับบทบัญญัติมาตรา ๑๗ มาตรา ๑๘ และมาตรา ๓๒ ในการลงโทษหรือในทางที่จะเป็นผลร้ายแก่ผู้มีหน้าที่รายงาน จนกว่ากฎกระทรวงหรือประกาศ ตามมาตราดังกล่าวจะมีผลใช้บังคับ ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา
นายกรัฐมนตรี
ที่มา: http://www.rd.go.th