สำนักกฎหมายและคดี สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง
วันที่ ๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๐
สรุปการกระทำที่บัญญัติเป็นความผิดและกำหนดโทษตาม
พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง พ.ศ. ๒๕๕๐
----------------------------------------
ข้อ ๑ ผู้ใดขัดขวางการปฏิบัติงานของคณะกรรมการการเลือกตั้ง กรรมการการเลือกตั้ง
คณะกรรมการการเลือกตั้งประจำจังหวัด กรรมการการเลือกตั้งประจำจังหวัด ผู้อำนวยการการเลือกตั้ง
ประจำจังหวัด คณะอนุกรรมการหรืออนุกรรมการ ในการปฏิบัติงานตามพระราชบัญญัติประกอบ
รัฐธรรมนูญนี้
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน ๑ ปี หรือปรับไม่เกิน ๒๐,๐๐๐ บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา ๔๓ วรรคหนึ่ง)
กรณีการขัดขวางการปฏิบัติงานดังกล่าว ได้กระทำโดยใช้กำลังประทุษร้ายหรือขู่เข็ญว่าจะ
ใช้กำลังประทุษร้าย
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน ๒ ปี หรือปรับไม่เกิน ๔๐,๐๐๐ บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา ๔๓ วรรคสอง)
ข้อ ๒ ผู้ใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของคณะกรรมการการเลือกตั้ง กรณีที่ให้เจ้าหน้าที่
ของหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือราชการส่วนท้องถิ่น เจ้าหน้าที่ของรัฐ พนักงาน
อัยการ พนักงานสอบสวน หรือบุคคลใด มีหนังสือชี้แจงข้อเท็จจริง หรือมาให้ถ้อยคำ หรือส่งเอกสาร
หลักฐาน หรือพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้อง ภายในระยะเวลาที่คณะกรรมการการเลือกตั้งกำหนดตาม
มาตรา ๒๖ (๒) และ (๓)
ต้องระวางโทษ จำคุกไม่เกิน ๖ เดือน หรือปรับไม่เกิน ๑๐,๐๐๐ บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ (มาตรา ๔๔)
ข้อ ๓ กรรมการการเลือกตั้ง กรรมการการเลือกตั้งประจำจังหวัด ผู้อำนวยการการเลือกตั้ง
ประจำจังหวัด และอนุกรรมการ ผู้ใดกระทำอันมิชอบด้วยหน้าที่เพื่อเป็นคุณหรือเป็นโทษแก่ผู้สมัคร
หรือพรรคการเมืองใดในการเลือกตั้ง หรือกระทำการหรือละเว้นกระทำการโดยทุจริตหรือ
ประพฤติมิชอบในการปฏิบัติหน้าที่ในการดำเนินการเกี่ยวกับการเลือกตั้งหรือการออกเสียง
ประชามติตามมาตรา ๒๙ วรรคหนึ่ง
ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ ๑ — ๑๐ ปี และปรับตั้งแต่ ๒๐,๐๐๐ — ๒๐๐,๐๐๐ บาท และให้
ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งมีกำหนด ๑๐ ปี (มาตรา ๔๕)
**ในกรณีที่ผู้ใดได้กระทำการตามหน้าที่โดยสุจริต ย่อมได้รับความคุ้มครองไม่ต้องรับผิดทั้ง
ทางแพ่ง ทางอาญา หรือทางปกครอง (มาตรา ๒๙ วรรคสอง)
การกระทำผิดที่มีโทษทางอาญา
สำนักกฎหมายและคดี สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง
วันที่ ๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๐
ข้อ ๑ ข้าราชการ พนักงาน หรือลูกจ้างของหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือ
ราชการส่วนท้องถิ่น หรือเจ้าหน้าที่อื่นของรัฐ ผู้ใดไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของคณะกรรมการการเลือกตั้ง
โดยไม่มีเหตุอันสมควร กรณีที่สั่งให้ปฏิบัติการทั้งหลายอันจำเป็นตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ
ว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พระราชบัญญัติประกอบ
รัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการออกเสียงประชามติ
และกฎหมายว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นตามมาตรา ๑๐ (๘)
ให้ถือว่าผู้นั้นกระทำผิดวินัยและให้คณะกรรมการการเลือกตั้งส่งเรื่องให้ผู้มีอำนาจ
ดำเนินการทางวินัยของผู้นั้น ดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ และแจ้งให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง
ทราบ (มาตรา ๒๐ วรรคสอง)
ข้อ ๒ ข้าราชการ พนักงาน หรือลูกจ้าง ผู้ใดไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของคณะกรรมการการ
เลือกตั้งโดยไม่มีเหตุอันสมควร กรณีที่สั่งให้หน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือราชการ
ส่วนท้องถิ่น ดำเนินการในเรื่องใดเรื่องหนึ่งตามอำนาจหน้าที่ หรือให้หน่วยงานดังกล่าวมีคำสั่งให้
ข้าราชการ พนักงาน หรือลูกจ้างของหน่วยงานตน ปฏิบัติการอันจำเป็นเกี่ยวกับการเลือกตั้ง การสนับสนุน
การสรรหาสมาชิกวุฒิสภา หรือการออกเสียงประชามติ ได้ตามที่เห็นสมควรตามมาตรา ๒๐
ให้ถือว่าผู้นั้นกระทำผิดวินัยและให้คณะกรรมการการเลือกตั้งส่งเรื่องให้ผู้มีอำนาจ
ดำเนินการทางวินัยของผู้นั้น ดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ และแจ้งให้คณะกรรมการการเลือกตั้งทราบ
(มาตรา ๒๐ วรรคสอง)
ข้อ ๓ กรณีที่การไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของคณะกรรมการการเลือกตั้งดังกล่าวตามข้อ ๑ และข้อ ๒ นั้น
หากเป็นผลให้เกิดความเสียหายแก่การดำเนินการเลือกตั้ง การสนับสนุนการสรรหาสมาชิกวุฒิสภา
หรือการออกเสียงประชามติ ให้ถือว่าเป็นการกระทำความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรงตามมาตรา ๒๐
วรรคสาม
การเป็นผู้เสียหายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
ในกรณีที่คณะกรรมการการเลือกตั้งเห็นว่าผู้ใดกระทำความผิดตาม พระราชบัญญัติประกอบ
รัฐธรรมนูญนี้ พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและ
การได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พระราชบัญญัติ
ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการออกเสียงประชามติ หรือกฎหมายว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภา
ท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น ให้มีอำนาจแจ้งพนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจตามประมวลกฎหมายวิธี
พิจารณาความอาญาเพื่อดำเนินการสืบสวนสอบสวน หรือแจ้งพนักงานสอบสวนเพื่อดำเนินการ
การกระทำผิดของเจ้าหน้าที่ของรัฐที่มีโทษทางวินัย
สำนักกฎหมายและคดี สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง
วันที่ ๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๐
สอบสวนและให้มีอำนาจฟ้องคดีต่อศาลทั้งในทางแพ่ง ทางอาญา หรือทางปกครอง โดยให้ถือว่า
คณะกรรมการการเลือกตั้งเป็นผู้เสียหายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาและกฎหมายอื่น
และให้ได้รับยกเว้นค่าฤชาธรรมเนียมทั้งปวงตามมาตรา ๒๑ วรรคหนึ่ง
ในกรณีที่คณะกรรมการการเลือกตั้งจะต้องดำเนินคดีในศาล คณะกรรมการการเลือกตั้งอาจ
มอบหมายให้กรรมการการเลือกตั้งคนใดคนหนึ่ง เลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง พนักงานของ
สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง พนักงานอัยการหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ ดำเนินการแทนได้ และให้
พนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจ พนักงานสอบสวนหรือพนักงานอัยการ อำนวยความสะดวกและ
เร่งรัดให้การดำเนินคดีเสร็จสิ้นไปโดยเร็ว (มาตรา ๒๑ วรรคสอง)
----------------------------------------
สำนักกฎหมายและคดี สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง
วันที่ ๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๐
สรุปการกระทำที่บัญญัติเป็นความผิดและกำหนดโทษในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
และการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. ๒๕๕๐
---------------------------------------
การกระทำที่เป็นความผิดเกี่ยวกับวิธีการหาเสียง
ข้อ ๑ ผู้สมัครหรือผู้ใดกระทำการอย่างใดอย่างหนึ่งเพื่อจูงใจให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งลงคะแนน
เลือกตั้งให้แก่ตนเองหรือผู้สมัครอื่นหรือพรรคการเมืองใด หรือให้งดเว้นการลงคะแนนให้แก่ผู้สมัคร
หรือ พรรคการเมืองใด ด้วยวิธีการตามที่กำหนดไว้ในในมาตรา ๕๓ วรรคหนึ่ง กล่าวคือ
(๑) จัดทำ ให้ เสนอให้ สัญญาว่าจะให้ หรือจัดเตรียมเพื่อจะให้ทรัพย์สินหรือผลประโยชน์
อื่นใดอันอาจคำนวณเป็นเงินได้แก่ผู้ใด
(๒) ให้ เสนอให้ หรือสัญญาว่าจะให้เงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดไม่ว่าจะโดยตรง
หรือโดยอ้อม แก่ชุมชน สมาคม มูลนิธิ วัด สถาบันการศึกษา สถานสงเคราะห์ หรือสถาบันอื่นใด
(๓) ทำการโฆษณาหาเสียงด้วยการจัดให้มีมหรสพหรือการรื่นเริงต่างๆ
(๔) เลี้ยงหรือรับจะจัดเลี้ยงผู้ใด
(๕) หลอกลวง บังคับ ขู่เข็ญ ใช้อิทธิพลคุกคาม ใส่ร้ายด้วยความเท็จ หรือจูงใจให้เข้าใจผิด
ในคะแนนนิยมของผู้สมัครหรือพรรคการเมืองใด
ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ ๑ - ๑๐ ปี และปรับตั้งแต่ ๒๐,๐๐๐ - ๒๐๐,๐๐๐ บาท และให้ศาล
สั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งมีกำหนด ๑๐ ปี (มาตรา ๑๓๗)
** หมายเหตุ
๑. ผู้สมัครหรือผู้ใดกระทำความผิดตาม (๑) หรือ (๒) ให้ถือว่าเป็นความผิดมูลฐานตาม
กฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน และให้คณะกรรมการการเลือกตั้งมีอำนาจส่งเรื่อง
ให้สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ได้ตามมาตรา ๕๓ วรรคสอง
๒. ความผิดฐานนี้ เมื่อศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุดให้ลงโทษผู้กระทำการฝ่าฝืนให้ศาลสั่ง
จ่ายสินบนนำจับไม่เกินกึ่งหนึ่งจากจำนวนเงินค่าปรับแก่ผู้แจ้งความนำจับตามมาตรา ๑๓๗ วรรคสอง
ข้อ ๒ ผู้ใดดำเนินการหรือยินยอมย้ายบุคคลเข้ามาในทะเบียนบ้านของตน เพื่อประโยชน์ใน
การเลือกตั้งโดยมิชอบ กรณีใดกรณีหนึ่งตามมาตรา ๓๓ กล่าวคือ
(๑) ย้ายบุคคลตั้งแต่ ๑๐ คนขึ้นไปที่ไม่มีชื่อสกุลเดียวกับเจ้าบ้านเพื่อให้มีสิทธิเลือกตั้งที่จะมี
ขึ้นภายใน ๒ ปี นับแต่วันที่ย้ายเข้ามาในทะเบียนบ้าน
(๒) ย้ายเข้าทะเบียนบ้านโดยมิได้อยู่อาศัยจริง
(๓) ย้ายเข้าทะเบียนบ้านโดยมิได้รับความยินยอมจากเจ้าบ้าน
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน ๒ ปี หรือปรับไม่เกิน ๔๐,๐๐๐ บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ (มาตรา ๑๓๘)
การกระทำผิดที่มีโทษทางอาญา
สำนักกฎหมายและคดี สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง
วันที่ ๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๐
ข้อ ๓ ผู้ใดจัดยานพาหนะนำผู้มีสิทธิเลือกตั้งไปยังที่เลือกตั้งเพื่อการเลือกตั้งหรือนำกลับไป
จากที่เลือกตั้งโดยไม่ต้องเสียค่าโดยสารหรือค่าจ้างซึ่งต้องเสียตามปกติ หรือจัดให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้ง
ไปยังที่เลือกตั้ง หรือกลับจากที่เลือกตั้งเพื่อจูงใจหรือควบคุมให้ไปลงคะแนนให้แก่ผู้สมัครหรือพรรค
การเมืองใดตามมาตรา ๕๕ วรรคหนึ่ง
ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ ๑ - ๕ ปี หรือปรับตั้งแต่ ๒๐,๐๐๐ — ๑๐๐,๐๐๐ บาท หรือทั้งจำทั้ง
ปรับ และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งมีกำหนด ๕ ปี (มาตรา ๑๔๕)
** หมายเหตุ
๑. ให้หมายความรวมถึงการกระทำความผิดในกรณีที่มีการลงคะแนนเลือกตั้งก่อนวัน
เลือกตั้งและการลงคะแนนเลือกตั้งนอกเขตเลือกตั้งด้วยตามมาตรา ๕๕ วรรคสอง
๒. ยกเว้นกรณีหน่วยงานของรัฐเป็นผู้จัดเพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้มีสิทธิเลือกตั้ง
(มาตรา ๕๕ วรรคสาม)
ข้อ ๔ ผู้ใดทำการโฆษณาหาเสียงเลือกตั้งวิธีการใดๆ ไม่ว่าจะเป็นคุณหรือเป็นโทษแก่ผู้สมัคร
หรือพรรคการเมืองใด นับตั้งแต่เวลา ๑๘.๐๐ นาฬิกา ของวันก่อนวันเลือกตั้งหนึ่งวันจนสิ้นสุดวัน
เลือกตั้งตามมาตรา ๕๘
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน ๖ เดือน หรือปรับไม่เกิน ๑๐,๐๐๐ บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา ๑๔๗)
ข้อ ๕ ผู้สมัคร พรรคการเมือง หรือผู้ใดปิดประกาศหรือติดแผ่นป้ายเกี่ยวกับการเลือกตั้งใน
สาธารณสถานซึ่งเป็นของรัฐ นอกเหนือจากที่คณะกรรมการการเลือกตั้งกำหนดให้รัฐสนับสนุน
หรือในที่ของเอกชน หรือโฆษณาหาเสียงเลือกตั้งทางวิทยุกระจายเสียงหรือวิทยุโทรทัศน์
นอกเหนือจากที่คณะกรรมการการเลือกตั้งกำ หนดให้รัฐสนับสนุน หรือกระทำ กิจการอื่น
นอกเหนือจากที่คณะกรรมการการเลือกตั้งกำหนดให้รัฐสนับสนุนตามตามมาตรา ๖๐ วรรคหนึ่ง
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน ๖ เดือน หรือปรับไม่เกิน ๑๐,๐๐๐ บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา ๑๔๗)
ข้อ ๖ ผู้สมัคร พรรคการเมือง หรือผู้ใดปิดประกาศหรือติดแผ่นป้ายเกี่ยวกับการเลือกตั้งที่มี
ขนาดหรือจำนวนไม่เป็นไปตามที่คณะกรรมการการเลือกตั้งกำหนดตามมาตรา ๖๐ วรรคสอง
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน ๖ เดือน หรือปรับไม่เกิน ๑๐,๐๐๐ บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา ๑๔๗)
ข้อ ๗ ผู้ใดรู้อยู่แล้วว่าตนเป็นผู้ไม่มีสิทธิเลือกตั้งหรือไม่มีสิทธิลงคะแนนเลือกตั้งในหน่วย
เลือกตั้งนั้น พยายามลงคะแนนเลือกตั้งหรือลงคะแนนเลือกตั้ง โดยแสดงบัตรของผู้อื่นหรือบัตรที่
ปลอมแปลงขึ้นต่อกรรมการประจำหน่วยเพื่อลงคะแนนเลือกตั้งตามมาตรา ๗๐
ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ ๑ - ๑๐ ปี และปรับตั้งแต่ ๒๐,๐๐๐ - ๒๐๐,๐๐๐ บาท และให้ศาล
สั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งมีกำหนด ๑๐ ปี (มาตรา ๑๓๗)
สำนักกฎหมายและคดี สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง
วันที่ ๘ พฤศจิกายน
ข้อ ๘ ผู้ใดกระทำการโดยไม่มีอำนาจโดยชอบด้วยกฎหมาย เพื่อมิให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งสามารถ
ใช้สิทธิได้ หรือขัดขวางหรือหน่วยเหนี่ยวมิให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งไป ณ ที่เลือกตั้ง หรือเข้าไป ณ ที่ลงคะแนน
เลือกตั้ง หรือมิให้ไปถึง ณ ที่ดังกล่าวภายในกำหนดเวลาที่จะลงคะแนนเลือกตั้งได้ตามมาตรา ๗๖
ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ ๑ - ๕ ปี หรือปรับตั้งแต่ ๒๐,๐๐๐ - ๑๐๐,๐๐๐ บาท หรือทั้งจำทั้ง
ปรับ และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งมีกำหนด ๕ ปี (มาตรา ๑๕๒)
ข้อ ๙ ผู้ใดกระทำการใดให้บุคคลอื่นล่วงรู้ข้อมูลรายงานทางธุรกรรมทางการเงินของบุคคล
ที่น่าจะเกี่ยวข้องกับการเลือกตั้งที่คณะกรรมการการเลือกตั้งได้รับแจ้งจากสำนักงานป้องกันและ
ปราบปรามการฟอกเงินหรือสถาบันการเงิน โดยมิใช่เป็นการปฏิบัติการตามอำนาจหน้าที่หรือตาม
กฎหมายตามมาตรา ๑๑๒ (๒)
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน ๑ ปี หรือปรับไม่เกิน ๒๐,๐๐๐ บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ (มาตรา
๑๕๔ วรรคสอง)
ข้อ ๑๐ ผู้ใดกระทำการอันเป็นเท็จเพื่อให้ผู้อื่นเข้าใจผิดว่าผู้สมัครผู้ใดกระทำการฝ่าฝืน
หรือไม่ปฏิบัติตาม พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ตามมาตรา ๑๔๐ วรรคหนึ่ง
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน ๒ ปี หรือปรับ ไม่เกิน ๔๐,๐๐๐ บาท และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิ
เลือกตั้งมีกำหนด ๕ ปี (มาตรา ๑๔๐ วรรคหนึ่ง)
กรณีเพื่อแกล้งให้ผู้สมัครนั้นถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งหรือไม่ให้มีการประกาศผลการ
เลือกตั้ง ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ ๕ - ๑๐ ปี และปรับตั้งแต่ ๑๐๐,๐๐๐ - ๒๐๐,๐๐๐ บาท และให้
ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งมีกำหนด ๑๐ ปี (มาตรา ๑๔๐ วรรคสอง)
กรณีเป็นการแจ้งหรือให้ถ้อยคำต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง ต้องระวางโทษจำคุก
ตั้งแต่ ๗ - ๑๐ ปี และปรับตั้งแต่ ๑๔๐,๐๐๐ - ๒๐๐,๐๐๐ บาท และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งมี
กำหนด ๒๐ ปี (มาตรา ๑๔๐ วรรคสาม)
ข้อ ๑๑ ผู้ใดเปิดเผยหรือเผยแพร่ผลการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับการ
ลงคะแนนเลือกตั้งในระหว่างเวลา ๗ วันก่อนวันเลือกตั้งจนถึงเวลาปิดลงคะแนนเลือกตั้งตาม
มาตรา ๑๕๐
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน ๓ เดือน หรือปรับไม่เกิน ๖,๐๐๐ บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ (มาตรา ๑๕๐)
ข้อ ๑๒ ผู้ใดขาย จำหน่าย จ่ายแจก หรือจัดเลี้ยงสุราทุกชนิด ในเขตเลือกตั้งในระหว่าง
เวลา ๑๘.๐๐ นาฬิกา ของวันก่อนวันเลือกตั้งหนึ่งวันจนสิ้นสุดวันเลือกตั้งตามมาตรา ๑๕๕
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน ๖ เดือน หรือปรับไม่เกิน ๑๐,๐๐๐ บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ (มาตรา ๑๕๕)
** ให้ใช้บังคับกับวันลงคะแนนเลือกตั้งล่วงหน้าด้วยตามมาตรา ๑๕๕ วรรคสอง
ข้อ ๑๓ ผู้ใดเล่นหรือจัดให้เล่นการพนันขันต่อใดๆ เกี่ยวกับผลการเลือกตั้งตามมาตรา ๑๕๖
ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ ๑ - ๕ ปี หรือปรับตั้งแต่ ๒๐,๐๐๐ - ๑๐๐,๐๐๐ บาท หรือทั้งจำ
ทั้งปรับ และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งมีกำหนด ๕ ปี (มาตรา ๑๕๖)
สำนักกฎหมายและคดี สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง
วันที่ ๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๐
การกระทำที่เป็นความผิดเกี่ยวกับบัตรและหีบบัตรเลือกตั้ง
ข้อ ๑ ผู้ใดจงใจทำเครื่องหมายเพื่อเป็นที่สังเกตโดยวิธีใดไว้ที่บัตรเลือกตั้งตามมาตรา ๗๒
ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ ๑ - ๕ ปี หรือปรับตั้งแต่ ๒๐,๐๐๐ - ๑๐๐,๐๐๐ บาท หรือทั้งจำทั้ง
ปรับ และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งมีกำหนด ๕ ปี (มาตรา ๑๕๒)
ข้อ ๒ ผู้ใดนำบัตรเลือกตั้งใส่ในหีบบัตรเลือกตั้ง โดยไม่มีอำนาจโดยชอบด้วยกฎหมาย หรือ
กระทำการใดในบัญชีรายชื่อผู้มีสิทธิเลือกตั้งเพื่อแสดงว่ามีผู้มาแสดงตนเพื่อลงคะแนนเลือกตั้งโดยผิดไป
จากความจริง หรือกระทำการอันใดอันเป็นเหตุให้มีบัตรเลือกตั้งเพิ่มขึ้นจากความเป็นจริงตามมาตรา ๗๔
ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ ๑ - ๕ ปี หรือปรับตั้งแต่ ๒๐,๐๐๐ - ๑๐๐,๐๐๐ บาท หรือทั้งจำ
ทั้งปรับ และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งมีกำหนด ๕ ปี (มาตรา ๑๕๒)
ข้อ ๓ ผู้ใดนำบัตรเลือกตั้งที่ลงคะแนนเลือกตั้งแล้วแสดงต่อผู้อื่น เพื่อให้ผู้อื่นทราบว่าได้
ลงคะแนนหรือไม่ลงคะแนนให้ผู้ใด โดยไม่มีอำนาจโดยชอบด้วยกฎหมายตามมาตรา ๗๕
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน ๑ ปี หรือปรับไม่เกิน ๒๐,๐๐๐ บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ (มาตรา ๑๕๓)
ข้อ ๔ ผู้ใดเปิดทำลาย ทำให้เสียหาย ทำให้เปลี่ยนสภาพ หรือทำให้ไร้ประโยชน์ หรือนำไปซึ่ง
หีบบัตรเลือกตั้ง หรือบัตรเลือกตั้ง หรือเอกสารหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับการเลือกตั้งที่คณะกรรมการ
ประจำหน่วยเลือกตั้งได้จัดทำไว้ โดยไม่มีอำนาจโดยชอบด้วยกฎหมาย ในช่วงตั้งแต่เวลาที่ได้เปิด
และปิดหีบบัตรเลือกตั้งที่ตั้งไว้เพื่อการลงคะแนนเลือกตั้งหรือภายหลังที่ได้ปิดหีบบัตรเลือกตั้งนั้นเพื่อ
รักษาไว้เมื่อการเลือกตั้งได้เสร็จสิ้นแล้วตามมาตรา ๘๐
ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ ๑ - ๑๐ ปี และปรับตั้งแต่ ๒๐,๐๐๐ - ๒๐๐,๐๐๐ บาท และให้ศาล
สั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งมีกำหนด ๑๐ ปี (มาตรา ๑๕๑)
ข้อ ๕ ผู้ใดจงใจกระทำด้วยประการใดๆ ให้บัตรเลือกตั้งชำรุดหรือเสียหายหรือให้เป็นบัตร
เสียหรือกระทำการด้วยประการใดแก่บัตรเสียเพื่อให้เป็นบัตรใช้ได้ตามมาตรา ๑๔๘ วรรคหนึ่ง
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน ๑ ปี และปรับไม่เกิน ๒๐,๐๐๐ บาท และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิ
เลือกตั้งมีกำหนด ๕ ปี (มาตรา ๑๔๘ วรรคหนึ่ง)
**กรณีที่การกระทำผิดตามข้อ ๕ นั้น เจ้าพนักงานผู้ดำเนินการเลือกตั้งเป็นผู้กระทำผิดเอง
ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ ๑ — ๑๐ ปี และปรับตั้งแต่ ๒๐,๐๐๐ — ๒๐๐,๐๐๐ บาท และให้ศาลสั่งเพิก
ถอนสิทธิเลือกตั้งมีกำหนด ๑๐ ปี (มาตรา ๑๔๘ วรรสอง)
การกระทำที่เป็นความผิดเกี่ยวกับการฝ่าฝืนคำสั่งของคณะกรรมการการเลือกตั้ง
ข้อ ๑ ผู้ใดฝ่าฝืนคำสั่งที่คณะกรรมการการเลือกตั้งสั่งให้ผู้นั้นระงับการกระทำการใดๆ เพื่อ
ประโยชน์แก่ผู้สมัครหรือพรรคการเมืองใด อันอาจทำให้การเลือกตั้งมิได้เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยง
ธรรม หรือคำสั่งให้แก้ไขการกระทำการดังกล่าวตามเงื่อนไขและระยะเวลาที่กำหนดตามมาตรา ๑๐๖
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน ๑ ปี หรือปรับไม่เกิน ๒๐,๐๐๐ บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ (มาตรา ๑๕๔)
สำนักกฎหมายและคดี สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง
วันที่ ๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๐
ข้อ ๒ ผู้ใดฝ่าฝืนคำสั่งยึดหรืออายัดเงินหรือทรัพย์สิน ซึ่งคณะกรรมการการเลือกตั้งมีคำสั่ง
ในกรณีมีหลักฐานอันควรเชื่อว่าในระหว่างระยะเวลา ๙๐ วันก่อนวันครบอายุสภาจนถึงวันเลือกตั้ง
กรณีการเลือกตั้งทั่วไป หรือตั้งแต่วันที่มีประกาศพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งกรณีการเลือกตั้ง
เพราะเหตุอื่นนอกจากการครบวาระอายุสภามีผู้ใดให้ เสนอให้ หรือสัญญาว่าจะให้เงินหรือทรัพย์สิน
เพื่อประโยชน์ในการจูงใจให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งลงคะแนนหรืองดเว้นลงคะแนนเลือกตั้งให้แก่ผู้สมัคร
หรือพรรคการเมืองใด หรือจัดเตรียมเงินหรือทรัพย์สินเพื่อดำเนินการดังกล่าวตามมาตรา ๑๐๗
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน ๖ เดือน หรือปรับไม่เกิน ๑๐,๐๐๐ บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา ๑๔๗)
ข้อ ๓ ผู้ใดฝ่าฝืนหรือขัดขวางการเข้าไปในเคหสถาน สถานที่ หรือยานพาหนะใดๆ เพื่อตรวจ
ค้น ยึด หรืออายัดเอกสาร ทรัพย์สิน หรือพยานหลักฐานใดๆ ของคณะกรรมการการเลือกตั้งหรือผู้ซึ่ง
ได้รับมอบหมาย เพื่อประโยชน์ในการสืบสวนสอบสวนเพื่อหาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการเลือกตั้งและ
ป้องกันมิให้การเลือกตั้งมิได้เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรมตามมาตรา ๑๑๒ (๑)
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน ๑ ปี หรือปรับไม่เกิน ๒๐,๐๐๐ บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ (มาตรา ๑๕๔)
การกระทำที่เป็นความผิดเกี่ยวกับการเรียกรับผลประโยชน์
ข้อ ๑ ผู้ใดหรือพรรคการเมืองใดเรียกหรือรับทรัพย์สิน หรือผลประโยชน์อื่นใดเพื่อลงสมัคร
หรือไม่ลงสมัครอันก่อให้เกิดประโยชน์แก่ผู้สมัครอื่นหรือพรรคการเมืองอื่นในการเลือกตั้ง และทำให้
การเลือกตั้งมิได้เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรมตามมาตรา ๕๔ วรรคหนึ่ง
ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ ๑ - ๑๐ ปี หรือปรับ ตั้งแต่ ๒๐,๐๐๐ — ๒๐๐,๐๐๐ บาท หรือทั้งจำ
ทั้งปรับ และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งมีกำหนด ๑๐ ปี (มาตรา ๑๔๔ วรรคหนึ่ง)
ข้อ ๒ ผู้มีสิทธิเลือกตั้งผู้ใดเรียก รับ หรือยอมจะรับเงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดสำหรับ
ตนเองหรือผู้อื่น เพื่อลงคะแนนเลือกตั้งหรืองดเว้นไม่ลงคะแนนให้แก่ผู้สมัครหรือพรรคการเมืองใด
ตามมาตรา ๗๗
ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ ๑ - ๕ ปี หรือปรับตั้งแต่ ๒๐,๐๐๐ - ๑๐๐,๐๐๐ บาท หรือทั้งจำทั้ง
ปรับ และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งมีกำหนด ๕ ปี (มาตรา ๑๕๒)
** กรณีรับหรือยอมจะรับแต่ได้แจ้งเหตุต่อคณะกรรมการการเลือกตั้งหรือผู้ที่ได้รับมอบหมาย
ก่อนหรือในวันเลือกตั้ง หรือภายหลังวันเลือกตั้งไม่เกิน ๗ วัน ไม่ต้องรับโทษและไม่ต้องถูก
เพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง (มาตรา ๑๕๒ วรรคสอง)
การกระทำที่เป็นความผิดของกรรมการและเจ้าพนักงานผู้ดำเนินการเลือกตั้ง
ข้อ ๑ กรรมการเลือกตั้ง เลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง ผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำ
จังหวัด กรรมการการเลือกตั้งประจำจังหวัด ผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำเขตเลือกตั้ง ผู้อำนวยการ
ประจำหน่วยเลือกตั้ง กรรมการประจำหน่วยเลือกตั้ง เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย หรือผู้ที่ได้รับ
สำนักกฎหมายและคดี สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง
วันที่ ๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๐
แต่งตั้งให้ช่วยเหลือการปฏิบัติงานในการเลือกตั้ง ผู้ใดจงใจไม่ปฏิบัติตามหน้าที่ ทุจริตต่อหน้าที่ หรือ
กระทำการอื่นใด เพื่อขัดขวางมิให้เป็นไปตามกฎหมาย ประกาศ ระเบียบ หรือคำสั่งของคณะกรรมการ
การเลือกตั้ง หรือคำสั่งของศาลอันเกี่ยวกับการเลือกตั้งตามมาตรา ๒๐ วรรคหนึ่ง
ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ ๑ - ๑๐ ปี และปรับตั้งแต่ ๒๐,๐๐๐ - ๒๐๐,๐๐๐ บาท และให้ศาล
สั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งมีกำหนด ๑๐ ปี (มาตรา ๑๓๗)
ข้อ ๒ เจ้าพนักงานผู้ดำเนินการเลือกตั้งจงใจกระทำด้วยประการใดๆ ให้บัตรเลือกตั้งชำรุด
หรือเสียหายหรือให้เป็นบัตรเสีย หรือกระทำการด้วยประการใดแก่บัตรเสียเพื่อให้เป็นบัตรใช้ได้
ตามมาตรา ๑๔๘ วรรคหนึ่ง
ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ ๑ - ๑๐ ปี และปรับตั้งแต่ ๒๐,๐๐๐ — ๒๐๐,๐๐๐ บาท และให้ศาล
สั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งมีกำหนด ๑๐ ปี (มาตรา ๑๔๘ วรรคสอง)
ข้อ ๓ เจ้าหน้าที่ของรัฐใช้ตำแหน่งหน้าที่โดยมิชอบด้วยกฎหมาย กระทำการใดๆ เพื่อเป็น
คุณหรือเป็นโทษแก่ผู้สมัครหรือพรรคการเมืองตามมาตรา ๕๗ วรรคหนึ่ง
ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ ๑ - ๑๐ ปี และปรับตั้งแต่ ๒๐,๐๐๐ - ๒๐๐,๐๐๐ บาท และให้ศาล
สั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งมีกำหนด ๑๐ ปี (มาตรา ๑๓๗)
** ตามมาตรา ๕๗ วรรคสอง กำหนดบทยกเว้นไว้ว่า การใช้ตำแหน่งหน้าที่โดยมิชอบด้วย
กฎหมาย มิให้หมายความรวมถึง
- การปฏิบัติหน้าที่ตามปกติที่พึงต้องปฏิบัติในตำแหน่งเจ้าหน้าที่ของรัฐนั้น
- การแนะนำหรือช่วยเหลือในการดำเนินการที่เกี่ยวข้องกับการเลือกตั้งของผู้สมัครหรือ
พรรคการเมือง โดยมิได้เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติหน้าที่ แม้ว่าการกระทำจะเป็นคุณหรือเป็นโทษแก่
ผู้สมัครหรือพรรคการเมืองใด
ข้อ ๔ กรรมการประจำหน่วยเลือกตั้งจงใจนับบัตรเลือกตั้งหรือคะแนนเลือกตั้งให้ผิดไป
จากความจริง หรือรวมคะแนนเลือกตั้งให้ผิดไปจากความจริง หรือกระทำการด้วยประการใดโดย
มิได้มีอำนาจกระทำโดยชอบด้วยกฎหมาย ให้บัตรเลือกตั้งชำรุดหรือเสียหายหรือให้เป็นบัตรเสียหรือ
กระทำการด้วยประการใดแก่บัตรเสียเพื่อให้เป็นบัตรที่ใช้ได้หรืออ่านบัตรเลือกตั้งให้ผิดไปจากความ
จริงหรือทำรายงานการเลือกตั้งไม่ตรงความเป็นจริงตามมาตรา ๘๓
ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ ๑ - ๑๐ ปี และปรับตั้งแต่ ๒๐,๐๐๐ - ๒๐๐,๐๐๐ บาท และให้ศาล
สั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งมีกำหนด ๑๐ ปี (มาตรา ๑๓๗)
ข้อ ๕ กรรมการประจำหน่วยเลือกตั้งเปิดเผยให้แก่ผู้ใดทราบว่าผู้มีสิทธิเลือกตั้งผู้ใดมา
ลงคะแนนหรือยังไม่มาลงคะแนนเพื่อเป็นคุณเป็นโทษแก่ผู้สมัครหรือพรรคการเมืองใด ในระหว่าง
เวลาการเปิดจนถึงเวลาปิดการลงคะแนนเลือกตั้งตามมาตรา ๑๔๙
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน ๑ ปี หรือปรับไม่เกิน ๒๐,๐๐๐ บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ (มาตรา ๑๔๙)
สำนักกฎหมายและคดี สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง
วันที่ ๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๐
การกระทำที่เป็นความผิดกรณีอื่นของพรรคการเมือง
ข้อ ๑ พรรคการเมืองใดฝ่าฝืนใช้จ่ายในการเลือกตั้งเกินจำนวนเงินค่าใช้จ่ายที่คณะกรรมการ
การเลือกตั้งกำหนดตาม มาตรา ๕๐ วรรคสาม
** ค่าใช้จ่ายในการเลือกตั้งให้รวมถึงเงินหรือทรัพย์สินของบุคคลใดๆ ที่จ่ายหรือรับว่าจะจ่าย
หรือนำมาให้ใช้โดยไม่คิดค่าตอบแทนเพื่อประโยชน์ในการหาเสียงเลือกตั้ง โดยความยินยอมของ
พรรคการเมืองนั้นด้วยในกรณีนำทรัพย์สินมาให้ใช้ ให้คำนวณตามอัตราค่าเช่าหรือค่าตอบแทน
ตามปกติในท้องที่นั้นๆตามมาตรา ๕๐ วรรคสาม
ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ ๑ — ๕ ปี หรือปรับตั้งแต่ ๒๐,๐๐๐ — ๑๐๐,๐๐๐ บาท หรือปรับ
เป็นจำนวน ๓ เท่าของจำนวนเงินที่เกินจำนวนที่คณะกรรมการการเลือกตั้งประกาศกำหนด แล้วแต่ว่า
จำนวนใดจะมากกว่ากัน หรือทั้งจำทั้งปรับ และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งมีกำหนด ๕ ปี (มาตรา ๑๔๑)
ข้อ ๒ พรรคการเมืองใดที่ส่งผู้สมัครแบบสัดส่วนฝ่าฝืนไม่ยื่นบัญชีรายรับรายจ่ายที่สมุห์บัญชี
เลือกตั้งจัดทำขึ้น โดยหัวหน้าพรรคได้รับรองความถูกต้องบัญชีรายรับและรายจ่ายอย่างน้อยต้องประกอบด้วย
ค่าใช้จ่ายทั้งหมดที่ได้จ่ายไปแล้วและที่ยังค้างชำระ รวมทั้งหลักฐานที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วนตาม
ความเป็นจริงต่อคณะกรรมการการเลือกตั้งภายในกำหนด ๙๐ วันหลังจากวันเลือกตั้งตามมาตรา ๕๒
หัวหน้าพรรคต้องระวางโทษไม่เกิน ๒ ปี หรือปรับไม่เกิน ๔๐,๐๐๐ บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และ
ให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งมีกำหนด ๕ ปี (มาตรา ๑๔๓ วรรคหนึ่ง)
กรณียื่นเป็นเท็จต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ ๑ - ๕ ปี และปรับตั้งแต่ ๒๐,๐๐๐ — ๑๐๐,๐๐๐ บาท
และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งมีกำหนด ๕ ปี (มาตรา ๑๔๓ วรรคสอง)
ข้อ ๓ พรรคการเมืองใดส่งผู้สมัครเพื่อประโยชน์ของผู้อื่นหรือพรรคการเมืองอื่นในการ
หลีกเลี่ยงหลักเกณฑ์การได้รับคะแนนเลือกตั้งไม่น้อยกว่าร้อยละยี่สิบของจำนวนผู้มีสิทธิในเขต
เลือกตั้งนั้นและมากกว่าจำนวนบัตรที่ไม่ประสงค์จะลงคะแนนตามมาตรา ๕๔ วรรคสอง
หัวหน้าพรรคและกรรมการบริหารพรรค ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ ๑ - ๑๐ ปี หรือปรับ
ตั้งแต่ ๒๐,๐๐๐ — ๒๐๐,๐๐๐ บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งมีกำหนด ๑๐ ปี
และให้ถือเป็นเหตุที่จะยุบพรรคตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง
พ.ศ. ๒๕๕๐ (มาตรา ๑๔๔ วรรคสอง)
ข้อ ๔ หัวหน้าพรรคหรือกรรมการบริหารพรรคผู้ใดกระทำหรือก่อให้ผู้อื่นกระทำ สนับสนุน
หรือรู้เห็นเป็นใจให้ผู้ใดกระทำการอันเป็นเท็จเพื่อให้ผู้อื่นเข้าใจผิดว่าผู้สมัครผู้ใดกระทำการฝ่าฝืนหรือ
ไม่ปฏิบัติตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ เพื่อแกล้งให้ผู้สมัครนั้นถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง
หรือไม่ให้มีการประกาศผลการเลือกตั้ง หรือกระทำการดังกล่าวเป็นการแจ้งหรือให้ถ้อยคำต่อ
คณะกรรมการการเลือกตั้งตามมาตรา ๑๔๐ วรรคสอง และวรรคสาม
ให้ถือว่าพรรคการเมืองนั้นกระทำการอันเป็นภัยต่อความมั่นคงของรัฐตามพระราชบัญญัติ
ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมืองตามมาตรา ๑๐๔ วรรคสี่
สำนักกฎหมายและคดี สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง
วันที่ ๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๐
**อาจถูกศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบพรรคการเมืองตามมาตรา ๙๔ (๔) แห่งพระราชบัญญัติ
ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. ๒๕๕๐
การกระทำที่เป็นความผิดกรณีอื่นของผู้สมัคร
ข้อ ๑ ผู้สมัครผู้ใดฝ่าฝืนใช้จ่ายในการเลือกตั้งเกินจำนวนเงินค่าใช้จ่ายที่คณะกรรมการการ
เลือกตั้งกำหนดตาม มาตรา ๕๐ วรรคสาม
** ค่าใช้จ่ายในการเลือกตั้งให้รวมถึงเงินหรือทรัพย์สินของบุคคลใดๆ ที่จ่ายหรือรับว่าจะจ่าย
หรือนำมาให้ใช้โดยไม่คิดค่าตอบแทนเพื่อประโยชน์ในการหาเสียงเลือกตั้ง โดยความยินยอมของ
พรรคการเมืองนั้นด้วยในกรณีนำทรัพย์สินมาให้ใช้ ให้คำนวณตามอัตราค่าเช่าหรือค่าตอบแทน
ตามปกติในท้องที่นั้นๆตามมาตรา ๕๐ วรรคสาม
ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ ๑ — ๕ ปี หรือปรับตั้งแต่ ๒๐,๐๐๐ — ๑๐๐,๐๐๐ บาท หรือปรับ
เป็นจำนวน ๓ เท่าของจำนวนเงินที่เกินจำนวนที่คณะกรรมการการเลือกตั้งประกาศกำหนด แล้วแต่ว่า
จำนวนใดจะมากกว่ากัน หรือทั้งจำทั้งปรับ และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งมีกำหนด ๕ ปี (มาตรา ๑๔๑)
ข้อ ๒ ผู้สมัครผู้ใดฝ่าฝืนไม่ยื่นบัญชีรายรับรายจ่ายที่สมุห์บัญชีจัดทำขึ้น โดยผู้สมัครได้รับรอง
ความถูกต้องบัญชีรายรับและรายจ่ายซึ่งอย่างน้อยต้องประกอบด้วยค่าใช้จ่ายทั้งหมดที่ได้จ่ายไปแล้ว
และที่ยังค้างชำ ระ รวมทั้งหลักฐานที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วนตามความเป็นจริงต่อ
คณะกรรมการการเลือกตั้งภายในกำหนด ๙๐ วันหลังจากวันเลือกตั้งตามมาตรา ๕๒
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน ๒ ปี หรือปรับไม่เกิน ๔๐,๐๐๐ บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และให้ศาล
สั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งมีกำหนด ๕ ปี (มาตรา ๑๔๓ วรรคหนึ่ง)
กรณียื่นเป็นเท็จต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ ๑ - ๕ ปี และปรับตั้งแต่ ๒๐,๐๐๐ — ๑๐๐,๐๐๐
บาท และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งมีกำหนด ๕ ปี (มาตรา ๑๔๓ วรรคสอง)
ข้อ ๓ ผู้ใดลงสมัครรับเลือกตั้งเพื่อประโยชน์ของผู้อื่นหรือพรรคการเมืองอื่นในการหลีกเลี่ยง
หลักเกณฑ์การได้รับคะแนนเลือกตั้งไม่น้อยกว่าร้อยละยี่สิบของจำนวนผู้มีสิทธิในเขตเลือกตั้งนั้น
และมากกว่าจำนวนบัตรที่ไม่ประสงค์จะลงคะแนนตามมาตรา ๕๔ วรรคสอง
ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ ๑ - ๑๐ ปี หรือปรับ ตั้งแต่ ๒๐,๐๐๐ — ๒๐๐,๐๐๐ บาท หรือทั้งจำ
ทั้งปรับ และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งมีกำหนด ๑๐ ปี (มาตรา ๑๔๔ วรรคหนึ่ง)
ข้อ ๔ ผู้ใดสมัครรับเลือกตั้งโดยรู้อยู่แล้วว่าตนไม่มีสิทธิสมัครหรือเป็นผู้มีลักษณะต้องห้าม
ตามมาตรา ๓๔ หรือสมัครในนามของพรรคการเมืองเกินหนึ่งพรรค สมัครทั้งแบบแบ่งเขตและแบบ
สัดส่วน สมัครรับเลือกตั้งเกินหนึ่งเขตเลือกตั้งตามมาตรา ๓๕ หรือได้สมัครรับเลือกตั้งในเขตเลือกตั้ง
ใดเมื่อผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำเขตได้ออกใบรับให้แล้ว ยังยื่นใบสมัครในเขตเลือกตั้งนั้นหรือเขต
เลือกตั้งอื่นอีกตามมาตรา ๓๘ วรรคสาม
ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ ๑ - ๑๐ ปี และปรับตั้งแต่ ๒๐,๐๐๐ — ๒๐๐,๐๐๐ บาท และให้ศาล
สั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งมีกำหนด ๑๐ ปี (มาตรา ๑๓๙)
สำนักกฎหมายและคดี สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง
วันที่ ๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๐
การกระทำที่เป็นความผิดของผู้มีสิทธิเลือกตั้ง
ข้อ ๑ ผู้ใดรู้อยู่แล้วว่าตนเป็นผู้ไม่มีสิทธิเลือกตั้งหรือไม่มีสิทธิลงคะแนนเลือกตั้งในหน่วย
เลือกตั้งนั้น พยายามลงคะแนนเลือกตั้งหรือลงคะแนนเลือกตั้ง โดยแสดงบัตรของผู้อื่นหรือบัตรที่
ปลอมแปลงขึ้นต่อกรรมการประจำหน่วยเพื่อลงคะแนนเลือกตั้งตามมาตรา ๗๐
ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ ๑ - ๑๐ ปี และปรับตั้งแต่ ๒๐,๐๐๐ - ๒๐๐,๐๐๐ บาท และให้ศาล
สั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งมีกำหนด ๑๐ ปี (มาตรา ๑๓๗)
ข้อ ๒ ผู้มีสิทธิเลือกตั้งผู้ใดใช้บัตรอื่นที่มิใช่บัตรเลือกตั้งตามมาตรา ๖๑ ลงคะแนนเลือกตั้ง
หรือใช้บัตรที่มิใช่บัตรเลือกตั้งที่ตนได้รับมาจากการแสดงตนต่อกรรมการประจำหน่วยเลือกตั้งตาม
มาตรา ๗๑ วรรคหนึ่ง
ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ ๑ - ๑๐ ปี และปรับตั้งแต่ ๒๐,๐๐๐ - ๒๐๐,๐๐๐ บาท และให้ศาล
สั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งมีกำหนด ๑๐ ปี (มาตรา ๑๕๑)
ข้อ ๓ ผู้มีสิทธิเลือกตั้งผู้ใดนำบัตรเลือกตั้งออกไปจากที่เลือกตั้งตามมาตรา ๗๑ วรรคสอง
ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ ๑ - ๕ ปี หรือปรับตั้งแต่ ๒๐,๐๐๐ - ๑๐๐,๐๐๐ บาท หรือทั้งจำ
ทั้งปรับ และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งมีกำหนด ๕ ปี (มาตรา ๑๕๒)
ข้อ ๔ ผู้มีสิทธิเลือกตั้งผู้ใดใช้เครื่องมือหรืออุปกรณ์ใดถ่ายภาพบัตรเลือกตั้งที่ตนได้ลงคะแนน
แล้วตามมาตรา ๗๓
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน ๑ ปี หรือปรับไม่เกิน ๒๐,๐๐๐ บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ (มาตรา ๑๕๓)
การกระทำที่เป็นความผิดของผู้บังคับบัญชาหรือนายจ้าง
ข้อ ๑ ผู้บังคับบัญชาหรือนายจ้างผู้ใดขัดขวาง หรือหน่วยเหนี่ยว หรือไม่ให้ความสะดวก
พอสมควรต่อการไปใช้สิทธิเลือกตั้งของผู้ใต้บังคับบัญชาหรือลูกจ้างตามมาตรา ๑๓๖
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน ๒ ปี หรือปรับไม่เกิน ๔๐,๐๐๐ บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา ๑๓๖)
การกระทำที่เป็นความผิดของผู้ไม่มีสัญชาติไทย
ข้อ ๑ ผู้ใดซึ่งมิได้มีสัญชาติไทยเข้ามีส่วนช่วยเหลือในการหาเสียงเลือกตั้งหรือกระทำการใดๆ
เพื่อประโยชน์แห่งการเลือกตั้งโดยประการใดที่เป็นคุณหรือเป็นโทษแก่ผู้สมัครหรือพรรคการเมืองใด
เว้นแต่เป็นการช่วยราชการหรือการประกอบอาชีพตามปกติโดยสุจริตของผู้นั้นตามมาตรา ๕๖
ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ ๑ - ๑๐ ปี และปรับตั้งแต่ ๒๐,๐๐๐ - ๒๐๐,๐๐๐ บาท (มาตรา ๑๔๖)
สำนักกฎหมายและคดี สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง
วันที่ ๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๐
การกระทำที่เป็นความผิดของสมุห์บัญชีเลือกตั้ง
ข้อ ๑ สมุห์บัญชีเลือกตั้งผู้ใดจัดทำบัญชีค่าใช้จ่ายในการหาเสียงเลือกตั้งไม่เป็นไปตาม
หลักเกณฑ์และวิธีการที่คณะกรรมการการเลือกตั้งกำหนดตามมาตรา ๕๑ วรรคสอง
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน ๑ ปี และปรับไม่เกิน ๒๐,๐๐๐ บาท และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิ
เลือกตั้งมีกำหนด ๕ ปี และห้ามเป็นสมุห์บัญชีเลือกตั้งเป็นเวลา ๕ ปี (มาตรา ๑๔๒)
กรณีสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินและสถาบันการเงินฝ่าฝืนคำขอของ
คณะกรรมการการเลือกตั้ง
ข้อ ๑ ผู้ใดฝ่าฝืนตามที่คณะกรรมการการเลือกตั้งใช้อำนาจขอให้แจ้งรายงานการทำธุรกรรม
ของบุคคลที่น่าจะเกี่ยวข้องกับการเลือกตั้งที่คณะกรรมการการเลือกตั้งแจ้งให้ทราบหรือให้ธนาคารแห่ง
ประเทศไทยหรือธนาคารพาณิชย์ตามกฎหมายว่าด้วยธนาคารพาณิชย์หรือสถาบันการเงินอื่นแจ้งให้
ทราบถึงการโอนเงินตามที่คณะกรรมการการเลือกตั้งร้องขอตามมาตรา ๑๑๒ (๒)
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน ๑ ปี หรือปรับไม่เกิน ๒๐,๐๐๐ บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ (มาตรา ๑๕๔)
การเป็นผู้เสียหายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
๑. คณะกรรมการการเลือกตั้งเป็นผู้เสียหายตามมาตรา ๑๐๓ วรรคห้า ประกอบกับมาตรา ๒๑
วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง พ.ศ. ๒๕๕๐
๒. ผู้สมัครหรือพรรคการเมืองที่ลงสมัครในเขตเลือกตั้งนั้นเป็นผู้เสียหายตามมาตรา ๑๕๙
ผู้ต้องรับผิดชดใช้ค่าใช้จ่ายในการเลือกตั้งใหม่
ข้อ ๑ กรณีที่คณะกรรมการการเลือกตั้งหรือศาลฎีกามีคำสั่งให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งผู้สมัคร
หรือสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรผู้ใด และเป็นเหตุให้ต้องมีการเลือกตั้งใหม่ ผู้ถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง
ต้องรับผิดชดใช้ค่าใช้จ่ายสำหรับการเลือกตั้งใหม่นั้นตามมาตรา ๑๑๓
ข้อ ๒ ในกรณีที่ศาลมีคำพิพากษาลงโทษผู้ใดฐานกระทำผิดตามพระราชบัญญัติประกอบ
รัฐธรรมนูญนี้ และผู้นั้นเป็นผู้ทำให้การเลือกตั้งมิได้เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม หรือเป็นผู้กระทำการ
อันเป็นเท็จ เพื่อจะแกล้งให้ผู้สมัครถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง หรือเพื่อไม่ให้มีการประกาศผลเลือกตั้งตาม
มาตรา ๑๔๐ วรรคสอง อันเป็นเหตุให้ต้องมีการเลือกตั้งใหม่ในหน่วยเลือกตั้งหรือเขตเลือกตั้งใด ให้ศาลมี
คำพิพากษาว่าผู้นั้นต้องรับผิดชดใช้ค่าใช้จ่ายสำหรับการเลือกตั้งใหม่นั้นด้วยตามมาตรา ๑๕๘ วรรคหนึ่ง
กรณีมีผู้รับผิดชดใช้ค่าใช้จ่ายในการเลือกตั้งใหม่หลายคน ให้ทุกคนรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมตาม
มาตรา ๑๕๘ วรรคสอง
การกระทำผิดที่มีโทษทางแพ่งต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายในการเลือกตั้งใหม่
สำนักกฎหมายและคดี สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง
วันที่ ๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๐
อำนาจในการเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของคณะกรรมการการเลือกตั้ง
กรณีก่อนประกาศผลเลือกตั้ง ปรากฏหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่าผู้สมัครผู้ใดกระทำการอันเป็น
การฝ่าฝืนพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ หรือระเบียบหรือประกาศของคณะกรรมการการ
เลือกตั้ง หรือมีพฤติการณ์ที่เชื่อได้ว่าเป็นผู้ก่อให้ผู้อื่นกระทำ สนับสนุน หรือรู้เห็นเป็นใจให้บุคคลอื่น
กระทำการดังกล่าว หรือรู้แล้วไม่ดำเนินการระงับ และคณะกรรมการการเลือกตั้งเห็นว่าการกระทำนั้น
น่าจะมีผลให้การเลือกตั้งมิได้เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม ให้สั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งผู้สมัครที่
กระทำการเช่นนั้นทุกรายเป็นเวลา ๑ ปี มีผลนับตั้งแต่วันที่คณะกรรมการการเลือกตั้งมีคำสั่งตาม
มาตรา ๑๐๓ วรรคหนึ่ง
อำนาจในการเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของศาลรัฐธรรมนูญ
กรณีก่อนประกาศผลเลือกตั้ง ปรากฏหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่าหัวหน้าพรรคหรือ
กรรมการบริหารพรรคผู้ใดมีส่วนรู้เห็น หรือปล่อยปละละเลย หรือทราบถึงการกระทำนั้นแล้วมิได้ยับยั้ง
หรือแก้ไขเพื่อให้การเลือกตั้งเป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม ให้ถือว่าพรรคการเมืองนั้นกระทำการ
เพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีที่บัญญัติไว้ใน
รัฐธรรมนูญ ให้คณะกรรมการการเลือกตั้งดำเนินการตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วย
พรรคการเมือง พ.ศ. ๒๕๕๐ เพื่อเสนอคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อให้ยุบพรรคการเมืองนั้น ในกรณีที่
ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้ยุบพรรคการเมืองนั้น ให้ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง
ของหัวหน้าพรรคและกรรมการบริหารพรรคนั้นมีกำหนด ๕ ปี ตามมาตรา ๑๐๓ วรรคสอง
ประกอบมาตรา ๙๘ แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. ๒๕๕๐
อำนาจในการเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของศาลฎีกา
เมื่อประกาศผลการเลือกตั้งไปแล้ว ในกรณีที่ปรากฏจากการไต่สวนของศาลฎีกาว่ามีเหตุอัน
ควรเชื่อได้ว่า กรณีการเลือกตั้งนั้นมิได้เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรมตามคำร้องของคณะกรรมการ
การเลือกตั้ง ให้ศาลฎีกาสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือผู้สมัครนั้นมี
กำหนด ๕ ปี ตามมาตรา ๑๑๑
๑. ในระยะเวลาตั้งแต่ ๙๐ วันก่อนวันครบอายุของสภาจนถึงวันเลือกตั้ง กรณีการเลือกตั้งทั่วไป
หรือตั้งแต่วันที่ได้มีประกาศพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งจนถึงวันเลือกตั้ง กรณีการเลือกตั้ง
นอกจากการครบอายุของสภา ในกรณีที่มีหลักฐานอันควรเชื่อว่าผู้ใดให้ เสนอให้ หรือสัญญาว่าจะให้
เงินหรือทรัพย์สินเพื่อประโยชน์ในการจูงใจให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งลงคะแนนเลือกตั้งให้แก่ผู้สมัครหรือ
การเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง
การสั่งยึดหรืออายัดเงินหรือทรัพย์สินในการเลือกตั้ง
สำนักกฎหมายและคดี สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง
วันที่ ๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๐
พรรคการเมืองใด หรือให้งดเว้นลงคะแนนเลือกตั้งผู้สมัครหรือพรรคการเมืองใด หรือจัดเตรียมเงิน
หรือทรัพย์สินเพื่อดำเนินการดังกล่าว คณะกรรมการการเลือกตั้งมีอำนาจสั่งยึดหรืออายัดเงินหรือ
ทรัพย์สินของผู้นั้นไว้เป็นการชั่วคราวจนกว่าศาลจะมีคำสั่งตามมาตรา ๑๐๗ วรรคหนึ่ง
กรณีฝ่าฝืนคำสั่ง ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน ๖ เดือน หรือปรับไม่เกิน ๑๐,๐๐๐ บาท หรือทั้งจำ
ทั้งปรับ (มาตรา ๑๔๗)
๒. ให้คณะกรรมการการเลือกตั้งยื่นคำร้องต่อศาลจังหวัดหรือศาลแพ่งที่การยึดหรืออายัดอยู่ใน
เขตศาลภายใน ๓ วัน นับแต่วันที่คณะกรรมการการเลือกตั้งมีคำสั่งยึดหรืออายัด เมื่อศาลได้รับคำ
ร้องแล้วให้ดำเนินการไต่สวนฝ่ายเดียวให้แล้วเสร็จภายใน ๕ วันนับแต่วันที่ได้รับคำร้อง ถ้าศาล
เห็นว่าเงินหรือทรัพย์สินตามคำร้องน่าจะได้ใช้หรือจะใช้เพื่อการเลือกตั้งโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย
ให้ศาลมีคำสั่งยึดหรืออายัดเงินหรือทรัพย์สินนั้นไว้จนกว่าจะมีการประกาศผลการเลือกตั้ง (มาตรา ๑๐๗
วรรคสอง)
ภายหลังการประกาศผลเลือกตั้งแล้ว ในกรณีที่ศาลฎีกาได้รับคำร้องของคณะกรรมการการเลือกตั้ง
กรณีปรากฏหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่าการเลือกตั้งในเขตเลือกตั้งใดมิได้เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม
ให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรผู้นั้น หยุดการปฏิบัติหน้าที่จนกว่าศาลฎีกาจะมีคำสั่งยกคำร้อง ตาม
มาตรา ๑๑๑
ในกรณีที่ปรากฏว่ามีการกระทำผิดตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ เกิดขึ้นในเขต
เลือกตั้งใด ให้ถือว่าผู้สมัครหรือพรรคการเมือง ซึ่งส่งสมาชิกของตนลงสมัครรับเลือกตั้งนั้น เป็น
ผู้เสียหายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ตามมาตรา ๑๕๙
---------------------------------------
การหยุดการปฏิบัติหน้าที่ของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
การเป็นผู้เสียหายของผู้สมัครหรือพรรคการเมือง
สำนักกฎหมายและคดี สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง
วันที่ ๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๐
สรุปการกระทำที่บัญญัติเป็นความผิดและกำหนดโทษตาม
พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. ๒๕๕๐
------------------------------------
ความผิดเกี่ยวกับการกระทำการอันเป็นเท็จเพื่อกลั่นแกล้งผู้อื่น
กรณีพรรคการเมืองเป็นผู้กระทำผิด
ข้อ ๑ พรรคการเมืองใดสมคบ รู้เห็นเป็นใจ หรือสนับสนุนให้บุคคลใดดำเนินการใด
เพื่อให้บุคคลอื่นหรือคณะกรรมการการเลือกตั้ง หลงเชื่อหรือเข้าใจว่าพรรคการเมืองอื่นหรือบุคคลใด
กระทำความผิดตามพระราชบัญญัติฉบับนี้โดยปราศจากมูลความจริงตามมาตรา ๑๐๔ วรรคหนึ่ง
ต้องระวางโทษเป็นสองเท่าของโทษที่กำหนดไว้สำหรับความผิดดังกล่าว และให้ยุบ
พรรคการเมืองนั้น (มาตรา ๑๐๔ วรรคหนึ่ง และวรรคสาม)
ข้อ ๒ พรรคการเมืองใดสมคบ รู้เห็นเป็นใจ หรือสนับสนุนให้บุคคลใดดำเนินการใด เพื่อ
กลั่นแกล้งพรรคการเมือง กรรมการบริหารพรรค กรรมการสาขาพรรค หรือผู้ดำรงตำแหน่งในพรรค
การเมืองโดยปราศจากมูลความจริงตามมาตรา ๑๐๔ วรรคสอง
ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ ๒ — ๑๐ ปี หรือปรับตั้งแต่ ๔๐,๐๐๐ — ๒๐๐,๐๐๐ บาท หรือ
ทั้งจำทั้งปรับ และให้ยุบพรรคนั้นการเมืองนั้น (มาตรา ๑๐๔ วรรคสอง และวรรคสาม)
กรณีบุคคลเป็นผู้กระทำผิด
ข้อ ๑ ผู้ใดสมคบ รู้เห็นเป็นใจ หรือสนับสนุนให้บุคคลใดดำเนินการใด เพื่อให้บุคคลอื่น
หรือคณะกรรมการการเลือกตั้ง หลงเชื่อหรือเข้าใจว่าพรรคการเมืองอื่นหรือบุคคลใดกระทำความผิด
ตามพระราชบัญญัติฉบับนี้โดยปราศจากมูลความจริงตามมาตรา ๑๐๔ วรรคหนึ่ง
ต้องระวางโทษเป็นสองเท่าของโทษที่กำหนดไว้สำหรับความผิดดังกล่าว และให้ศาลสั่ง
เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งมีกำหนด ๕ ปี (มาตรา ๑๐๔ วรรคหนึ่ง และวรรคสาม)
ข้อ ๒ ผู้ใดสมคบ รู้เห็นเป็นใจ หรือสนับสนุนให้บุคคลใดดำเนินการใด เพื่อกลั่นแกล้ง
พรรคการเมือง กรรมการบริหารพรรค กรรมการสาขาพรรค หรือผู้ดำรงตำแหน่งในพรรคการเมือง
โดยปราศจากมูลความจริงตามมาตรา ๑๐๔ วรรคสอง
ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ ๒ — ๑๐ ปี หรือปรับตั้งแต่ ๔๐,๐๐๐ — ๒๐๐,๐๐๐ บาท หรือ
ทั้งจำทั้งปรับ และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งมีกำหนด ๕ ปี (มาตรา ๑๐๔ วรรคสอง)
การกระทำผิดที่มีโทษทางอาญา
สำนักกฎหมายและคดี สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง
วันที่ ๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๐
ความผิดเกี่ยวกับในการเลือกตั้ง
ความผิดรับผิดของคณะกรรมการบริหารพรรคการเมือง
เมื่อมีประกาศพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร คณะกรรมการ
บริหารพรรคการเมืองฝ่าฝืนไม่ควบคุมไม่ให้ผู้ซึ่งพรรคการเมืองส่งเข้าสมัครรับเลือกตั้ง กระทำการอย่าง
หนึ่งอย่างใดอันเป็นการฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญ พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง
สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา ระเบียบ หรือประกาศของคณะกรรมการการ
เลือกตั้ง ซึ่งอาจ ทำให้การเลือกตั้งมิได้เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรมตามมาตรา ๑๘ วรรคสอง
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน ๖ เดือน หรือปรับไม่เกิน ๑๐,๐๐๐ บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา ๑๐๕)
** แต่หากได้แสดงหลักฐานว่ามีการดำเนินการใดๆ เพื่อยับยั้งมิให้มีการกระทำดังกล่าว
โดยสมควรแล้ว ให้ผู้นั้นพ้นความรับผิด แม้ว่าจะยังคงมีการกระทำความผิดโดยฝ่าฝืนการยับยั้งนั้น
ก็ตาม (มาตรา ๑๐๕ วรรคสอง)
การควบคุมค่าใช้จ่ายในการเลือกตั้ง
ข้อ ๑ หัวหน้าพรรค กรรมการบริหารพรรคผู้ใด ประธานสาขาพรรค หรือกรรมการสาขา
พรรคผู้ใด มีส่วนรู้เห็น ปล่อยปละละเลย หรือทราบว่ามีการใช้จ่ายเกินวงเงินตามที่บัญญัติไว้ใน
พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่ง
สมาชิกวุฒิสภา แต่มิได้ยับยั้งเพื่อมิให้มีการกระทำดังกล่าวตามมาตรา ๕๑ วรรคสอง และวรรคสาม
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน ๖ เดือน หรือปรับไม่เกิน ๑๐,๐๐๐ บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา ๑๐๕)
** แต่หากได้แสดงหลักฐานว่ามีการดำเนินการใดๆ เพื่อยับยั้งมิให้มีการกระทำดังกล่าว
โดยสมควรแล้ว ให้ผู้นั้นพ้นความรับผิด แม้ว่าจะยังคงมีการกระทำความผิดโดยฝ่าฝืนการยับยั้งนั้น
ก็ตาม (มาตรา ๑๐๕ วรรคสอง)
ข้อ ๒ คณะกรรมการบริหารพรรคการเมืองฝ่าฝืนจัดสรรเงินเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับ
การเลือกตั้งของผู้สมัครรับเลือกตั้งของพรรคเกินกว่าจำนวนที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติประกอบ
รัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภาตามมาตรา
๕๒ วรรคสาม
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน ๖ เดือน หรือปรับไม่เกิน ๑๐,๐๐๐ บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา ๑๑๓)
ความผิดเกี่ยวกับการเป็นสมาชิกพรรค
ข้อ ๑ นายทะเบียนสมาชิกพรรค ผู้ใดแอบอ้างชื่อผู้ใดสมัครเป็นสมาชิกโดยผู้นั้นไม่รู้เห็น
หรือไม่สมัครใจตามมาตรา ๑๙ วรรคสอง
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน ๑ ปี หรือปรับไม่เกิน ๒๐,๐๐๐ บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ (มาตรา ๑๐๖)
สำนักกฎหมายและคดี สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง
วันที่ ๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๐
ข้อ ๒ หัวหน้าพรรคการเมืองหรือนายทะเบียนสมาชิกพรรคผู้ใดจัดทำทะเบียนสมาชิกอัน
เป็นเท็จ ตามมาตรา ๑๙ วรรคสาม
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน ๑ ปี หรือปรับไม่เกิน ๒๐,๐๐๐ บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ (มาตรา ๑๐๖)
ข้อ ๓ กรรมการบริหารพรรคหรือกรรมการสาขาพรรคผู้ใด รู้อยู่แล้วแต่จัดให้พรรคการเมือง
รับบุคคลซึ่งไม่มีสัญชาติไทยโดยการเกิดหรือผู้มีสัญชาติไทยโดยการแปลงสัญชาติ ซึ่งได้สัญชาติไทย
มาแล้วน้อยกว่า ๕ ปี เข้าเป็นสมาชิกหรือดำรงตำแหน่งใดๆ ในพรรค หรือยอมให้กระทำการอย่างใด
อย่างหนึ่งเพื่อประโยชน์ของพรรคการเมืองตามมาตรา ๒๑ วรรคหนึ่ง
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน ๒ ปี หรือปรับไม่เกิน ๔๐,๐๐๐ บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และให้ศาล
สั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งมีกำหนด ๕ ปี (มาตรา ๑๐๗)
ข้อ ๔ ผู้ไม่มีสัญชาติไทยโดยการเกิด หรือผู้มีสัญชาติไทยโดยการแปลงสัญชาติ ซึ่งได้สัญชาติไทย
มาแล้วน้อยกว่า ๕ ปี ผู้ใดเข้าเป็นสมาชิกหรือดำรงตำแหน่งใดๆ ในพรรค หรือร่วมกระทำการอย่าง
ใดอย่างหนึ่งในการดำเนินกิจกรรมของพรรคการเมืองตามมาตรา ๒๑ วรรคสอง
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน ๒ ปี หรือปรับไม่เกิน ๔๐,๐๐๐ บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ (มาตรา ๑๐๘)
ข้อ ๕ สมาชิกผู้ที่เป็นข้าราชการซึ่งมีตำแหน่งหรือเงินเดือนประจำ นอกจากข้าราชการ
การเมือง พนักงาน เจ้าหน้าที่ หรือลูกจ้างของหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือราชการ
ส่วนท้องถิ่น หรือเจ้าหน้าที่อื่นของรัฐ ผู้ใดเข้าดำรงตำแหน่งกรรมการบริหารพรรค หรือเจ้าหน้าที่
ของพรรค หรือตำแหน่งอื่นใดของพรรคการเมืองตามมาตรา ๒๑ วรรคสาม
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน ๒ ปี หรือปรับไม่เกิน ๔๐,๐๐๐ บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ (มาตรา ๑๐๘)
ข้อ ๖ พรรคการเมืองใดหรือผู้ใดให้ เสนอให้ หรือสัญญาว่าจะให้เงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์
อื่นใดอันอาจคำนวณเป็นเงินได้ ไม่ว่าโดยตรงหรือโดยอ้อมเพื่อจูงใจให้บุคคลใดบุคคลหนึ่งสมัครเข้า
เป็นสมาชิกพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่งตามมาตรา ๒๒
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน ๖ เดือน หรือปรับไม่เกิน ๑๐,๐๐๐ บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา ๑๐๙ วรรคหนึ่ง)
ข้อ ๗ พรรคการเมืองใดหรือผู้ใดให้ เสนอให้ หรือสัญญาว่าจะให้เงิน ทรัพย์สิน หรือ
ประโยชน์อื่นใดอันอาจคำนวณเป็นเงินได้ ไม่ว่าโดยตรงหรือโดยอ้อมเพื่อจูงใจให้บุคคลใดบุคคลหนึ่ง
สมัครเข้าเป็นสมาชิกพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่งเพื่อสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทน
ราษฎรตามมาตรา ๒๒ ประกอบมาตรา ๑๐๙ วรรคสอง
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน ๒ ปี หรือปรับไม่เกิน ๔๐,๐๐๐ บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และให้ศาล
สั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งมีกำหนด ๕ ปี (มาตรา ๑๐๙ วรรคสอง)
ข้อ ๘ ผู้ใดเรียก รับ หรือยอมจะรับเงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดอันอาจคำนวณเป็น
เงินได้ จากพรรคการเมืองหรือจากผู้ใด เพื่อยอมสมัครเข้าเป็นสมาชิกของพรรคการเมืองใดพรรค
การเมืองหนึ่งตามมาตรา ๒๓
สำนักกฎหมายและคดี สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง
วันที่ ๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๐
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน ๖ เดือน หรือปรับไม่เกิน ๑๐,๐๐๐ บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา ๑๐๙)
ข้อ ๙ ผู้ใดเรียก รับ หรือยอมจะรับเงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดอันอาจคำนวณเป็นเงินได้
จากพรรคการเมืองหรือจากผู้ใด เพื่อยอมสมัครเข้าเป็นสมาชิกของพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่ง
เพื่อสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรตามมาตรา ๒๓ ประกอบมาตรา ๑๐๙ วรรคสอง
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน ๒ ปี หรือปรับไม่เกิน ๔๐,๐๐๐ บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และให้ศาล
สั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งมีกำหนด ๕ ปี (มาตรา ๑๐๙ วรรคสอง)
ความผิดเกี่ยวกับการหารายได้และการบริจาคของพรรคการเมือง
การหารายได้ของพรรคการเมือง
กรณีฝ่าฝืนจัดกิจกรรมหาทุนของพรรค โดยไม่เปิดเผยและแสดงวัตถุประสงค์ว่าเป็นการ
หาทุนของพรรคการเมืองอย่างชัดเจน ตามมาตรา ๕๔ วรรคหนึ่ง
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน ๓ ปี หรือปรับไม่น้อยกว่าสามเท่าของจำนวนเงิน ทรัพย์สิน
หรือประโยชน์อื่นใดอันอาจคำนวณได้ หรือทั้งจำทั้งปรับ และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งมีกำหนด
๕ ปี (มาตรา ๑๑๔)
o การบริจาคแก่พรรคการเมือง
ข้อ ๑ กรณีฝ่าฝืนบริจาคแก่พรรคการเมืองตั้งแต่ ๑,๐๐๐ บาทขึ้นไป (ซึ่งไม่ใช่จาก
กิจกรรมหาทุนของพรรคการเมืองตามมาตรา ๕๔) โดยไม่เปิดเผยชื่อผู้บริจาคและให้สามารถ
ตรวจสอบได้ตามมาตรา ๕๖ วรรคหนึ่ง
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน ๓ ปี หรือปรับไม่น้อยกว่าสามเท่าของจำนวนเงิน ทรัพย์สิน
หรือประโยชน์อื่นใดอันอาจคำนวณได้ หรือทั้งจำทั้งปรับ และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งมีกำหนด
๕ ปี (มาตรา ๑๑๔)
ข้อ ๒ กรณีฝ่าฝืนบริจาคแก่พรรคการเมืองตั้งแต่ ๕,๐๐๐ บาทขึ้นไป โดยไม่เปิดเผยชื่อ
ผู้บริจาคต่อสาธารณชนตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่คณะกรรมการการเลือกตั้งกำหนดตามมาตรา ๕๗
วรรคหนึ่ง และกรณีฝ่าฝืนบริจาคตั้งแต่ ๒๐,๐๐๐ บาทขึ้นไป โดยไม่ใช้วิธีการสั่งจ่ายเป็นตั๋วแลกเงิน หรือ
เช็คขีดคร่อมตามมาตรา ๕๗ วรรคสอง
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน ๓ ปี หรือปรับไม่น้อยกว่าสามเท่าของจำนวนเงิน ทรัพย์สิน
หรือประโยชน์อื่นใดอันอาจคำนวณได้ หรือทั้งจำทั้งปรับ และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งมีกำหนด
๕ ปี (มาตรา ๑๑๔)
ข้อ ๓ บุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคลใดฝ่าฝืนบริจาคให้แก่พรรคการเมืองใดพรรคการเมือง
หนึ่งหนึ่งเกินกว่า ๑๐ ล้านบาทต่อปีตามมาตรา ๕๙ วรรคหนึ่ง
สำนักกฎหมายและคดี สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง
วันที่ ๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๐
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน ๓ ปี หรือปรับไม่น้อยกว่าสามเท่าของจำนวนเงิน ทรัพย์สิน
หรือประโยชน์อื่นใดอันอาจคำนวณได้ หรือทั้งจำทั้งปรับ และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งมีกำหนด
๕ ปี (มาตรา ๑๑๔)
ข้อ ๔ นิติบุคคลใดฝ่าฝืนบริจาคให้แก่พรรคการเมืองตั้งแต่ ๕ ล้านบาทขึ้นไป โดยมิได้
รับอนุมัติหรือให้สัตยาบันโดยมติที่ประชุมผู้ถือหุ้นของนิติบุคคลนั้นหรือสมาชิกของนิติบุคคลนั้นตาม
มาตรา ๕๙ วรรคสอง
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน ๓ ปี หรือปรับไม่น้อยกว่าสามเท่าของจำนวนเงิน ทรัพย์สิน
หรือประโยชน์อื่นใดอันอาจคำนวณได้ หรือทั้งจำทั้งปรับ และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งมีกำหนด
๕ ปี (มาตรา ๑๑๔)
ข้อ ๕ นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี และข้าราชการการเมืองอื่นผู้ใดใช้สถานะหรือตำแหน่ง
หน้าที่เรี่ยไรหรือชักชวนให้มีการบริจาคให้พรรคการเมืองหรือผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็น
สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรด้วยตนเองตามมาตรา ๖๘ วรรคหนึ่ง
ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ ๒ — ๑๐ ปี หรือปรับตั้งแต่ ๔๐,๐๐๐ — ๒๐๐,๐๐๐ บาท หรือทั้งจำ
ทั้งปรับ และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งมีกำหนด ๕ ปี (มาตรา ๑๑๗)
** การเข้าร่วมกิจกรรมหาทุน โดยมิได้กระทำเรี่ยไรหรือชักชวนให้มีการบริจาคโดยใช้สถานะ
หรือตำแหน่งหน้าที่ดังกล่าว ก่อนกิจกรรมดังกล่าวเริ่มขึ้น ไม่ถือเป็นการต้องห้าม (มาตรา ๖๘ วรรคสอง)
ข้อ ๖ บุคคล องค์การ หรือนิติบุคคลใด ดังต่อไปนี้
(๑) บุคคลไม่มีสัญชาติไทย
(๒) นิติบุคคลตามกฎหมายต่างประเทศที่ประกอบกิจการหรือจดทะเบียนสาขาอยู่ใน
หรือนอกราชอาณาจักร
(๓) นิติบุคคลที่จดทะเบียนในราชอาณาจักร ซึ่งมีบุคคลผู้ไม่มีสัญชาติไทยมีทุนหรือถือ
หุ้นเกินร้อยละห้าสิบ
กรณีบริษัทมหาชนจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ไทย ให้พิจารณาในวันก่อนวันที่
บริจาคโดยถือทะเบียนผู้ถือหุ้นของบริษัทที่ตลาดหลักทรัพย์ไทยในวันก่อนวันที่บริจาค
(๔) องค์การหรือนิติบุคคลที่ได้รับทุนหรือเงินอุดหนุนจากต่างประเทศ ซึ่งมี
วัตถุประสงค์ดำเนินกิจการเพื่อประโยชน์ของบุคคลผู้ไม่มีสัญชาติไทย หรือซึ่งมีผู้จัดการหรือกรรมการ
เป็นบุคคลผู้ไม่มีสัญชาติไทย
(๕) บุคคล องค์การ หรือนิติบุคคลที่ได้รับบริจาค เพื่อดำเนินกิจการของพรรค หรือ
ดำเนินกิจการทางการเมืองจากบุคคล องค์การ หรือนิติบุคคลตาม (๑) (๒) (๓) หรือ (๔)
กระทำการฝ่าฝืนบริจาคแก่พรรคการเมือง หรือสมาชิกผู้ใด เพื่อดำเนินกิจการของพรรค
การเมือง หรือเพื่อดำเนินกิจการในทางการเมืองตามมาตรา ๗๐ ประกอบมาตรา ๖๙
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน ๑๐ ปี หรือปรับไม่เกิน ๒๐๐,๐๐๐ บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา ๑๑๘)
สำนักกฎหมายและคดี สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง
วันที่ ๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๐
ข้อ ๗ หน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ นิติบุคคลที่เป็นรัฐวิสาหกิจตามกฎหมายว่าด้วย
วิธีการงบประมาณ องค์การมหาชน หรือกิจการที่รัฐถือหุ้นใหญ่หรือนิติบุคคลอื่นตามที่กำหนดใน
ประกาศของคณะกรรมการการเลือกตั้งผู้ใด กระทำการฝ่าฝืนบริจาคแก่พรรคการเมืองตามมาตรา ๗๑
วรรคหนึ่ง
หัวหน้าหน่วยงานดังกล่าว หรือกรรมการผู้มีอำนาจอนุมัติในนามหน่วยงานดังกล่าว ต้อง
ระวางโทษจำคุกไม่เกิน ๑๐ ปี หรือปรับไม่เกิน ๒๐๐,๐๐๐ บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ (มาตรา ๑๑๙)
** กิจการที่รัฐถือหุ้นใหญ่ หมายถึง รัฐเป็นหุ้นส่วนหรือถือหุ้นอยู่เป็นจำนวนมากที่สุดใน
บรรดาผู้เป็นหุ้นส่วนหรือถือหุ้นแต่ละคนทุกคน และจำนวนหุ้นส่วนหรือหุ้นมีจำนวนไม่น้อยกว่า ๑ ใน ๓
ของหุ้นส่วนหรือหุ้นทั้งหมดของนิติบุคคลนั้น (มาตรา ๗๑ วรรคสอง)
การรับบริจาค
ข้อ ๑ หัวหน้าพรรค กรรมการบริหารพรรค กรรมการสาขาพรรค หรือสมาชิกผู้ใด รับเงิน
ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดอันอาจคำนวณเป็นเงินได้ที่เป็นการบริจาคโดยไม่ปรากฏชื่อผู้บริจาค
หรือที่บริจาคให้เป็นส่วนตัวตามมาตรา ๕๖ วรรคสอง
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน ๓ ปี หรือปรับไม่น้อยกว่าสามเท่าของจำนวนเงิน ทรัพย์สิน
หรือประโยชน์อื่นใดอันอาจคำนวณได้ หรือทั้งจำทั้งปรับ และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งมีกำหนด
๕ ปี (มาตรา ๑๑๔)
ข้อ ๒ หัวหน้าพรรค กรรมการบริหารพรรค หรือกรรมการสาขาพรรคผู้ใดรับบริจาคจาก
บุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคลเกินกว่า ๑๐ ล้านบาทต่อปี ตามมาตรา ๕๙ วรรคสาม
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน ๓ ปี หรือปรับไม่เกิน ๖๐,๐๐๐ บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา ๑๑๕)
ข้อ ๓ พรรคการเมืองและผู้ดำรงตำแหน่งในพรรคการเมืองผู้ใดรับบริจาคเงิน ทรัพย์สิน
หรือประโยชน์อื่นใดอันอาจคำนวณเป็นเงินได้ โดยรู้หรือควรจะรู้ว่าได้มาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย
หรือมีเหตุอันควรสงสัยว่ามีแหล่งที่มาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายตามมาตรา ๖๕
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน ๓ ปี หรือปรับไม่น้อยกว่าสามเท่าของจำนวนเงิน ทรัพย์สิน
หรือประโยชน์อื่นใดอันอาจคำนวณได้ หรือทั้งจำทั้งปรับ และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งมีกำหนด
๕ ปี (มาตรา ๑๑๔)
ข้อ ๔ พรรคการเมืองใดและผู้ดำรงตำแหน่งในพรรคการเมืองผู้ใดรับบริจาคจากผู้ใด เพื่อ
กระทำการหรือสนับสนุนการกระทำการอันเป็นการบ่อนทำลายความมั่นคงของราชอาณาจักร ราช
บัลลังก์ เศรษฐกิจของประเทศ หรือราชการแผ่นดิน หรือกระทำการอันเป็นการก่อกวนหรือคุกคาม
ความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน หรือกระทำ การอันเป็นการทำ ลาย
ทรัพยากรธรรมชาติของประเทศตามมาตรา ๖๖
สำนักกฎหมายและคดี สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง
วันที่ ๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๐
ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ ๒ — ๑๐ ปี หรือปรับตั้งแต่ ๔๐,๐๐๐ — ๒๐๐,๐๐๐ บาท หรือ
ทั้งจำทั้งปรับ และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งมีกำหนด ๕ ปี (มาตรา ๑๑๖)
ข้อ ๕ สมาชิกซึ่งมิได้ดำรงตำแหน่งใดในพรรคการเมืองผู้ใด รับบริจาค หรือขอรับบริจาค
จากผู้ซึ่งมิได้เป็นสมาชิก โดยไม่ได้รับมอบหมายเป็นหนังสือจากหัวหน้าพรรค หรือคณะกรรมการ
บริหารพรรคตามมาตรา ๖๗
ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ ๒ — ๑๐ ปี หรือปรับตั้งแต่ ๔๐,๐๐๐ — ๒๐๐,๐๐๐ บาท หรือทั้งจำ
ทั้งปรับ และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งมีกำหนด ๕ ปี (มาตรา ๑๑๖)
ข้อ ๖ หัวหน้าพรรคการเมือง กรรมการบริหารพรรคการเมือง หรือกรรมการสาขาพรรค
การเมืองใดรับบริจาค เพื่อดำเนินกิจการของพรรคการเมือง หรือเพื่อดำเนินกิจการในทางการเมือง
จากบุคคล องค์การ หรือนิติบุคคล ดังต่อไปนี้ตามมาตรา ๖๙
(๑) บุคคลไม่มีสัญชาติไทย
(๒) นิติบุคคลตามกฎหมายต่างประเทศที่ประกอบกิจการหรือจดทะเบียนสาขาอยู่ใน
หรือนอกราชอาณาจักร
(๓) นิติบุคคลที่จดทะเบียนในราชอาณาจักร ซึ่งมีบุคคลผู้ไม่มีสัญชาติไทยมีทุนหรือถือ
หุ้นเกินร้อยละห้าสิบ
กรณีบริษัทมหาชนจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ไทย ให้พิจารณาในวันก่อนวันที่
บริจาคโดยถือทะเบียนผู้ถือหุ้นของบริษัทที่ตลาดหลักทรัพย์ไทยในวันก่อนวันที่บริจาค
(๔) องค์การหรือนิติบุคคลที่ได้รับทุนหรือเงินอุดหนุนจากต่างประเทศ ซึ่งมี
วัตถุประสงค์ดำเนินกิจการเพื่อประโยชน์ของบุคคลผู้ไม่มีสัญชาติไทย หรือซึ่งมีผู้จัดการหรือกรรมการ
เป็นบุคคลผู้ไม่มีสัญชาติไทย
(๕) บุคคล องค์การ หรือนิติบุคคลที่ได้รับบริจาค เพื่อดำเนินกิจการของพรรค หรือ
ดำเนินกิจการทางการเมืองจากบุคคล องค์การ หรือนิติบุคคลตาม (๑) (๒) (๓) หรือ (๔)
ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ ๒ — ๑๐ ปี หรือปรับตั้งแต่ ๔๐,๐๐๐ — ๒๐๐,๐๐๐ บาท หรือ
ทั้งจำทั้งปรับ และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งมีกำหนด ๕ ปี (มาตรา ๑๑๖)
การจัดทำและการรายงานเกี่ยวกับการหารายได้/รับบริจาค
ข้อ ๑ พรรคการเมืองใดเมื่อดำเนินกิจกรรมหาทุนในแต่ละครั้งเสร็จเรียบร้อยแล้ว ไม่รายงาน
รายได้ที่หาได้และกิจกรรมที่จัดขึ้น ต่อนายทะเบียนภายใน ๓๐ วันนับแต่วันที่จัดกิจกรรม ตาม
มาตรา ๕๔ วรรคสอง
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน ๓ ปี หรือปรับไม่น้อยกว่าสามเท่าของจำนวนเงิน ทรัพย์สิน หรือ
ประโยชน์อื่นใดอันอาจคำนวณได้ หรือทั้งจำทั้งปรับ และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งมีกำหนด ๕ ปี
(มาตรา ๑๑๔)
สำนักกฎหมายและคดี สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง
วันที่ ๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๐
ข้อ ๒ พรรคการเมืองใด กระทำการฝ่าฝืนกรณีที่ต้องออกหลักฐานการรับบริจาคให้แก่ผู้บริจาค
ตามแบบที่คณะกรรมการการเลือกตั้งกำหน ตามมาตรา ๖๐ วรรคหนึ่ง
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน ๓ ปี หรือปรับไม่น้อยกว่าสามเท่าของจำนวนเงิน ทรัพย์สิน หรือ
ประโยชน์อื่นใดอันอาจคำนวณได้ หรือทั้งจำทั้งปรับ และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งมีกำหนด ๕ ปี
(มาตรา ๑๑๔)
ข้อ ๓ หัวหน้าพรรค กรรมการบริหารพรรค หรือกรรมการสาขาพรรคผู้ใด ซึ่งเป็นผู้ที่รับบริจาค
ไม่จัดทำบันทึกการรับบริจาคไว้เป็นหลักฐาน และไม่จัดส่งบันทึกการรับบริจาค พร้อมเงิน ทรัพย์สิน
หรือประโยชน์อื่นใดอันอาจคำนวณเป็นเงินได้ รวมทั้งหลักฐานต่างๆ ให้แก่พรรคการเมือง เพื่อนำส่ง
เข้าบัญชีรายรับจากการบริจาคไว้ก่อนภายใน ๗ วันนับแต่วันที่ได้รับบริจาค ตามมาตรา ๖๐ วรรคสอง
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน ๓ ปี หรือปรับไม่น้อยกว่าสามเท่าของจำนวนเงิน ทรัพย์สิน หรือ
ประโยชน์อื่นใดอันอาจคำนวณได้ หรือทั้งจำทั้งปรับ และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งมีกำหนด ๕ ปี
(มาตรา ๑๑๔)
ข้อ ๔ พรรคการเมืองใด ไม่ลงรายการการรับบริจาคในบัญชีแสดงรายรับจากการบริจาคของ
พรรคการเมืองให้แล้วเสร็จภายใน ๑๕ วันนับแต่วันที่รายการนั้นเกิดขึ้น และไม่จัดส่งใบเสร็จรับเงิน
หรือหลักฐานการรับบริจาคให้แก่ผู้บริจาคภายใน ๗ วันนับแต่วันที่ออกใบเสร็จหรือหลักฐานการ
บริจาค ตามมาตรา ๖๐ วรรคสาม
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน ๓ ปี หรือปรับไม่น้อยกว่าสามเท่าของจำนวนเงิน ทรัพย์สิน หรือ
ประโยชน์อื่นใดอันอาจคำนวณได้ หรือทั้งจำทั้งปรับ และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งมีกำหนด ๕ ปี
(มาตรา ๑๑๔)
ข้อ ๕ หัวหน้าพรรคการเมืองใด ไม่จัดทำประกาศบัญชีรายชื่อผู้บริจาค และจำนวนเงิน
รายการทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดอันอาจคำนวณเป็นเงินได้ที่ได้รับบริจาคในแต่ละสัปดาห์ ให้
ถูกต้องตรงตามความเป็นจริงให้แล้วเสร็จในวันทำการวันแรกของสัปดาห์ถัดมา หรือไม่ปิดประกาศ
ไว้โดยเปิดเผย ณ ที่ตั้งสำนักงานใหญ่ของพรรคเป็นเวลาไม่น้อยกว่า ๑๕ วัน หรือไม่จัดส่งประกาศ
ดังกล่าวให้นายทะเบียนภายใน ๗ วันนับแต่วันที่ประกาศ ตามมาตรา ๖๐ วรรคสี่
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน ๓ ปี หรือปรับไม่น้อยกว่าสามเท่าของจำนวนเงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์
อื่นใดอันอาจคำนวณได้ หรือทั้งจำทั้งปรับ และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งมีกำหนด ๕ ปี (มาตรา ๑๑๔)
ความผิดเกี่ยวกับการใช้ชื่อและเครื่องหมายของพรรค
ข้อ ๑ ผู้ใดใช้ชื่อ ชื่อย่อ ภาพเครื่องหมาย หรือถ้อยคำในประการที่น่าจะทำให้ประชาชนเข้าใจ
ว่าเป็นพรรคการเมือง หรือใช้ชื่อที่มีอักษรไทยประกอบว่า “พรรคการเมือง” หรืออักษรต่างประเทศ
ซึ่งแปลหรืออ่านว่า “พรรคการเมือง” ในดาวตรา ป้ายชื่อ จดหมาย ใบแจ้งความ หรือเอกสารอย่างอื่น
หรือในข้อมูลทางการสื่อสารใดๆ โดยมิได้เป็นพรรคการเมืองตามมาตรา ๒๕
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน ๑ ปี หรือปรับไม่เกิน ๒๐,๐๐๐ บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ (มาตรา ๑๑๐)
สำนักกฎหมายและคดี สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง
วันที่ ๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๐
ข้อ ๒ ผู้ใดโดยเจตนาสมคบกันตั้งแต่ ๑๕ คนขึ้นไป ดำเนินกิจการเช่นเดียวกับพรรค
การเมือง หรือดำเนินการไม่ว่าด้วยวิธีการใดให้เข้าใจว่าเป็นพรรคการเมืองโดยมิได้จดแจ้งการจัดตั้ง
พรรคการเมืองตามมาตรา ๑๑๐ วรรคสอง
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน ๒ ปี หรือปรับไม่เกิน ๔๐,๐๐๐ บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ (มาตรา
๑๑๐ วรรคสอง)
ข้อ ๓ กรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้ยุบพรรคการเมืองแล้ว บุคคลใดใช้ชื่อ ชื่อย่อ หรือ
ภาพเครื่องหมายพรรค ซ้ำ หรือพ้อง หรือมีลักษณะคล้ายคลึงกับชื่อ ชื่อย่อ หรือภาพเครื่องหมาย
พรรคการเมืองที่ถูกยุบนั้น เพื่อแสวงหาประโยชน์ในการดำเนินกิจการทางการเมือง หรือประโยชน์ใน
ทำนองเดียวกันตามมาตรา ๙๕ วรรคสาม
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน ๒ ปี หรือปรับไม่เกิน ๔๐,๐๐๐ บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ (มาตรา ๑๒๐)
ความผิดเกี่ยวกับการไม่ยื่นบัญชีทรัพย์สิน
ข้อ ๑ หัวหน้าพรรคการเมือง และกรรมการบริหารพรรคผู้ใด ไม่ยื่นบัญชีแสดงรายการ
ทรัพย์สินและหนี้สินของตน คู่สมรส และบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะพร้อมสำเนาหลักฐานที่พิสูจน์ความ
มีอยู่จริงในวันที่เข้ารับตำแหน่ง วันที่สภาผู้แทนราษฎรสิ้นอายุสภา หรือวันที่พ้นจากตำแหน่ง รวมทั้ง
สำเนาแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในรอบปีภาษีที่ผ่านมาให้ถูกต้องครบถ้วนตาม
ความเป็นจริงต่อนายทะเบียน ภายใน ๓๐ วันนับแต่วันที่เข้ารับตำแหน่ง ภายใน ๓๐ วันนับแต่
วันที่สภาผู้แทนราษฎรสิ้นอายุหรือถูกยุบ หรือภายใน ๓๐ วันนับแต่วันที่เข้าพ้นจากตำแหน่ง ตาม
มาตรา ๔๙ วรรคหนึ่ง
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน ๖ เดือน หรือปรับไม่เกิน ๑๐,๐๐๐ บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ (มาตรา ๑๑๒)
ข้อ ๒ หัวหน้าพรรคการเมือง หรือกรรมการบริหารพรรคการเมืองผู้ใด จงใจยื่นบัญชีแสดง
รายการทรัพย์สินและหนี้สิน และเอกสารประกอบด้วยข้อความอันเป็นเท็จ หรือปกปิดข้อเท็จจริงที่
ควรแจ้งให้ทราบตามมาตรา ๑๑๒
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน ๖ เดือน หรือปรับไม่เกิน ๑๐,๐๐๐ บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ (มาตรา ๑๑๒)
ความผิดเกี่ยวกับการชำระบัญชี
ข้อ ๑ กรณีพรรคการเมืองสิ้นสภาพ เลิก หรือยุบตามบทบัญญัติในหมวด ๔ การสิ้นสภาพ
การเลิกและการยุบพรรคการเมือง (ยกเว้นกรณีการเลิกพรรคการเมืองโดยการควบรวมพรรคการเมือง
ตามหมวด ๕ การควบรวมพรรคการเมือง) หัวหน้าพรรคการเมืองผู้ใดไม่ส่งบัญชีและงบดุลรวมทั้ง
เอกสารการเงินของพรรคต่อนายทะเบียนภายใน ๓๐ วันนับแต่วันที่พรรคสิ้นสภาพ เลิก หรือยุบ ตาม
มาตรา ๙๖ วรรคหนึ่ง
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน ๑ ปี หรือปรับไม่เกิน ๒๐,๐๐๐ บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ (มาตรา ๑๒๑)
สำนักกฎหมายและคดี สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง
วันที่ ๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๐
ความผิดเกี่ยวกับกรรมการบริหารพรรคกรณีพรรคถูกยุบ
ข้อ ๑ กรณีที่พรรคการเมืองต้องยุบเพราะเหตุอันเนื่องมาจากการฝ่าฝืนมาตรา ๔๒ วรรคสอง
หรือต้องยุบตามมาตรา ๙๔ ผู้ซึ่งเคยดำรงตำแหน่งกรรมการบริหารของพรรคการเมืองที่ถูกยุบ ผู้ใด
ทำการจดแจ้งการจัดตั้งพรรคขึ้นใหม่หรือเป็นกรรมการบริหารพรรคหรือมีส่วนร่วมในการจดแจ้งการ
จัดตั้งพรรคขึ้นใหม่ ภายในกำหนด ๕ ปี นับแต่วันที่พรรคการเมืองนั้นต้องยุบไปตามมาตรา ๙๗
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน ๒ ปี หรือปรับไม่เกิน ๔๐,๐๐๐ บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ (มาตรา ๑๒๐)
ความผิดเกี่ยวกับกรณีฝ่าฝืนคำสั่งนายทะเบียน
ข้อ ๑ ผู้ใดไม่มาให้คำชี้แจงหรือส่งเอกสารมาเพื่อประกอบการพิจารณาหรือตรวจสอบตาม
คำสั่งเรียกของนายทะเบียนตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง ตามมาตรา ๗
วรรคหนึ่ง
ต้องชำระค่าปรับทางปกครองไม่เกิน ๕,๐๐๐ บาท (มาตรา ๑๒๒)
***ความผิดตามมาตรานี้ ให้มีผลใช้บังคับเมื่อครบ ๑ ปีนับจากวันที่ ๘ ตุลาคม ๒๕๕๐
(วันที่ ๘ ตุลาคม ๒๕๕๑) บทเฉพาะกาล มาตรา ๑๓๓ (๔)***
ข้อ ๒ หัวหน้าพรรคการเมืองผู้ใดไม่แจ้งจำนวนสมาชิกที่เพิ่มขึ้นหรือลดลงพร้อมด้วยรายชื่อ
อาชีพ และที่อยู่ของสมาชิก ตามวิธีการที่นายทะเบียนกำหนดให้นายทะเบียนทราบภายในวันที่ ๗
ของทุก ๓ เดือน และไม่สรุปยอดจำนวนสมาชิกที่เพิ่มขึ้นหรือลดลงทั้งหมดในรอบปี ให้นายทะเบียน
ทราบภายในเดือนมกราคมของทุกปี ตามมาตรา ๑๙ วรรคสี่
ต้องชำระค่าปรับทางปกครองไม่เกิน ๕๐,๐๐๐ บาท (มาตรา ๑๒๓)
ข้อ ๓ หัวหน้าพรรคการเมืองผู้ใดไม่ปฏิบัติตามคำสั่งนายทะเบียน ตามมาตรา ๑๙ วรรคห้า
ต้องชำระค่าปรับทางปกครองไม่เกิน ๑๐๐,๐๐๐ บาท และต้องชำระค่าปรับอีกไม่เกินวันละ
๑,๐๐๐ บาท ตลอดเวลาที่ยังมิได้ปฏิบัติให้ถูกต้อง ตามมาตรา ๑๒๔ วรรคสอง
ข้อ ๔ หัวหน้าพรรคการเมือง คณะกรรมการบริหารพรรคการเมือง หรือกรรมการบริหารพรรค
การเมืองผู้ใด ไม่ปฏิบัติตามคำสั่งเตือนของนายทะเบียน ที่สั่งให้ระงับหรือจัดการแก้ไขการกระทำใดๆ
ที่ฝ่าฝืนนโยบายพรรคการเมือง หรือข้อบังคับพรรคการเมือง ภายในระยะเวลาที่นายทะเบียนกำหนด
ตามมาตรา ๓๑ วรรคสอง
ต้องชำระค่าปรับทางปกครองไม่เกิน ๑๐๐,๐๐๐ บาท และต้องชำระค่าปรับอีกไม่เกินวันละ
๑,๐๐๐ บาท ตลอดเวลาที่ยังมิได้ปฏิบัติให้ถูกต้อง (มาตรา ๑๒๔ วรรคสอง)
**กรณีเตือนเป็นหนังสือแก่บุคคลที่ไม่ใช่หัวหน้าพรรคการเมือง ต้องส่งสำเนาหนังสือเตือนนั้น
ให้หัวหน้าพรรคการเมืองทราบโดยเร็วตามมาตรา ๓๑
การกระทำผิดที่มีโทษทางปกครอง
สำนักกฎหมายและคดี สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง
วันที่ ๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๐
ข้อ ๕ หัวหน้าพรรคการเมืองผู้ใดไม่แจ้งการเปลี่ยนแปลงนโยบายพรรคการเมือง ข้อบังคับ
พรรคการเมือง หรือรายการชื่อ อาชีพ ที่อยู่ และลายมือชื่อของกรรมการบริหารพรรคการเมืองที่จดแจ้ง
ไว้กับนายทะเบียนหรือรายละเอียดที่แจ้งไว้ในหนังสือแจ้งการจัดตั้งสาขาพรรคตามมาตรา ๓๔ เป็น
หนังสือต่อนายทะเบียนภายใน ๓๐ วันนับแต่วันทีมีการเปลี่ยนแปลง ตามมาตรา ๔๑ วรรคหนึ่ง
ต้องชำระค่าปรับทางปกครองไม่เกิน ๕๐,๐๐๐ บาท และต้องชำระค่าปรับอีกไม่เกินวันละ
๕๐๐ บาท ตลอดเวลาที่ยังมิได้ปฏิบัติให้ถูกต้อง (มาตรา ๑๒๔ วรรคหนึ่ง)
ข้อ ๖ หัวหน้าพรรคการเมืองผู้ใดไม่แจ้งการเปลี่ยนแปลงกรณีตามข้อ ๕ ตามคำสั่งของนาย
ทะเบียนพรรคการเมืองภายในกำหนดตามมาตรา ๔๑ วรรคสาม
ต้องชำระค่าปรับทางปกครองไม่เกิน ๑๐๐,๐๐๐ บาท และต้องชำระค่าปรับอีกไม่เกินวันละ
๑,๐๐๐ บาท ตลอดเวลาที่ยังมิได้ปฏิบัติให้ถูกต้อง (มาตรา ๑๒๔ วรรคสอง)
ข้อ ๗ หัวหน้าพรรคการเมืองผู้ใดไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของนายทะเบียนภายในระยะเวลาที่กำหนด
ตามมาตรา ๔๒ วรรคสอง กรณีที่สั่งให้รายงานการดำเนินกิจการของพรรคการเมืองในรอบปีปฏิทินที่
ผ่านมาให้นายทะเบียนทราบ ซึ่งหัวหน้าพรรคการเมืองไม่แจ้งให้นายทะเบียนทราบภายในกำหนด
เดือนมีนาคมของทุกปี ตามมาตรา ๔๒ วรรคหนึ่ง
ต้องชำระค่าปรับทางปกครองไม่เกิน ๑๐๐,๐๐๐ บาท และต้องชำระค่าปรับอีกไม่เกินวันละ
๑,๐๐๐ บาท ตลอดเวลาที่ยังมิได้ปฏิบัติให้ถูกต้อง (มาตรา ๑๒๔ วรรคสอง)
**เว้นแต่พรรคที่จัดตั้งขึ้นยังไม่ถึง ๙๐ วันนับจนถึงวันสิ้นปี (จัดตั้งขึ้นระหว่างวันที่ ๔ ตุลาคม
ถึง ๓๑ ธันวาคม) ตามมาตรา ๔๒
** กรณีหากพ้นกำหนดระยะเวลาที่มีคำสั่งแล้วยังไม่รายงาน โดยไม่มีเหตุผลอันสมควร
ให้นายทะเบียนโดยความเห็นชอบของคณะกรรมการการเลือกตั้งดำเนินการเพื่อให้มีการยุบ
พรรคนั้น (มาตรา ๔๒ วรรคสอง)
ข้อ ๘ หัวหน้าพรรคการเมืองผู้ใดไม่ใช้จ่ายเงินสนับสนุนให้เป็นไปตามที่กฎหมายกำหนด
หรือไม่จัดทำรายงานการใช้จ่ายเงินสนับสนุนของพรรคการเมืองในรอบปีปฏิทินให้ถูกต้องตามความ
เป็นจริง และยื่นต่อคณะกรรมการการเลือกตั้งภายในเดือนมีนาคมของปีถัดไป และนายทะเบียนมี
คำสั่งให้รายงานภายในระยะเวลาที่กำหนดตามมาตรา ๘๒
ต้องชำระค่าปรับทางปกครองไม่เกิน ๑๐๐,๐๐๐ บาท และต้องชำระค่าปรับอีกไม่เกินวันละ
๑,๐๐๐ บาท ตลอดเวลาที่ยังมิได้ปฏิบัติให้ถูกต้อง (มาตรา ๑๒๔ วรรคสอง)
**เว้นแต่พรรคที่จัดตั้งขึ้นยังไม่ถึง ๙๐ วันนับจนถึงวันสิ้นปี (จัดตั้งขึ้นระหว่างวันที่ ๔ ตุลาคม
ถึง ๓๑ ธันวาคม) ตามมาตรา ๘๒
** กรณีหากพ้นกำหนดระยะเวลาที่มีคำสั่งแล้วยังไม่รายงาน โดยไม่มีเหตุผลอันสมควร
ให้นายทะเบียนโดยความเห็นชอบของคณะกรรมการการเลือกตั้งดำเนินการเพื่อให้มีการยุบ
พรรคนั้น ( มาตรา ๘๒ ประกอบมาตรา ๔๒ วรรคสอง)
สำนักกฎหมายและคดี สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง
วันที่ ๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๐
ข้อ ๙ หัวหน้าพรรคการเมืองผู้ใดไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของนายทะเบียน กรณีที่หัวหน้าพรรคนั้น
ไม่เรียกประชุมใหญ่พรรคเป็นครั้งแรกภายใน ๖๐ วัน และนายทะเบียนมีคำสั่งให้เรียกประชุมใหญ่
ภายในระยะเวลาที่กำหนด ตามมาตรา ๒๗
ต้องชำระค่าปรับทางปกครองไม่เกิน ๑๐๐,๐๐๐ บาท (มาตรา ๑๒๗)
ข้อ ๑๐ หัวหน้าพรรคและกรรมการบริหารพรรคผู้ใดได้รับคำเตือนเรียกคืนเงินสนับสนุน
พร้อมดอกเบี้ยจากนายทะเบียน เนื่องจากเมื่อปรากฏว่าพรรคการเมืองได้รับเงินสนับสนุนแล้ว
ไม่จัดทำแผนการดำเนินงานและแผนการใช้จ่ายเงินของพรรคในแต่ละปียื่นต่อคณะกรรมการการ
เลือกตั้ง และไม่จัดทำบัญชีของพรรคและสาขาพรรคให้ถูกต้องตามความเป็นจริงตามรายการที่กำหนด
ตามมาตรา ๔๕ หรือไม่ปิดบัญชีครั้งแรกภายในวันสิ้นปีปฏิทินที่ได้รับการจดแจ้งการจัดตั้งขึ้น และ
ครั้งต่อไปเป็นประจำทุกปีในวันสิ้นปีปฏิทิน ซึ่งการปิดบัญชีต้องจัดทำงบการเงินอย่างน้อยต้อง
ประกอบด้วย งบดุลและงบรายได้ และค่าใช้จ่ายของพรรค รวมทั้งของสาขาพรรคทุกสาขาด้วย แล้วยัง
ฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามคำเตือนนั้น ตามมาตรา ๘๓ (ประกอบ มาตรา ๗๗) และมาตรา ๘๔ (ประกอบ
มาตรา ๔๔ มาตรา ๔๕ มาตรา ๔๖ และมาตรา ๔๗)
ต้องชำระค่าปรับทางปกครองไม่เกิน ๒ เท่าของเงินสนับสนุนและดอกเบี้ยตามกฎหมายที่ต้อง
คืนให้แก่กองทุน (มาตรา ๑๓๐)
ข้อ ๑๑ หัวหน้าพรรคการเมืองและกรรมการบริหารพรรคการเมืองผู้ใดได้รับคำเตือนให้คืน
เงินสนับสนุนแก่กองทุนตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่คณะกรรมการการเลือกตั้งกำหนด กรณีที่พรรค
การเมืองนั้นได้รับเงินสนับสนุนไปแล้ว ภายหลังพรรคนั้นสิ้นสภาพ ต้องเลิก หรือยุบพรรคการเมือง
แล้วยังฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามคำเตือนนั้น ตามมาตรา ๘๕ ประกอบมาตรา ๑๓๐
ต้องชำระค่าปรับทางปกครองไม่เกิน ๒ เท่าของเงินสนับสนุนและดอกเบี้ยตามกฎหมายที่ต้อง
คืนให้แก่กองทุน (มาตรา ๑๓๐)
ความผิดเกี่ยวกับการบริจาค
ข้อ ๑ หัวหน้าพรรคการเมืองผู้ใดไม่ปฏิบัติให้เป็นไปตามคำสั่งของคณะกรรมการการเลือกตั้ง
กรณีที่คณะกรรมการการเลือกตั้งกำหนดมาตรการและวิธีการควบคุมการได้รับบริจาคของพรรคให้
เป็นไปโดยเปิดเผย และทำการตรวจสอบความถูกต้องของการบริจาคแก่พรรค รวมทั้งการออกคำสั่ง
ตามที่เห็นสมควรเพื่อให้พรรคการเมืองปฏิบัติให้เป็นไปโดยถูกต้องตามมาตรา ๗๒ วรรคสอง
ต้องชำระค่าปรับทางปกครองไม่เกิน ๑๐๐,๐๐๐ บาท (มาตรา ๑๒๗)
ข้อ ๒ หัวหน้าพรรคการเมืองผู้ใดไม่จัดให้มีบัญชีแสดงรายรับจากการบริจาค ซึ่งต้องมี
รายการชื่อ ที่อยู่ จำนวนเงิน และรายการทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดอันอาจคำนวณเป็นเงินได้ของ
ผู้บริจาคทุกราย รายการวัน เดือน ปี ที่รับบริจาค และสำเนาหลักฐานการรับบริจาค ตามมาตรา ๖๒
วรรคหนึ่ง
ต้องชำระค่าปรับทางปกครองไม่เกิน ๑๐๐,๐๐๐ บาท (มาตรา ๑๒๗)
สำนักกฎหมายและคดี สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง
วันที่ ๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๐
**กรณีการบริจาคที่เป็นการให้หรือให้ใช้ทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดอันอาจคำนวณเป็นเงิน
ได้ ให้คิดมูลค่าตามอัตราค่าเช่าหรือค่าตอบแทนตามปกติในทางการค้า ในท้องที่นั้น หรือค่าของสิทธิ
นั้นก่อนจึงบันทึกลงในบัญชี กรณีที่ไม่อาจคิดมูลค่าได้ ให้ระบุรายละเอียดให้ชัดเจนเท่าที่จะกระทำได้
ตามมาตรา ๖๒
ข้อ ๓ หัวหน้าพรรคการเมืองและเหรัญญิกพรรคการเมืองผู้ใดไม่เปิดบัญชีกับธนาคาร
พาณิชย์โดยระบุชื่อเจ้าของบัญชีในนามพรรคการเมือง หรือไม่แจ้งหมายเลขบัญชีเงินฝากและจำนวน
เงินที่เปิดบัญชีของทุกบัญชีพร้อมทั้งส่งสำเนาบัญชีเงินฝากที่ธนาคารพาณิชย์รับรองแก่นายทะเบียน
ภายใน ๗ วันนับแต่วันที่เปิดบัญชีดังกล่าวตามมาตรา ๖๔
ต้องชำระค่าปรับทางปกครองไม่เกิน ๑๐๐,๐๐๐ บาท (มาตรา ๑๒๗)
ข้อ ๔ หัวหน้าพรรคการเมืองและเหรัญญิกพรรคการเมืองผู้ใดไม่นำเงินบริจาคที่เป็นเงินสด
ไปฝากไว้ในบัญชีธนาคารของพรรคภายใน ๗ วันนับแต่วันที่ได้รับบริจาคแล้วออกใบเสร็จรับเงิน
ให้แก่ผู้บริจาคไว้เป็นหลักฐานภายในวันที่ได้รับบันทึกการบริจาคตามมาตรา ๖๓
ต้องชำระค่าปรับทางปกครองเท่ากับหรือไม่เกิน ๒ เท่าของจำนวนเงิน ทรัพย์สิน หรือ
ประโยชน์อื่นใดที่ได้รับบริจาค (มาตรา ๑๒๘)
ข้อ ๕ หัวหน้าพรรคการเมืองและเหรัญญิกพรรคการเมืองผู้ใดไม่นำตั๋วแลกเงินหรือเช็คขีด
คร่อมที่ได้รับบริจาคส่งเข้าบัญชีธนาคารของพรรคการเมือง หรือไม่ออกใบเสร็จรับเงินให้แก่ผู้
บริจาคไว้เป็นหลักฐานภายในวันที่มีรายการนั้นเกิดขึ้นตามมาตรา ๖๓
ต้องชำระค่าปรับทางปกครองเท่ากับหรือไม่เกิน ๒ เท่าของจำนวนเงินทรัพย์สิน หรือประโยชน์
อื่นใดที่ได้รับบริจาค (มาตรา ๑๒๘)
ข้อ ๖ บุคคล คณะบุคคล หรือนิติบุคคลใด ฝ่าฝืนขอรับบริจาค หรือขอรับการสนับสนุนทาง
การเงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดอันอาจคำนวณเป็นเงินได้จากพรรคการเมือง ผู้ดำรงตำแหน่ง
ในพรรค หรือสมาชิกซึ่งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร หรือผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ตามมาตรา ๙๐
ต้องชำระค่าปรับทางปกครองเป็นจำนวนเงิน ๒ เท่าของเงิน หรือมูลค่าทรัพย์สิน หรือ
ประโยชน์อื่นใดอันอาจคำนวณเป็นเงินได้ ที่ตนได้รับ (มาตรา ๑๓๑)
***ความผิดตามมาตรานี้ ให้มีผลใช้บังคับเมื่อครบ ๑ ปีนับจากวันที่ ๘ ตุลาคม ๒๕๕๐
(วันที่ ๘ ตุลาคม ๒๕๕๑) บทเฉพาะกาล มาตรา ๑๓๓ (๔) ***
ความผิดเกี่ยวกับการใช้จ่ายเงินและการจัดทำบัญชี
ข้อ ๑ พรรคการเมืองและผู้ดำรงตำแหน่งในพรรคการเมืองผู้ใดใช้จ่ายเงิน หรือจำหน่าย
ทรัพย์สินของพรรคการเมือง ซึ่งมิได้เป็นไปตามแผนการใช้จ่ายเงิน ตามมาตรา ๘๘ ประกอบมาตรา ๘๗
ดังต่อไปนี้
(๑) ค่าตอบแทนบุคลากรของพรรค และค่าใช้จ่ายในการพัฒนาบุคลากรทางการเมือง
สำนักกฎหมายและคดี สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง
วันที่ ๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๐
- ๑๔ -
(๒) ค่าใช้จ่ายในการบริหารพรรค และสาขาพรรค
(๓) ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการเลือกตั้งที่คณะกรรมการการเลือกตั้งจัดสรรเงินเพื่อเป็น
ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการเลือกตั้งของผู้สมัครรับเลือกตั้งของพรรค
(๔) ค่าใช้จ่ายในการส่งเสริมความเป็นประชาธิปไตยในพรรค
(๕) ค่าใช้จ่ายในการให้ความรู้ และการส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนทางการเมือง
(๖) ค่าใช้จ่ายอื่นตามที่คณะกรรมการการเลือกตั้งประกาศกำหนด
ต้องชำระค่าปรับทางปกครองเท่ากับหรือไม่เกิน ๒ เท่าของจำนวนเงิน ทรัพย์สิน หรือ
ประโยชน์อื่นใดอันอาจคำนวณเป็นเงินได้ที่ได้ใช้จ่ายหรือจำหน่ายไป (มาตรา ๑๒๘)
***ความผิดตามมาตรานี้ ให้มีผลใช้บังคับเมื่อครบ ๑ ปีนับจากวันที่ ๘ ตุลาคม ๒๕๕๐
(วันที่ ๘ ตุลาคม ๒๕๕๑) บทเฉพาะกาล มาตรา ๑๓๓ (๔)***
ข้อ ๒ หัวหน้าพรรคการเมืองผู้ใดไม่รายงานการใช้จ่ายเงินตามแผนการใช้จ่ายเงิน และลง
รายละเอียดของรายการค่าใช้จ่าย ให้เป็นไปตามที่คณะกรรมการการเลือกตั้งประกาศกำหนดตาม
มาตรา ๘๗ วรรคสอง
ต้องชำระค่าปรับทางปกครองไม่เกิน ๕๐,๐๐๐ บาท (มาตรา ๑๒๓)
***ความผิดตามมาตรานี้ ให้มีผลใช้บังคับเมื่อครบ ๑ ปีนับจากวันที่ ๘ ตุลาคม ๒๕๕๐
(วันที่ ๘ ตุลาคม ๒๕๕๑) บทเฉพาะกาล มาตรา ๑๓๓ (๔) ***
ข้อ ๓ คณะกรรมการบริหารพรรคการเมืองหรือประธานสาขาพรรคการเมืองผู้ใดไม่จัดทำ
บัญชีของพรรคการเมืองหรือของสาขาพรรคการเมือง ให้ถูกต้องตามความเป็นจริงตามมาตรา ๔๔
ประกอบมาตรา ๔๕ ซึ่งประกอบด้วยบัญชี ดังนี้
(๑) บัญชีรายวันแสดงรายได้หรือรายรับ และแสดงค่าใช้จ่ายหรือรายจ่าย
(๒) บัญชีแสดงรายรับจากการบริจาค
(๓) บัญชีแยกประเภท
(๔) บัญชีแสดงสินทรัพย์และหนี้สิน
ต้องชำระค่าปรับทางปกครองไม่เกิน ๑๐๐,๐๐๐ บาท (มาตรา ๑๒๖)
** การลงรายการบัญชีต้องมีเอกสารประกอบที่ถูกต้องสมบูรณ์ครบถ้วน และต้องลงรายการ
ในบัญชีตาม ข้อ (๑) และข้อ (๒) ให้แล้วเสร็จภายใน ๑๕ วันนับแต่รายการนั้นเกิด ต้องลงรายการใน
บัญชีตาม ข้อ (๓) และข้อ (๔) ให้แล้วเสร็จภายใน ๑๕ วันนับแต่วันสิ้นเดือนที่รายการนั้นเกิด
ข้อ ๔ คณะกรรมการบริหารพรรคการเมืองหรือประธานสาขาพรรคการเมืองผู้ใดจัดให้มีการ
ทำบัญชีของพรรคการเมืองหรือสาขาพรรคการเมือง โดยละเว้นการลงรายการในบัญชี ลงรายการใน
บัญชีเป็นเท็จ แก้ไขบัญชี ซ่อนเร้น หรือทำหลักฐานในการลงบัญชีอันจะเป็นผลให้การแสดงที่มา
ของรายได้และการใช้จ่ายของพรรคไม่ถูกต้องตามความเป็นจริงตามมาตรา ๑๒๖
ต้องชำระค่าปรับทางปกครองไม่เกิน ๑๐๐,๐๐๐ บาท (มาตรา ๑๒๖)
สำนักกฎหมายและคดี สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง
วันที่ ๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๐
ข้อ ๕ คณะกรรมการบริหารพรรคการเมืองหรือประธานสาขาพรรคการเมืองผู้ใดไม่ปิด
บัญชีครั้งแรกภายในวันสิ้นปีปฏิทินที่ได้รับการจดแจ้งการจัดตั้งขึ้น และครั้งต่อไปเป็นประจำทุกปี
ในวันสิ้นปีปฏิทิน ซึ่งการปิดบัญชีต้องจัดทำงบการเงินอย่างน้อยต้องประกอบด้วยงบดุลและงบ
รายได้ และค่าใช้จ่ายของพรรคการเมือง รวมทั้งของสาขาพรรคการเมืองทุกสาขาด้วย โดยงบดุลต้อง
แสดงรายการ สินทรัพย์ หนี้สิน และทุนของพรรค และงบรายได้และค่าใช้จ่ายอย่างน้อยต้องแสดงที่มา
ของรายได้กับทางใช้ไปของค่าใช้จ่าย โดยเฉพาะค่าใช้จ่ายในการเลือกตั้ง ต้องแสดงรายละเอียดของ
รายการตามที่คณะกรรมการการเลือกตั้งประกาศกำหนดตามมาตรา ๔๖
ต้องชำระค่าปรับทางปกครองไม่เกิน ๑๐๐,๐๐๐ บาท (มาตรา ๑๒๖)
ข้อ ๖ หัวหน้าพรรคการเมืองผู้ใดไม่เสนองบการเงินที่ผู้สอบบัญชีรับอนุญาตตรวจสอบและ
รับรองแล้วต่อที่ประชุมใหญ่ของพรรคอนุมัติภายในเดือนเมษายนของทุกปี โดยแจ้งให้สมาชิกทราบ
ล่วงหน้า และปิดประกาศไว้ ณ ที่ตั้งสำนักงานของพรรคการเมืองและสาขาพรรคการเมืองไม่น้อยกว่า
๑๕ วันตามมาตรา ๔๗ วรรคหนึ่ง
ต้องชำระค่าปรับทางปกครองไม่เกิน ๕๐,๐๐๐ บาท (มาตรา ๑๒๓)
***ความผิดตามมาตรานี้ ให้มีผลใช้บังคับเมื่อครบ ๑ ปีนับจากวันที่ ๘ ตุลาคม ๒๕๕๐
(วันที่ ๘ ตุลาคม ๒๕๕๑) บทเฉพาะกาล มาตรา ๑๓๓ (๔) ***
ข้อ ๗ หัวหน้าพรรคการเมืองและเหรัญญิกพรรคการเมืองผู้ใดไม่ร่วมกันรับรองความถูกต้อง
ของงบการเงิน ซึ่งที่ประชุมใหญ่อนุมัติแล้ว ส่งให้นายทะเบียนภายใน ๓๐ วันนับแต่วันที่ที่ประชุม
ใหญ่ของพรรคการเมืองอนุมัติ พร้อมทั้งสำเนาบัญชีรายวันแสดงรายได้หรือรายรับ และแสดงค่าใช้จ่าย
หรือรายจ่าย สำเนาบัญชีแสดงรายรับจากการบริจาค สำเนาบัญชีแยกประเภท และสำเนาบัญชีแสดง
สินทรัพย์และหนี้สินของพรรคการเมือง ตามมาตรา ๔๗ วรรคสอง
ต้องชำระค่าปรับทางปกครองไม่เกิน ๕๐,๐๐๐ บาท และต้องชำระค่าปรับอีกไม่เกินวันละ
๕๐๐ บาท ตลอดเวลาที่ยังมิได้ปฏิบัติให้ถูกต้อง (มาตรา ๑๒๔ วรรคหนึ่ง)
ความผิดเกี่ยวกับการจัดตั้งสาขาพรรคการเมืองและสมาชิกพรรคการเมือง
ข้อ ๑ หัวหน้าพรรคการเมืองผู้ใดไม่จัดทำหนังสือแจ้งการจัดตั้งสาขาพรรคการเมืองต่อ
นายทะเบียนภายใน ๑๕ วันนับแต่วันที่จัดตั้งสาขาพรรคการเมืองนั้นตามมาตรา ๓๔ วรรคหนึ่ง
ต้องชำระค่าปรับทางปกครองไม่เกิน ๕๐,๐๐๐ บาท และต้องชำระค่าปรับอีกไม่เกินวันละ
๕๐๐ บาท ตลอดเวลาที่ยังมิได้ปฏิบัติให้ถูกต้อง (มาตรา ๑๒๔ วรรคหนึ่ง)
ข้อ ๒ หัวหน้าพรรคการเมืองผู้ใดไม่จัดส่งรายงานหรือเอกสารเกี่ยวกับการมีมติให้สมาชิก
ผู้ดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสิ้นสุดสมาชิกภาพตามข้อบังคับพรรคการเมือง เพราะ
กระทำ ผิดวินัยหรือจรรยาบรรณอย่างร้ายแรง หรือมีเหตุร้ายแรงอื่นไปยังประธานสภา
ผู้แทนราษฎรและนายทะเบียนภายใน ๗ วันนับแต่วันที่พรรคการเมืองมีมติตามมาตรา ๒๐ วรรคห้า
สำนักกฎหมายและคดี สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง
วันที่ ๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๐
ต้องชำระค่าปรับทางปกครองไม่เกิน ๕๐,๐๐๐ บาท และต้องชำระค่าปรับอีกไม่เกินวันละ
๕๐๐ บาท ตลอดเวลาที่ยังมิได้ปฏิบัติให้ถูกต้อง (มาตรา ๑๒๔ วรรคหนึ่ง)
ข้อ ๓ หัวหน้าพรรคการเมืองผู้ใดไม่แจ้งจำนวนสมาชิกที่เพิ่มขึ้นหรือลดลงพร้อมด้วย
รายชื่อ อาชีพ และที่อยู่ของสมาชิก ตามวิธีการที่นายทะเบียนกำหนดให้นายทะเบียนทราบภายใน
วันที่ ๗ ของทุก ๓ เดือน และสรุปยอดจำนวนสมาชิกที่เพิ่มขึ้นหรือลดลงทั้งหมดในรอบปีให้
นายทะเบียนทราบภายในเดือนมกราคมของทุกปีตามมาตรา ๑๙ วรรคสี่
ต้องชำระค่าปรับทางปกครองไม่เกิน ๕๐,๐๐๐ บาท (มาตรา ๑๒๓)
*หากไม่แจ้งภายในระยะเวลาดังกล่าวและนายทะเบียนสั่งให้แจ้งภายในระยะเวลาที่กำหนด
แล้วยังไม่ปฏิบัติตามคำสั่ง ต้องชำระค่าปรับทางปกครองไม่เกิน ๑๐๐,๐๐๐ บาท และต้องชำระค่าปรับ
อีกไม่เกินวันละ ๑,๐๐๐ บาท ตลอดเวลาที่ยังมิได้ปฏิบัติให้ถูกต้อง (มาตรา ๑๒๔ วรรคสอง)
***ความผิดตามมาตรานี้ ให้มีผลใช้บังคับเมื่อครบ ๑ ปีนับจากวันที่ ๘ ตุลาคม ๒๕๕๐
(วันที่ ๘ ตุลาคม ๒๕๕๑) บทเฉพาะกาล มาตรา ๑๓๓ (๔) ***
ข้อ ๓ ผู้ใดเป็นสมาชิกพรรคการเมืองในขณะเดียวกันเกินกว่า ๑ พรรคตามมาตรา ๒๔
ต้องชำระค่าปรับทางปกครองไม่เกิน ๓,๐๐๐ บาท (มาตรา ๑๒๕)
***ความผิดตามมาตรานี้ ให้มีผลใช้บังคับเมื่อครบ ๑ ปีนับจากวันที่ ๘ ตุลาคม ๒๕๕๐
(วันที่ ๘ ตุลาคม ๒๕๕๑) บทเฉพาะกาล มาตรา ๑๓๓ (๔) ***
***กรณีที่เป็นสมาชิกพรรคเกินกว่า ๑ พรรค ก่อนวันที่ ๘ ตุลาคม ๒๕๕๐ ให้สมาชิก
ภาพของผู้นั้นสิ้นสุดลงทุกพรรคนับแต่วันที่ ๘ ตุลาคม ๒๕๕๐ บทเฉพาะกาล มาตรา ๑๓๗***
ความผิดเกี่ยวกับการจัดสรรเวลาออกอากาศ
ข้อ ๑ ผู้บริหารสูงสุดของสถานีวิทยุกระจายเสียงและสถานีวิทยุโทรทัศน์ของรัฐแห่งใด
ไม่จัดสรรเวลาออกอากาศตามที่นายทะเบียนกำหนดตามมาตรา ๗๙ วรรคสอง
ต้องชำระค่าปรับทางปกครองไม่เกิน ๒๐๐,๐๐๐ บาท และต้องชำระค่าปรับอีกวันละ
๕,๐๐๐ บาท จนกว่าจะปฏิบัติตามที่นายทะเบียนกำหนด (มาตรา ๑๒๙)
มาตรการบังคับทางปกครอง
ให้นำกฎหมายว่าด้วยวิธีปฏิบัติราชการทางปกครองมาใช้บังคับกับการปรับทางปกครอง
โดยให้นายทะเบียนหรือผู้ที่นายทะเบียนมอบหมายเป็นผู้มีอำนาจปรับและบังคับทางปกครอง เงิน
ค่าปรับทางปกครองให้นำส่งกองทุนตามมาตรา ๑๓๒ วรรคหนึ่ง
ให้ดำเนินการยึดหรืออายัดทรัพย์สินของผู้ที่ไม่ชำระค่าปรับทางปกครองตามคำสั่ง โดยให้
เจ้าหน้าที่ของรัฐหรือบุคคลอื่นที่มีหน้าที่ในทางทะเบียนหรือครอบครองทรัพย์สินของผู้ที่ไม่ชำระค่าปรับ
มีหน้าที่ปฏิบัติตามคำสั่งของนายทะเบียนหรือผู้ที่นายทะเบียนมอบหมาย ในกรณีที่เป็นสิทธิเรียกร้อง
สำนักกฎหมายและคดี สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง
วันที่ ๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๐
เป็นเงินที่บุคคลภายนอกต้องจ่ายให้แก่ผู้ไม่ชำระค่าปรับ ให้บุคคลภายนอกชำระเงินให้แก่นายทะเบียน
หรือผู้ที่นายทะเบียนมอบหมายตามมาตรา ๑๓๒ วรรคสอง
การพิจารณาลงโทษตามที่บัญญัติไว้น้อยกว่าที่กำหนด
การกระทำความผิดทางอาญาหรือทางปกครองตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้เป็น
ครั้งแรก ให้ศาลหรือคณะกรรมการการเลือกตั้ง แล้วแต่กรณีพิจารณาโทษทางอาญาหรือทาง
ปกครองตามที่พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้กำหนดให้การกระทำนั้นเป็นความผิดขึ้นใหม่
โดยคำนึงถึงความร้ายแรงและพฤติการณ์ของการกระทำความผิด ผลของการกระทำความผิดและ
เหตุสมควรอื่น โดยให้ศาลหรือคณะกรรมการการเลือกตั้งลงโทษทางอาญาหรือทางปกครองตามที่
บัญญัติไว้ในหมวดนี้น้อยกว่าที่กำหนดเพียงใดก็ได้ ตามบทเฉพาะกาล มาตรา ๑๓๔
การเป็นผู้เสียหายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
นายทะเบียนเป็นผู้เสียหายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาและกฎหมายอื่น และ
ให้ได้รับยกเว้นค่าฤชาธรรมเนียมทั้งปวงตามมาตรา ๗ วรรคสอง
** หมายเหตุ ประโยชน์อื่นใดอันอาจคำนวณเป็นเงินได้ หมายความรวมถึง (มาตรา ๔ วรรคห้า)
(๑) การปลดหนี้ หรือการลดหนี้ให้เปล่า
(๒) การให้ยืมโดยไม่คิดดอกเบี้ย
(๓) การเข้าค้ำประกันโดยไม่คิดค่าธรรมเนียม
(๔) การให้ใช้สถานที่ ยานพาหนะ หรือทรัพย์สิน โดยไม่คิดค่าเช่าหรือค่าบริการ
หรือคิดน้อยกว่าที่คิดกับบุคคลอื่น โดยปกติทางการค้า
(๕) การให้ใช้บุคลากร ซึ่งมิใช่ลูกจ้างหรือผู้รับจ้าง โดยไม่ต้องชำระค่าจ้างหรือสินจ้าง
หรือต้องชำระเพียงบางส่วน เว้นแต่การเป็นอาสาสมัครนอกเวลาการทำงานโดยปกติของผู้นั้น
(๖) การให้ใช้บริการโดยไม่คิดค่าบริการ หรือคิดน้อยกว่าที่คิดกับบุคคลอื่น โดยปกติทางการค้า
(๗) การให้ส่วนลดในสินค้าหรือทรัพย์สินที่จำหน่าย มากกว่าที่ให้กับบุคคลอื่น โดยปกติทางการค้า
(๘) การให้เดินทางหรือให้ขนส่งบุคคลหรือสิ่งของโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย หรือคิดน้อย
กว่าบุคคลอื่น โดยปกติทางการค้า
(๙) การจัดเลี้ยง การจัดมหรสพ หรือการบันเทิงอื่นให้โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย หรือคิด
น้อยกว่าที่คิดกับบุคคลอื่น โดยปกติทางการค้า
(๑๐) การใช้บริการวิชาชีพอิสระ เช่น แพทย์ ทันตแพทย์ พยาบาล สถาปนิก วิศวกร
กฎหมาย หรือบัญชี โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย หรือคิดน้อยกว่าที่คิดกับบุคคลอื่น โดยปกติทางการค้า
(๑๑) การอื่น ซึ่งเป็นการกระทำที่ทำให้ได้ประโยชน์อื่นใดอันอาจคำนวณเป็นเงินได้
หรือไม่ต้องออกค่าใช้จ่ายซึ่งโดยปกติต้องจ่าย
สำนักกฎหมายและคดี สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง
วันที่ ๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๐
การดำเนินการตาม (๕) (๖) (๗) (๘) (๙) หรือ (๑๐) ซึ่งจัดให้แก่สมาชิกและมิได้
เป็นไปเพื่อการหาเสียง มิให้ถือว่าเป็นประโยชน์อื่นใดอันอาจคำนวณเป็นเงินได้ตามพระราชบัญญัติ
ฉบับนี้ (มาตรา ๔ วรรคหก)
------------------------------------
--คณะกรรมการการเลือกตั้ง-
วันที่ ๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๐
สรุปการกระทำที่บัญญัติเป็นความผิดและกำหนดโทษตาม
พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง พ.ศ. ๒๕๕๐
----------------------------------------
ข้อ ๑ ผู้ใดขัดขวางการปฏิบัติงานของคณะกรรมการการเลือกตั้ง กรรมการการเลือกตั้ง
คณะกรรมการการเลือกตั้งประจำจังหวัด กรรมการการเลือกตั้งประจำจังหวัด ผู้อำนวยการการเลือกตั้ง
ประจำจังหวัด คณะอนุกรรมการหรืออนุกรรมการ ในการปฏิบัติงานตามพระราชบัญญัติประกอบ
รัฐธรรมนูญนี้
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน ๑ ปี หรือปรับไม่เกิน ๒๐,๐๐๐ บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา ๔๓ วรรคหนึ่ง)
กรณีการขัดขวางการปฏิบัติงานดังกล่าว ได้กระทำโดยใช้กำลังประทุษร้ายหรือขู่เข็ญว่าจะ
ใช้กำลังประทุษร้าย
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน ๒ ปี หรือปรับไม่เกิน ๔๐,๐๐๐ บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา ๔๓ วรรคสอง)
ข้อ ๒ ผู้ใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของคณะกรรมการการเลือกตั้ง กรณีที่ให้เจ้าหน้าที่
ของหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือราชการส่วนท้องถิ่น เจ้าหน้าที่ของรัฐ พนักงาน
อัยการ พนักงานสอบสวน หรือบุคคลใด มีหนังสือชี้แจงข้อเท็จจริง หรือมาให้ถ้อยคำ หรือส่งเอกสาร
หลักฐาน หรือพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้อง ภายในระยะเวลาที่คณะกรรมการการเลือกตั้งกำหนดตาม
มาตรา ๒๖ (๒) และ (๓)
ต้องระวางโทษ จำคุกไม่เกิน ๖ เดือน หรือปรับไม่เกิน ๑๐,๐๐๐ บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ (มาตรา ๔๔)
ข้อ ๓ กรรมการการเลือกตั้ง กรรมการการเลือกตั้งประจำจังหวัด ผู้อำนวยการการเลือกตั้ง
ประจำจังหวัด และอนุกรรมการ ผู้ใดกระทำอันมิชอบด้วยหน้าที่เพื่อเป็นคุณหรือเป็นโทษแก่ผู้สมัคร
หรือพรรคการเมืองใดในการเลือกตั้ง หรือกระทำการหรือละเว้นกระทำการโดยทุจริตหรือ
ประพฤติมิชอบในการปฏิบัติหน้าที่ในการดำเนินการเกี่ยวกับการเลือกตั้งหรือการออกเสียง
ประชามติตามมาตรา ๒๙ วรรคหนึ่ง
ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ ๑ — ๑๐ ปี และปรับตั้งแต่ ๒๐,๐๐๐ — ๒๐๐,๐๐๐ บาท และให้
ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งมีกำหนด ๑๐ ปี (มาตรา ๔๕)
**ในกรณีที่ผู้ใดได้กระทำการตามหน้าที่โดยสุจริต ย่อมได้รับความคุ้มครองไม่ต้องรับผิดทั้ง
ทางแพ่ง ทางอาญา หรือทางปกครอง (มาตรา ๒๙ วรรคสอง)
การกระทำผิดที่มีโทษทางอาญา
สำนักกฎหมายและคดี สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง
วันที่ ๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๐
ข้อ ๑ ข้าราชการ พนักงาน หรือลูกจ้างของหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือ
ราชการส่วนท้องถิ่น หรือเจ้าหน้าที่อื่นของรัฐ ผู้ใดไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของคณะกรรมการการเลือกตั้ง
โดยไม่มีเหตุอันสมควร กรณีที่สั่งให้ปฏิบัติการทั้งหลายอันจำเป็นตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ
ว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พระราชบัญญัติประกอบ
รัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการออกเสียงประชามติ
และกฎหมายว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นตามมาตรา ๑๐ (๘)
ให้ถือว่าผู้นั้นกระทำผิดวินัยและให้คณะกรรมการการเลือกตั้งส่งเรื่องให้ผู้มีอำนาจ
ดำเนินการทางวินัยของผู้นั้น ดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ และแจ้งให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง
ทราบ (มาตรา ๒๐ วรรคสอง)
ข้อ ๒ ข้าราชการ พนักงาน หรือลูกจ้าง ผู้ใดไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของคณะกรรมการการ
เลือกตั้งโดยไม่มีเหตุอันสมควร กรณีที่สั่งให้หน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือราชการ
ส่วนท้องถิ่น ดำเนินการในเรื่องใดเรื่องหนึ่งตามอำนาจหน้าที่ หรือให้หน่วยงานดังกล่าวมีคำสั่งให้
ข้าราชการ พนักงาน หรือลูกจ้างของหน่วยงานตน ปฏิบัติการอันจำเป็นเกี่ยวกับการเลือกตั้ง การสนับสนุน
การสรรหาสมาชิกวุฒิสภา หรือการออกเสียงประชามติ ได้ตามที่เห็นสมควรตามมาตรา ๒๐
ให้ถือว่าผู้นั้นกระทำผิดวินัยและให้คณะกรรมการการเลือกตั้งส่งเรื่องให้ผู้มีอำนาจ
ดำเนินการทางวินัยของผู้นั้น ดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ และแจ้งให้คณะกรรมการการเลือกตั้งทราบ
(มาตรา ๒๐ วรรคสอง)
ข้อ ๓ กรณีที่การไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของคณะกรรมการการเลือกตั้งดังกล่าวตามข้อ ๑ และข้อ ๒ นั้น
หากเป็นผลให้เกิดความเสียหายแก่การดำเนินการเลือกตั้ง การสนับสนุนการสรรหาสมาชิกวุฒิสภา
หรือการออกเสียงประชามติ ให้ถือว่าเป็นการกระทำความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรงตามมาตรา ๒๐
วรรคสาม
การเป็นผู้เสียหายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
ในกรณีที่คณะกรรมการการเลือกตั้งเห็นว่าผู้ใดกระทำความผิดตาม พระราชบัญญัติประกอบ
รัฐธรรมนูญนี้ พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและ
การได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พระราชบัญญัติ
ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการออกเสียงประชามติ หรือกฎหมายว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภา
ท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น ให้มีอำนาจแจ้งพนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจตามประมวลกฎหมายวิธี
พิจารณาความอาญาเพื่อดำเนินการสืบสวนสอบสวน หรือแจ้งพนักงานสอบสวนเพื่อดำเนินการ
การกระทำผิดของเจ้าหน้าที่ของรัฐที่มีโทษทางวินัย
สำนักกฎหมายและคดี สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง
วันที่ ๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๐
สอบสวนและให้มีอำนาจฟ้องคดีต่อศาลทั้งในทางแพ่ง ทางอาญา หรือทางปกครอง โดยให้ถือว่า
คณะกรรมการการเลือกตั้งเป็นผู้เสียหายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาและกฎหมายอื่น
และให้ได้รับยกเว้นค่าฤชาธรรมเนียมทั้งปวงตามมาตรา ๒๑ วรรคหนึ่ง
ในกรณีที่คณะกรรมการการเลือกตั้งจะต้องดำเนินคดีในศาล คณะกรรมการการเลือกตั้งอาจ
มอบหมายให้กรรมการการเลือกตั้งคนใดคนหนึ่ง เลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง พนักงานของ
สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง พนักงานอัยการหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ ดำเนินการแทนได้ และให้
พนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจ พนักงานสอบสวนหรือพนักงานอัยการ อำนวยความสะดวกและ
เร่งรัดให้การดำเนินคดีเสร็จสิ้นไปโดยเร็ว (มาตรา ๒๑ วรรคสอง)
----------------------------------------
สำนักกฎหมายและคดี สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง
วันที่ ๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๐
สรุปการกระทำที่บัญญัติเป็นความผิดและกำหนดโทษในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
และการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. ๒๕๕๐
---------------------------------------
การกระทำที่เป็นความผิดเกี่ยวกับวิธีการหาเสียง
ข้อ ๑ ผู้สมัครหรือผู้ใดกระทำการอย่างใดอย่างหนึ่งเพื่อจูงใจให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งลงคะแนน
เลือกตั้งให้แก่ตนเองหรือผู้สมัครอื่นหรือพรรคการเมืองใด หรือให้งดเว้นการลงคะแนนให้แก่ผู้สมัคร
หรือ พรรคการเมืองใด ด้วยวิธีการตามที่กำหนดไว้ในในมาตรา ๕๓ วรรคหนึ่ง กล่าวคือ
(๑) จัดทำ ให้ เสนอให้ สัญญาว่าจะให้ หรือจัดเตรียมเพื่อจะให้ทรัพย์สินหรือผลประโยชน์
อื่นใดอันอาจคำนวณเป็นเงินได้แก่ผู้ใด
(๒) ให้ เสนอให้ หรือสัญญาว่าจะให้เงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดไม่ว่าจะโดยตรง
หรือโดยอ้อม แก่ชุมชน สมาคม มูลนิธิ วัด สถาบันการศึกษา สถานสงเคราะห์ หรือสถาบันอื่นใด
(๓) ทำการโฆษณาหาเสียงด้วยการจัดให้มีมหรสพหรือการรื่นเริงต่างๆ
(๔) เลี้ยงหรือรับจะจัดเลี้ยงผู้ใด
(๕) หลอกลวง บังคับ ขู่เข็ญ ใช้อิทธิพลคุกคาม ใส่ร้ายด้วยความเท็จ หรือจูงใจให้เข้าใจผิด
ในคะแนนนิยมของผู้สมัครหรือพรรคการเมืองใด
ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ ๑ - ๑๐ ปี และปรับตั้งแต่ ๒๐,๐๐๐ - ๒๐๐,๐๐๐ บาท และให้ศาล
สั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งมีกำหนด ๑๐ ปี (มาตรา ๑๓๗)
** หมายเหตุ
๑. ผู้สมัครหรือผู้ใดกระทำความผิดตาม (๑) หรือ (๒) ให้ถือว่าเป็นความผิดมูลฐานตาม
กฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน และให้คณะกรรมการการเลือกตั้งมีอำนาจส่งเรื่อง
ให้สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ได้ตามมาตรา ๕๓ วรรคสอง
๒. ความผิดฐานนี้ เมื่อศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุดให้ลงโทษผู้กระทำการฝ่าฝืนให้ศาลสั่ง
จ่ายสินบนนำจับไม่เกินกึ่งหนึ่งจากจำนวนเงินค่าปรับแก่ผู้แจ้งความนำจับตามมาตรา ๑๓๗ วรรคสอง
ข้อ ๒ ผู้ใดดำเนินการหรือยินยอมย้ายบุคคลเข้ามาในทะเบียนบ้านของตน เพื่อประโยชน์ใน
การเลือกตั้งโดยมิชอบ กรณีใดกรณีหนึ่งตามมาตรา ๓๓ กล่าวคือ
(๑) ย้ายบุคคลตั้งแต่ ๑๐ คนขึ้นไปที่ไม่มีชื่อสกุลเดียวกับเจ้าบ้านเพื่อให้มีสิทธิเลือกตั้งที่จะมี
ขึ้นภายใน ๒ ปี นับแต่วันที่ย้ายเข้ามาในทะเบียนบ้าน
(๒) ย้ายเข้าทะเบียนบ้านโดยมิได้อยู่อาศัยจริง
(๓) ย้ายเข้าทะเบียนบ้านโดยมิได้รับความยินยอมจากเจ้าบ้าน
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน ๒ ปี หรือปรับไม่เกิน ๔๐,๐๐๐ บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ (มาตรา ๑๓๘)
การกระทำผิดที่มีโทษทางอาญา
สำนักกฎหมายและคดี สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง
วันที่ ๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๐
ข้อ ๓ ผู้ใดจัดยานพาหนะนำผู้มีสิทธิเลือกตั้งไปยังที่เลือกตั้งเพื่อการเลือกตั้งหรือนำกลับไป
จากที่เลือกตั้งโดยไม่ต้องเสียค่าโดยสารหรือค่าจ้างซึ่งต้องเสียตามปกติ หรือจัดให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้ง
ไปยังที่เลือกตั้ง หรือกลับจากที่เลือกตั้งเพื่อจูงใจหรือควบคุมให้ไปลงคะแนนให้แก่ผู้สมัครหรือพรรค
การเมืองใดตามมาตรา ๕๕ วรรคหนึ่ง
ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ ๑ - ๕ ปี หรือปรับตั้งแต่ ๒๐,๐๐๐ — ๑๐๐,๐๐๐ บาท หรือทั้งจำทั้ง
ปรับ และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งมีกำหนด ๕ ปี (มาตรา ๑๔๕)
** หมายเหตุ
๑. ให้หมายความรวมถึงการกระทำความผิดในกรณีที่มีการลงคะแนนเลือกตั้งก่อนวัน
เลือกตั้งและการลงคะแนนเลือกตั้งนอกเขตเลือกตั้งด้วยตามมาตรา ๕๕ วรรคสอง
๒. ยกเว้นกรณีหน่วยงานของรัฐเป็นผู้จัดเพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้มีสิทธิเลือกตั้ง
(มาตรา ๕๕ วรรคสาม)
ข้อ ๔ ผู้ใดทำการโฆษณาหาเสียงเลือกตั้งวิธีการใดๆ ไม่ว่าจะเป็นคุณหรือเป็นโทษแก่ผู้สมัคร
หรือพรรคการเมืองใด นับตั้งแต่เวลา ๑๘.๐๐ นาฬิกา ของวันก่อนวันเลือกตั้งหนึ่งวันจนสิ้นสุดวัน
เลือกตั้งตามมาตรา ๕๘
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน ๖ เดือน หรือปรับไม่เกิน ๑๐,๐๐๐ บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา ๑๔๗)
ข้อ ๕ ผู้สมัคร พรรคการเมือง หรือผู้ใดปิดประกาศหรือติดแผ่นป้ายเกี่ยวกับการเลือกตั้งใน
สาธารณสถานซึ่งเป็นของรัฐ นอกเหนือจากที่คณะกรรมการการเลือกตั้งกำหนดให้รัฐสนับสนุน
หรือในที่ของเอกชน หรือโฆษณาหาเสียงเลือกตั้งทางวิทยุกระจายเสียงหรือวิทยุโทรทัศน์
นอกเหนือจากที่คณะกรรมการการเลือกตั้งกำ หนดให้รัฐสนับสนุน หรือกระทำ กิจการอื่น
นอกเหนือจากที่คณะกรรมการการเลือกตั้งกำหนดให้รัฐสนับสนุนตามตามมาตรา ๖๐ วรรคหนึ่ง
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน ๖ เดือน หรือปรับไม่เกิน ๑๐,๐๐๐ บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา ๑๔๗)
ข้อ ๖ ผู้สมัคร พรรคการเมือง หรือผู้ใดปิดประกาศหรือติดแผ่นป้ายเกี่ยวกับการเลือกตั้งที่มี
ขนาดหรือจำนวนไม่เป็นไปตามที่คณะกรรมการการเลือกตั้งกำหนดตามมาตรา ๖๐ วรรคสอง
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน ๖ เดือน หรือปรับไม่เกิน ๑๐,๐๐๐ บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา ๑๔๗)
ข้อ ๗ ผู้ใดรู้อยู่แล้วว่าตนเป็นผู้ไม่มีสิทธิเลือกตั้งหรือไม่มีสิทธิลงคะแนนเลือกตั้งในหน่วย
เลือกตั้งนั้น พยายามลงคะแนนเลือกตั้งหรือลงคะแนนเลือกตั้ง โดยแสดงบัตรของผู้อื่นหรือบัตรที่
ปลอมแปลงขึ้นต่อกรรมการประจำหน่วยเพื่อลงคะแนนเลือกตั้งตามมาตรา ๗๐
ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ ๑ - ๑๐ ปี และปรับตั้งแต่ ๒๐,๐๐๐ - ๒๐๐,๐๐๐ บาท และให้ศาล
สั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งมีกำหนด ๑๐ ปี (มาตรา ๑๓๗)
สำนักกฎหมายและคดี สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง
วันที่ ๘ พฤศจิกายน
ข้อ ๘ ผู้ใดกระทำการโดยไม่มีอำนาจโดยชอบด้วยกฎหมาย เพื่อมิให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งสามารถ
ใช้สิทธิได้ หรือขัดขวางหรือหน่วยเหนี่ยวมิให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งไป ณ ที่เลือกตั้ง หรือเข้าไป ณ ที่ลงคะแนน
เลือกตั้ง หรือมิให้ไปถึง ณ ที่ดังกล่าวภายในกำหนดเวลาที่จะลงคะแนนเลือกตั้งได้ตามมาตรา ๗๖
ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ ๑ - ๕ ปี หรือปรับตั้งแต่ ๒๐,๐๐๐ - ๑๐๐,๐๐๐ บาท หรือทั้งจำทั้ง
ปรับ และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งมีกำหนด ๕ ปี (มาตรา ๑๕๒)
ข้อ ๙ ผู้ใดกระทำการใดให้บุคคลอื่นล่วงรู้ข้อมูลรายงานทางธุรกรรมทางการเงินของบุคคล
ที่น่าจะเกี่ยวข้องกับการเลือกตั้งที่คณะกรรมการการเลือกตั้งได้รับแจ้งจากสำนักงานป้องกันและ
ปราบปรามการฟอกเงินหรือสถาบันการเงิน โดยมิใช่เป็นการปฏิบัติการตามอำนาจหน้าที่หรือตาม
กฎหมายตามมาตรา ๑๑๒ (๒)
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน ๑ ปี หรือปรับไม่เกิน ๒๐,๐๐๐ บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ (มาตรา
๑๕๔ วรรคสอง)
ข้อ ๑๐ ผู้ใดกระทำการอันเป็นเท็จเพื่อให้ผู้อื่นเข้าใจผิดว่าผู้สมัครผู้ใดกระทำการฝ่าฝืน
หรือไม่ปฏิบัติตาม พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ตามมาตรา ๑๔๐ วรรคหนึ่ง
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน ๒ ปี หรือปรับ ไม่เกิน ๔๐,๐๐๐ บาท และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิ
เลือกตั้งมีกำหนด ๕ ปี (มาตรา ๑๔๐ วรรคหนึ่ง)
กรณีเพื่อแกล้งให้ผู้สมัครนั้นถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งหรือไม่ให้มีการประกาศผลการ
เลือกตั้ง ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ ๕ - ๑๐ ปี และปรับตั้งแต่ ๑๐๐,๐๐๐ - ๒๐๐,๐๐๐ บาท และให้
ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งมีกำหนด ๑๐ ปี (มาตรา ๑๔๐ วรรคสอง)
กรณีเป็นการแจ้งหรือให้ถ้อยคำต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง ต้องระวางโทษจำคุก
ตั้งแต่ ๗ - ๑๐ ปี และปรับตั้งแต่ ๑๔๐,๐๐๐ - ๒๐๐,๐๐๐ บาท และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งมี
กำหนด ๒๐ ปี (มาตรา ๑๔๐ วรรคสาม)
ข้อ ๑๑ ผู้ใดเปิดเผยหรือเผยแพร่ผลการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับการ
ลงคะแนนเลือกตั้งในระหว่างเวลา ๗ วันก่อนวันเลือกตั้งจนถึงเวลาปิดลงคะแนนเลือกตั้งตาม
มาตรา ๑๕๐
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน ๓ เดือน หรือปรับไม่เกิน ๖,๐๐๐ บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ (มาตรา ๑๕๐)
ข้อ ๑๒ ผู้ใดขาย จำหน่าย จ่ายแจก หรือจัดเลี้ยงสุราทุกชนิด ในเขตเลือกตั้งในระหว่าง
เวลา ๑๘.๐๐ นาฬิกา ของวันก่อนวันเลือกตั้งหนึ่งวันจนสิ้นสุดวันเลือกตั้งตามมาตรา ๑๕๕
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน ๖ เดือน หรือปรับไม่เกิน ๑๐,๐๐๐ บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ (มาตรา ๑๕๕)
** ให้ใช้บังคับกับวันลงคะแนนเลือกตั้งล่วงหน้าด้วยตามมาตรา ๑๕๕ วรรคสอง
ข้อ ๑๓ ผู้ใดเล่นหรือจัดให้เล่นการพนันขันต่อใดๆ เกี่ยวกับผลการเลือกตั้งตามมาตรา ๑๕๖
ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ ๑ - ๕ ปี หรือปรับตั้งแต่ ๒๐,๐๐๐ - ๑๐๐,๐๐๐ บาท หรือทั้งจำ
ทั้งปรับ และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งมีกำหนด ๕ ปี (มาตรา ๑๕๖)
สำนักกฎหมายและคดี สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง
วันที่ ๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๐
การกระทำที่เป็นความผิดเกี่ยวกับบัตรและหีบบัตรเลือกตั้ง
ข้อ ๑ ผู้ใดจงใจทำเครื่องหมายเพื่อเป็นที่สังเกตโดยวิธีใดไว้ที่บัตรเลือกตั้งตามมาตรา ๗๒
ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ ๑ - ๕ ปี หรือปรับตั้งแต่ ๒๐,๐๐๐ - ๑๐๐,๐๐๐ บาท หรือทั้งจำทั้ง
ปรับ และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งมีกำหนด ๕ ปี (มาตรา ๑๕๒)
ข้อ ๒ ผู้ใดนำบัตรเลือกตั้งใส่ในหีบบัตรเลือกตั้ง โดยไม่มีอำนาจโดยชอบด้วยกฎหมาย หรือ
กระทำการใดในบัญชีรายชื่อผู้มีสิทธิเลือกตั้งเพื่อแสดงว่ามีผู้มาแสดงตนเพื่อลงคะแนนเลือกตั้งโดยผิดไป
จากความจริง หรือกระทำการอันใดอันเป็นเหตุให้มีบัตรเลือกตั้งเพิ่มขึ้นจากความเป็นจริงตามมาตรา ๗๔
ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ ๑ - ๕ ปี หรือปรับตั้งแต่ ๒๐,๐๐๐ - ๑๐๐,๐๐๐ บาท หรือทั้งจำ
ทั้งปรับ และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งมีกำหนด ๕ ปี (มาตรา ๑๕๒)
ข้อ ๓ ผู้ใดนำบัตรเลือกตั้งที่ลงคะแนนเลือกตั้งแล้วแสดงต่อผู้อื่น เพื่อให้ผู้อื่นทราบว่าได้
ลงคะแนนหรือไม่ลงคะแนนให้ผู้ใด โดยไม่มีอำนาจโดยชอบด้วยกฎหมายตามมาตรา ๗๕
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน ๑ ปี หรือปรับไม่เกิน ๒๐,๐๐๐ บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ (มาตรา ๑๕๓)
ข้อ ๔ ผู้ใดเปิดทำลาย ทำให้เสียหาย ทำให้เปลี่ยนสภาพ หรือทำให้ไร้ประโยชน์ หรือนำไปซึ่ง
หีบบัตรเลือกตั้ง หรือบัตรเลือกตั้ง หรือเอกสารหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับการเลือกตั้งที่คณะกรรมการ
ประจำหน่วยเลือกตั้งได้จัดทำไว้ โดยไม่มีอำนาจโดยชอบด้วยกฎหมาย ในช่วงตั้งแต่เวลาที่ได้เปิด
และปิดหีบบัตรเลือกตั้งที่ตั้งไว้เพื่อการลงคะแนนเลือกตั้งหรือภายหลังที่ได้ปิดหีบบัตรเลือกตั้งนั้นเพื่อ
รักษาไว้เมื่อการเลือกตั้งได้เสร็จสิ้นแล้วตามมาตรา ๘๐
ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ ๑ - ๑๐ ปี และปรับตั้งแต่ ๒๐,๐๐๐ - ๒๐๐,๐๐๐ บาท และให้ศาล
สั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งมีกำหนด ๑๐ ปี (มาตรา ๑๕๑)
ข้อ ๕ ผู้ใดจงใจกระทำด้วยประการใดๆ ให้บัตรเลือกตั้งชำรุดหรือเสียหายหรือให้เป็นบัตร
เสียหรือกระทำการด้วยประการใดแก่บัตรเสียเพื่อให้เป็นบัตรใช้ได้ตามมาตรา ๑๔๘ วรรคหนึ่ง
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน ๑ ปี และปรับไม่เกิน ๒๐,๐๐๐ บาท และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิ
เลือกตั้งมีกำหนด ๕ ปี (มาตรา ๑๔๘ วรรคหนึ่ง)
**กรณีที่การกระทำผิดตามข้อ ๕ นั้น เจ้าพนักงานผู้ดำเนินการเลือกตั้งเป็นผู้กระทำผิดเอง
ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ ๑ — ๑๐ ปี และปรับตั้งแต่ ๒๐,๐๐๐ — ๒๐๐,๐๐๐ บาท และให้ศาลสั่งเพิก
ถอนสิทธิเลือกตั้งมีกำหนด ๑๐ ปี (มาตรา ๑๔๘ วรรสอง)
การกระทำที่เป็นความผิดเกี่ยวกับการฝ่าฝืนคำสั่งของคณะกรรมการการเลือกตั้ง
ข้อ ๑ ผู้ใดฝ่าฝืนคำสั่งที่คณะกรรมการการเลือกตั้งสั่งให้ผู้นั้นระงับการกระทำการใดๆ เพื่อ
ประโยชน์แก่ผู้สมัครหรือพรรคการเมืองใด อันอาจทำให้การเลือกตั้งมิได้เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยง
ธรรม หรือคำสั่งให้แก้ไขการกระทำการดังกล่าวตามเงื่อนไขและระยะเวลาที่กำหนดตามมาตรา ๑๐๖
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน ๑ ปี หรือปรับไม่เกิน ๒๐,๐๐๐ บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ (มาตรา ๑๕๔)
สำนักกฎหมายและคดี สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง
วันที่ ๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๐
ข้อ ๒ ผู้ใดฝ่าฝืนคำสั่งยึดหรืออายัดเงินหรือทรัพย์สิน ซึ่งคณะกรรมการการเลือกตั้งมีคำสั่ง
ในกรณีมีหลักฐานอันควรเชื่อว่าในระหว่างระยะเวลา ๙๐ วันก่อนวันครบอายุสภาจนถึงวันเลือกตั้ง
กรณีการเลือกตั้งทั่วไป หรือตั้งแต่วันที่มีประกาศพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งกรณีการเลือกตั้ง
เพราะเหตุอื่นนอกจากการครบวาระอายุสภามีผู้ใดให้ เสนอให้ หรือสัญญาว่าจะให้เงินหรือทรัพย์สิน
เพื่อประโยชน์ในการจูงใจให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งลงคะแนนหรืองดเว้นลงคะแนนเลือกตั้งให้แก่ผู้สมัคร
หรือพรรคการเมืองใด หรือจัดเตรียมเงินหรือทรัพย์สินเพื่อดำเนินการดังกล่าวตามมาตรา ๑๐๗
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน ๖ เดือน หรือปรับไม่เกิน ๑๐,๐๐๐ บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา ๑๔๗)
ข้อ ๓ ผู้ใดฝ่าฝืนหรือขัดขวางการเข้าไปในเคหสถาน สถานที่ หรือยานพาหนะใดๆ เพื่อตรวจ
ค้น ยึด หรืออายัดเอกสาร ทรัพย์สิน หรือพยานหลักฐานใดๆ ของคณะกรรมการการเลือกตั้งหรือผู้ซึ่ง
ได้รับมอบหมาย เพื่อประโยชน์ในการสืบสวนสอบสวนเพื่อหาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการเลือกตั้งและ
ป้องกันมิให้การเลือกตั้งมิได้เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรมตามมาตรา ๑๑๒ (๑)
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน ๑ ปี หรือปรับไม่เกิน ๒๐,๐๐๐ บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ (มาตรา ๑๕๔)
การกระทำที่เป็นความผิดเกี่ยวกับการเรียกรับผลประโยชน์
ข้อ ๑ ผู้ใดหรือพรรคการเมืองใดเรียกหรือรับทรัพย์สิน หรือผลประโยชน์อื่นใดเพื่อลงสมัคร
หรือไม่ลงสมัครอันก่อให้เกิดประโยชน์แก่ผู้สมัครอื่นหรือพรรคการเมืองอื่นในการเลือกตั้ง และทำให้
การเลือกตั้งมิได้เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรมตามมาตรา ๕๔ วรรคหนึ่ง
ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ ๑ - ๑๐ ปี หรือปรับ ตั้งแต่ ๒๐,๐๐๐ — ๒๐๐,๐๐๐ บาท หรือทั้งจำ
ทั้งปรับ และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งมีกำหนด ๑๐ ปี (มาตรา ๑๔๔ วรรคหนึ่ง)
ข้อ ๒ ผู้มีสิทธิเลือกตั้งผู้ใดเรียก รับ หรือยอมจะรับเงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดสำหรับ
ตนเองหรือผู้อื่น เพื่อลงคะแนนเลือกตั้งหรืองดเว้นไม่ลงคะแนนให้แก่ผู้สมัครหรือพรรคการเมืองใด
ตามมาตรา ๗๗
ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ ๑ - ๕ ปี หรือปรับตั้งแต่ ๒๐,๐๐๐ - ๑๐๐,๐๐๐ บาท หรือทั้งจำทั้ง
ปรับ และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งมีกำหนด ๕ ปี (มาตรา ๑๕๒)
** กรณีรับหรือยอมจะรับแต่ได้แจ้งเหตุต่อคณะกรรมการการเลือกตั้งหรือผู้ที่ได้รับมอบหมาย
ก่อนหรือในวันเลือกตั้ง หรือภายหลังวันเลือกตั้งไม่เกิน ๗ วัน ไม่ต้องรับโทษและไม่ต้องถูก
เพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง (มาตรา ๑๕๒ วรรคสอง)
การกระทำที่เป็นความผิดของกรรมการและเจ้าพนักงานผู้ดำเนินการเลือกตั้ง
ข้อ ๑ กรรมการเลือกตั้ง เลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง ผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำ
จังหวัด กรรมการการเลือกตั้งประจำจังหวัด ผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำเขตเลือกตั้ง ผู้อำนวยการ
ประจำหน่วยเลือกตั้ง กรรมการประจำหน่วยเลือกตั้ง เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย หรือผู้ที่ได้รับ
สำนักกฎหมายและคดี สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง
วันที่ ๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๐
แต่งตั้งให้ช่วยเหลือการปฏิบัติงานในการเลือกตั้ง ผู้ใดจงใจไม่ปฏิบัติตามหน้าที่ ทุจริตต่อหน้าที่ หรือ
กระทำการอื่นใด เพื่อขัดขวางมิให้เป็นไปตามกฎหมาย ประกาศ ระเบียบ หรือคำสั่งของคณะกรรมการ
การเลือกตั้ง หรือคำสั่งของศาลอันเกี่ยวกับการเลือกตั้งตามมาตรา ๒๐ วรรคหนึ่ง
ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ ๑ - ๑๐ ปี และปรับตั้งแต่ ๒๐,๐๐๐ - ๒๐๐,๐๐๐ บาท และให้ศาล
สั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งมีกำหนด ๑๐ ปี (มาตรา ๑๓๗)
ข้อ ๒ เจ้าพนักงานผู้ดำเนินการเลือกตั้งจงใจกระทำด้วยประการใดๆ ให้บัตรเลือกตั้งชำรุด
หรือเสียหายหรือให้เป็นบัตรเสีย หรือกระทำการด้วยประการใดแก่บัตรเสียเพื่อให้เป็นบัตรใช้ได้
ตามมาตรา ๑๔๘ วรรคหนึ่ง
ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ ๑ - ๑๐ ปี และปรับตั้งแต่ ๒๐,๐๐๐ — ๒๐๐,๐๐๐ บาท และให้ศาล
สั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งมีกำหนด ๑๐ ปี (มาตรา ๑๔๘ วรรคสอง)
ข้อ ๓ เจ้าหน้าที่ของรัฐใช้ตำแหน่งหน้าที่โดยมิชอบด้วยกฎหมาย กระทำการใดๆ เพื่อเป็น
คุณหรือเป็นโทษแก่ผู้สมัครหรือพรรคการเมืองตามมาตรา ๕๗ วรรคหนึ่ง
ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ ๑ - ๑๐ ปี และปรับตั้งแต่ ๒๐,๐๐๐ - ๒๐๐,๐๐๐ บาท และให้ศาล
สั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งมีกำหนด ๑๐ ปี (มาตรา ๑๓๗)
** ตามมาตรา ๕๗ วรรคสอง กำหนดบทยกเว้นไว้ว่า การใช้ตำแหน่งหน้าที่โดยมิชอบด้วย
กฎหมาย มิให้หมายความรวมถึง
- การปฏิบัติหน้าที่ตามปกติที่พึงต้องปฏิบัติในตำแหน่งเจ้าหน้าที่ของรัฐนั้น
- การแนะนำหรือช่วยเหลือในการดำเนินการที่เกี่ยวข้องกับการเลือกตั้งของผู้สมัครหรือ
พรรคการเมือง โดยมิได้เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติหน้าที่ แม้ว่าการกระทำจะเป็นคุณหรือเป็นโทษแก่
ผู้สมัครหรือพรรคการเมืองใด
ข้อ ๔ กรรมการประจำหน่วยเลือกตั้งจงใจนับบัตรเลือกตั้งหรือคะแนนเลือกตั้งให้ผิดไป
จากความจริง หรือรวมคะแนนเลือกตั้งให้ผิดไปจากความจริง หรือกระทำการด้วยประการใดโดย
มิได้มีอำนาจกระทำโดยชอบด้วยกฎหมาย ให้บัตรเลือกตั้งชำรุดหรือเสียหายหรือให้เป็นบัตรเสียหรือ
กระทำการด้วยประการใดแก่บัตรเสียเพื่อให้เป็นบัตรที่ใช้ได้หรืออ่านบัตรเลือกตั้งให้ผิดไปจากความ
จริงหรือทำรายงานการเลือกตั้งไม่ตรงความเป็นจริงตามมาตรา ๘๓
ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ ๑ - ๑๐ ปี และปรับตั้งแต่ ๒๐,๐๐๐ - ๒๐๐,๐๐๐ บาท และให้ศาล
สั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งมีกำหนด ๑๐ ปี (มาตรา ๑๓๗)
ข้อ ๕ กรรมการประจำหน่วยเลือกตั้งเปิดเผยให้แก่ผู้ใดทราบว่าผู้มีสิทธิเลือกตั้งผู้ใดมา
ลงคะแนนหรือยังไม่มาลงคะแนนเพื่อเป็นคุณเป็นโทษแก่ผู้สมัครหรือพรรคการเมืองใด ในระหว่าง
เวลาการเปิดจนถึงเวลาปิดการลงคะแนนเลือกตั้งตามมาตรา ๑๔๙
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน ๑ ปี หรือปรับไม่เกิน ๒๐,๐๐๐ บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ (มาตรา ๑๔๙)
สำนักกฎหมายและคดี สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง
วันที่ ๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๐
การกระทำที่เป็นความผิดกรณีอื่นของพรรคการเมือง
ข้อ ๑ พรรคการเมืองใดฝ่าฝืนใช้จ่ายในการเลือกตั้งเกินจำนวนเงินค่าใช้จ่ายที่คณะกรรมการ
การเลือกตั้งกำหนดตาม มาตรา ๕๐ วรรคสาม
** ค่าใช้จ่ายในการเลือกตั้งให้รวมถึงเงินหรือทรัพย์สินของบุคคลใดๆ ที่จ่ายหรือรับว่าจะจ่าย
หรือนำมาให้ใช้โดยไม่คิดค่าตอบแทนเพื่อประโยชน์ในการหาเสียงเลือกตั้ง โดยความยินยอมของ
พรรคการเมืองนั้นด้วยในกรณีนำทรัพย์สินมาให้ใช้ ให้คำนวณตามอัตราค่าเช่าหรือค่าตอบแทน
ตามปกติในท้องที่นั้นๆตามมาตรา ๕๐ วรรคสาม
ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ ๑ — ๕ ปี หรือปรับตั้งแต่ ๒๐,๐๐๐ — ๑๐๐,๐๐๐ บาท หรือปรับ
เป็นจำนวน ๓ เท่าของจำนวนเงินที่เกินจำนวนที่คณะกรรมการการเลือกตั้งประกาศกำหนด แล้วแต่ว่า
จำนวนใดจะมากกว่ากัน หรือทั้งจำทั้งปรับ และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งมีกำหนด ๕ ปี (มาตรา ๑๔๑)
ข้อ ๒ พรรคการเมืองใดที่ส่งผู้สมัครแบบสัดส่วนฝ่าฝืนไม่ยื่นบัญชีรายรับรายจ่ายที่สมุห์บัญชี
เลือกตั้งจัดทำขึ้น โดยหัวหน้าพรรคได้รับรองความถูกต้องบัญชีรายรับและรายจ่ายอย่างน้อยต้องประกอบด้วย
ค่าใช้จ่ายทั้งหมดที่ได้จ่ายไปแล้วและที่ยังค้างชำระ รวมทั้งหลักฐานที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วนตาม
ความเป็นจริงต่อคณะกรรมการการเลือกตั้งภายในกำหนด ๙๐ วันหลังจากวันเลือกตั้งตามมาตรา ๕๒
หัวหน้าพรรคต้องระวางโทษไม่เกิน ๒ ปี หรือปรับไม่เกิน ๔๐,๐๐๐ บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และ
ให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งมีกำหนด ๕ ปี (มาตรา ๑๔๓ วรรคหนึ่ง)
กรณียื่นเป็นเท็จต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ ๑ - ๕ ปี และปรับตั้งแต่ ๒๐,๐๐๐ — ๑๐๐,๐๐๐ บาท
และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งมีกำหนด ๕ ปี (มาตรา ๑๔๓ วรรคสอง)
ข้อ ๓ พรรคการเมืองใดส่งผู้สมัครเพื่อประโยชน์ของผู้อื่นหรือพรรคการเมืองอื่นในการ
หลีกเลี่ยงหลักเกณฑ์การได้รับคะแนนเลือกตั้งไม่น้อยกว่าร้อยละยี่สิบของจำนวนผู้มีสิทธิในเขต
เลือกตั้งนั้นและมากกว่าจำนวนบัตรที่ไม่ประสงค์จะลงคะแนนตามมาตรา ๕๔ วรรคสอง
หัวหน้าพรรคและกรรมการบริหารพรรค ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ ๑ - ๑๐ ปี หรือปรับ
ตั้งแต่ ๒๐,๐๐๐ — ๒๐๐,๐๐๐ บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งมีกำหนด ๑๐ ปี
และให้ถือเป็นเหตุที่จะยุบพรรคตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง
พ.ศ. ๒๕๕๐ (มาตรา ๑๔๔ วรรคสอง)
ข้อ ๔ หัวหน้าพรรคหรือกรรมการบริหารพรรคผู้ใดกระทำหรือก่อให้ผู้อื่นกระทำ สนับสนุน
หรือรู้เห็นเป็นใจให้ผู้ใดกระทำการอันเป็นเท็จเพื่อให้ผู้อื่นเข้าใจผิดว่าผู้สมัครผู้ใดกระทำการฝ่าฝืนหรือ
ไม่ปฏิบัติตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ เพื่อแกล้งให้ผู้สมัครนั้นถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง
หรือไม่ให้มีการประกาศผลการเลือกตั้ง หรือกระทำการดังกล่าวเป็นการแจ้งหรือให้ถ้อยคำต่อ
คณะกรรมการการเลือกตั้งตามมาตรา ๑๔๐ วรรคสอง และวรรคสาม
ให้ถือว่าพรรคการเมืองนั้นกระทำการอันเป็นภัยต่อความมั่นคงของรัฐตามพระราชบัญญัติ
ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมืองตามมาตรา ๑๐๔ วรรคสี่
สำนักกฎหมายและคดี สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง
วันที่ ๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๐
**อาจถูกศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบพรรคการเมืองตามมาตรา ๙๔ (๔) แห่งพระราชบัญญัติ
ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. ๒๕๕๐
การกระทำที่เป็นความผิดกรณีอื่นของผู้สมัคร
ข้อ ๑ ผู้สมัครผู้ใดฝ่าฝืนใช้จ่ายในการเลือกตั้งเกินจำนวนเงินค่าใช้จ่ายที่คณะกรรมการการ
เลือกตั้งกำหนดตาม มาตรา ๕๐ วรรคสาม
** ค่าใช้จ่ายในการเลือกตั้งให้รวมถึงเงินหรือทรัพย์สินของบุคคลใดๆ ที่จ่ายหรือรับว่าจะจ่าย
หรือนำมาให้ใช้โดยไม่คิดค่าตอบแทนเพื่อประโยชน์ในการหาเสียงเลือกตั้ง โดยความยินยอมของ
พรรคการเมืองนั้นด้วยในกรณีนำทรัพย์สินมาให้ใช้ ให้คำนวณตามอัตราค่าเช่าหรือค่าตอบแทน
ตามปกติในท้องที่นั้นๆตามมาตรา ๕๐ วรรคสาม
ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ ๑ — ๕ ปี หรือปรับตั้งแต่ ๒๐,๐๐๐ — ๑๐๐,๐๐๐ บาท หรือปรับ
เป็นจำนวน ๓ เท่าของจำนวนเงินที่เกินจำนวนที่คณะกรรมการการเลือกตั้งประกาศกำหนด แล้วแต่ว่า
จำนวนใดจะมากกว่ากัน หรือทั้งจำทั้งปรับ และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งมีกำหนด ๕ ปี (มาตรา ๑๔๑)
ข้อ ๒ ผู้สมัครผู้ใดฝ่าฝืนไม่ยื่นบัญชีรายรับรายจ่ายที่สมุห์บัญชีจัดทำขึ้น โดยผู้สมัครได้รับรอง
ความถูกต้องบัญชีรายรับและรายจ่ายซึ่งอย่างน้อยต้องประกอบด้วยค่าใช้จ่ายทั้งหมดที่ได้จ่ายไปแล้ว
และที่ยังค้างชำ ระ รวมทั้งหลักฐานที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วนตามความเป็นจริงต่อ
คณะกรรมการการเลือกตั้งภายในกำหนด ๙๐ วันหลังจากวันเลือกตั้งตามมาตรา ๕๒
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน ๒ ปี หรือปรับไม่เกิน ๔๐,๐๐๐ บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และให้ศาล
สั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งมีกำหนด ๕ ปี (มาตรา ๑๔๓ วรรคหนึ่ง)
กรณียื่นเป็นเท็จต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ ๑ - ๕ ปี และปรับตั้งแต่ ๒๐,๐๐๐ — ๑๐๐,๐๐๐
บาท และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งมีกำหนด ๕ ปี (มาตรา ๑๔๓ วรรคสอง)
ข้อ ๓ ผู้ใดลงสมัครรับเลือกตั้งเพื่อประโยชน์ของผู้อื่นหรือพรรคการเมืองอื่นในการหลีกเลี่ยง
หลักเกณฑ์การได้รับคะแนนเลือกตั้งไม่น้อยกว่าร้อยละยี่สิบของจำนวนผู้มีสิทธิในเขตเลือกตั้งนั้น
และมากกว่าจำนวนบัตรที่ไม่ประสงค์จะลงคะแนนตามมาตรา ๕๔ วรรคสอง
ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ ๑ - ๑๐ ปี หรือปรับ ตั้งแต่ ๒๐,๐๐๐ — ๒๐๐,๐๐๐ บาท หรือทั้งจำ
ทั้งปรับ และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งมีกำหนด ๑๐ ปี (มาตรา ๑๔๔ วรรคหนึ่ง)
ข้อ ๔ ผู้ใดสมัครรับเลือกตั้งโดยรู้อยู่แล้วว่าตนไม่มีสิทธิสมัครหรือเป็นผู้มีลักษณะต้องห้าม
ตามมาตรา ๓๔ หรือสมัครในนามของพรรคการเมืองเกินหนึ่งพรรค สมัครทั้งแบบแบ่งเขตและแบบ
สัดส่วน สมัครรับเลือกตั้งเกินหนึ่งเขตเลือกตั้งตามมาตรา ๓๕ หรือได้สมัครรับเลือกตั้งในเขตเลือกตั้ง
ใดเมื่อผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำเขตได้ออกใบรับให้แล้ว ยังยื่นใบสมัครในเขตเลือกตั้งนั้นหรือเขต
เลือกตั้งอื่นอีกตามมาตรา ๓๘ วรรคสาม
ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ ๑ - ๑๐ ปี และปรับตั้งแต่ ๒๐,๐๐๐ — ๒๐๐,๐๐๐ บาท และให้ศาล
สั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งมีกำหนด ๑๐ ปี (มาตรา ๑๓๙)
สำนักกฎหมายและคดี สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง
วันที่ ๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๐
การกระทำที่เป็นความผิดของผู้มีสิทธิเลือกตั้ง
ข้อ ๑ ผู้ใดรู้อยู่แล้วว่าตนเป็นผู้ไม่มีสิทธิเลือกตั้งหรือไม่มีสิทธิลงคะแนนเลือกตั้งในหน่วย
เลือกตั้งนั้น พยายามลงคะแนนเลือกตั้งหรือลงคะแนนเลือกตั้ง โดยแสดงบัตรของผู้อื่นหรือบัตรที่
ปลอมแปลงขึ้นต่อกรรมการประจำหน่วยเพื่อลงคะแนนเลือกตั้งตามมาตรา ๗๐
ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ ๑ - ๑๐ ปี และปรับตั้งแต่ ๒๐,๐๐๐ - ๒๐๐,๐๐๐ บาท และให้ศาล
สั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งมีกำหนด ๑๐ ปี (มาตรา ๑๓๗)
ข้อ ๒ ผู้มีสิทธิเลือกตั้งผู้ใดใช้บัตรอื่นที่มิใช่บัตรเลือกตั้งตามมาตรา ๖๑ ลงคะแนนเลือกตั้ง
หรือใช้บัตรที่มิใช่บัตรเลือกตั้งที่ตนได้รับมาจากการแสดงตนต่อกรรมการประจำหน่วยเลือกตั้งตาม
มาตรา ๗๑ วรรคหนึ่ง
ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ ๑ - ๑๐ ปี และปรับตั้งแต่ ๒๐,๐๐๐ - ๒๐๐,๐๐๐ บาท และให้ศาล
สั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งมีกำหนด ๑๐ ปี (มาตรา ๑๕๑)
ข้อ ๓ ผู้มีสิทธิเลือกตั้งผู้ใดนำบัตรเลือกตั้งออกไปจากที่เลือกตั้งตามมาตรา ๗๑ วรรคสอง
ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ ๑ - ๕ ปี หรือปรับตั้งแต่ ๒๐,๐๐๐ - ๑๐๐,๐๐๐ บาท หรือทั้งจำ
ทั้งปรับ และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งมีกำหนด ๕ ปี (มาตรา ๑๕๒)
ข้อ ๔ ผู้มีสิทธิเลือกตั้งผู้ใดใช้เครื่องมือหรืออุปกรณ์ใดถ่ายภาพบัตรเลือกตั้งที่ตนได้ลงคะแนน
แล้วตามมาตรา ๗๓
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน ๑ ปี หรือปรับไม่เกิน ๒๐,๐๐๐ บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ (มาตรา ๑๕๓)
การกระทำที่เป็นความผิดของผู้บังคับบัญชาหรือนายจ้าง
ข้อ ๑ ผู้บังคับบัญชาหรือนายจ้างผู้ใดขัดขวาง หรือหน่วยเหนี่ยว หรือไม่ให้ความสะดวก
พอสมควรต่อการไปใช้สิทธิเลือกตั้งของผู้ใต้บังคับบัญชาหรือลูกจ้างตามมาตรา ๑๓๖
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน ๒ ปี หรือปรับไม่เกิน ๔๐,๐๐๐ บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา ๑๓๖)
การกระทำที่เป็นความผิดของผู้ไม่มีสัญชาติไทย
ข้อ ๑ ผู้ใดซึ่งมิได้มีสัญชาติไทยเข้ามีส่วนช่วยเหลือในการหาเสียงเลือกตั้งหรือกระทำการใดๆ
เพื่อประโยชน์แห่งการเลือกตั้งโดยประการใดที่เป็นคุณหรือเป็นโทษแก่ผู้สมัครหรือพรรคการเมืองใด
เว้นแต่เป็นการช่วยราชการหรือการประกอบอาชีพตามปกติโดยสุจริตของผู้นั้นตามมาตรา ๕๖
ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ ๑ - ๑๐ ปี และปรับตั้งแต่ ๒๐,๐๐๐ - ๒๐๐,๐๐๐ บาท (มาตรา ๑๔๖)
สำนักกฎหมายและคดี สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง
วันที่ ๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๐
การกระทำที่เป็นความผิดของสมุห์บัญชีเลือกตั้ง
ข้อ ๑ สมุห์บัญชีเลือกตั้งผู้ใดจัดทำบัญชีค่าใช้จ่ายในการหาเสียงเลือกตั้งไม่เป็นไปตาม
หลักเกณฑ์และวิธีการที่คณะกรรมการการเลือกตั้งกำหนดตามมาตรา ๕๑ วรรคสอง
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน ๑ ปี และปรับไม่เกิน ๒๐,๐๐๐ บาท และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิ
เลือกตั้งมีกำหนด ๕ ปี และห้ามเป็นสมุห์บัญชีเลือกตั้งเป็นเวลา ๕ ปี (มาตรา ๑๔๒)
กรณีสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินและสถาบันการเงินฝ่าฝืนคำขอของ
คณะกรรมการการเลือกตั้ง
ข้อ ๑ ผู้ใดฝ่าฝืนตามที่คณะกรรมการการเลือกตั้งใช้อำนาจขอให้แจ้งรายงานการทำธุรกรรม
ของบุคคลที่น่าจะเกี่ยวข้องกับการเลือกตั้งที่คณะกรรมการการเลือกตั้งแจ้งให้ทราบหรือให้ธนาคารแห่ง
ประเทศไทยหรือธนาคารพาณิชย์ตามกฎหมายว่าด้วยธนาคารพาณิชย์หรือสถาบันการเงินอื่นแจ้งให้
ทราบถึงการโอนเงินตามที่คณะกรรมการการเลือกตั้งร้องขอตามมาตรา ๑๑๒ (๒)
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน ๑ ปี หรือปรับไม่เกิน ๒๐,๐๐๐ บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ (มาตรา ๑๕๔)
การเป็นผู้เสียหายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
๑. คณะกรรมการการเลือกตั้งเป็นผู้เสียหายตามมาตรา ๑๐๓ วรรคห้า ประกอบกับมาตรา ๒๑
วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง พ.ศ. ๒๕๕๐
๒. ผู้สมัครหรือพรรคการเมืองที่ลงสมัครในเขตเลือกตั้งนั้นเป็นผู้เสียหายตามมาตรา ๑๕๙
ผู้ต้องรับผิดชดใช้ค่าใช้จ่ายในการเลือกตั้งใหม่
ข้อ ๑ กรณีที่คณะกรรมการการเลือกตั้งหรือศาลฎีกามีคำสั่งให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งผู้สมัคร
หรือสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรผู้ใด และเป็นเหตุให้ต้องมีการเลือกตั้งใหม่ ผู้ถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง
ต้องรับผิดชดใช้ค่าใช้จ่ายสำหรับการเลือกตั้งใหม่นั้นตามมาตรา ๑๑๓
ข้อ ๒ ในกรณีที่ศาลมีคำพิพากษาลงโทษผู้ใดฐานกระทำผิดตามพระราชบัญญัติประกอบ
รัฐธรรมนูญนี้ และผู้นั้นเป็นผู้ทำให้การเลือกตั้งมิได้เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม หรือเป็นผู้กระทำการ
อันเป็นเท็จ เพื่อจะแกล้งให้ผู้สมัครถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง หรือเพื่อไม่ให้มีการประกาศผลเลือกตั้งตาม
มาตรา ๑๔๐ วรรคสอง อันเป็นเหตุให้ต้องมีการเลือกตั้งใหม่ในหน่วยเลือกตั้งหรือเขตเลือกตั้งใด ให้ศาลมี
คำพิพากษาว่าผู้นั้นต้องรับผิดชดใช้ค่าใช้จ่ายสำหรับการเลือกตั้งใหม่นั้นด้วยตามมาตรา ๑๕๘ วรรคหนึ่ง
กรณีมีผู้รับผิดชดใช้ค่าใช้จ่ายในการเลือกตั้งใหม่หลายคน ให้ทุกคนรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมตาม
มาตรา ๑๕๘ วรรคสอง
การกระทำผิดที่มีโทษทางแพ่งต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายในการเลือกตั้งใหม่
สำนักกฎหมายและคดี สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง
วันที่ ๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๐
อำนาจในการเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของคณะกรรมการการเลือกตั้ง
กรณีก่อนประกาศผลเลือกตั้ง ปรากฏหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่าผู้สมัครผู้ใดกระทำการอันเป็น
การฝ่าฝืนพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ หรือระเบียบหรือประกาศของคณะกรรมการการ
เลือกตั้ง หรือมีพฤติการณ์ที่เชื่อได้ว่าเป็นผู้ก่อให้ผู้อื่นกระทำ สนับสนุน หรือรู้เห็นเป็นใจให้บุคคลอื่น
กระทำการดังกล่าว หรือรู้แล้วไม่ดำเนินการระงับ และคณะกรรมการการเลือกตั้งเห็นว่าการกระทำนั้น
น่าจะมีผลให้การเลือกตั้งมิได้เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม ให้สั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งผู้สมัครที่
กระทำการเช่นนั้นทุกรายเป็นเวลา ๑ ปี มีผลนับตั้งแต่วันที่คณะกรรมการการเลือกตั้งมีคำสั่งตาม
มาตรา ๑๐๓ วรรคหนึ่ง
อำนาจในการเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของศาลรัฐธรรมนูญ
กรณีก่อนประกาศผลเลือกตั้ง ปรากฏหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่าหัวหน้าพรรคหรือ
กรรมการบริหารพรรคผู้ใดมีส่วนรู้เห็น หรือปล่อยปละละเลย หรือทราบถึงการกระทำนั้นแล้วมิได้ยับยั้ง
หรือแก้ไขเพื่อให้การเลือกตั้งเป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม ให้ถือว่าพรรคการเมืองนั้นกระทำการ
เพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีที่บัญญัติไว้ใน
รัฐธรรมนูญ ให้คณะกรรมการการเลือกตั้งดำเนินการตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วย
พรรคการเมือง พ.ศ. ๒๕๕๐ เพื่อเสนอคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อให้ยุบพรรคการเมืองนั้น ในกรณีที่
ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้ยุบพรรคการเมืองนั้น ให้ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง
ของหัวหน้าพรรคและกรรมการบริหารพรรคนั้นมีกำหนด ๕ ปี ตามมาตรา ๑๐๓ วรรคสอง
ประกอบมาตรา ๙๘ แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. ๒๕๕๐
อำนาจในการเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของศาลฎีกา
เมื่อประกาศผลการเลือกตั้งไปแล้ว ในกรณีที่ปรากฏจากการไต่สวนของศาลฎีกาว่ามีเหตุอัน
ควรเชื่อได้ว่า กรณีการเลือกตั้งนั้นมิได้เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรมตามคำร้องของคณะกรรมการ
การเลือกตั้ง ให้ศาลฎีกาสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือผู้สมัครนั้นมี
กำหนด ๕ ปี ตามมาตรา ๑๑๑
๑. ในระยะเวลาตั้งแต่ ๙๐ วันก่อนวันครบอายุของสภาจนถึงวันเลือกตั้ง กรณีการเลือกตั้งทั่วไป
หรือตั้งแต่วันที่ได้มีประกาศพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งจนถึงวันเลือกตั้ง กรณีการเลือกตั้ง
นอกจากการครบอายุของสภา ในกรณีที่มีหลักฐานอันควรเชื่อว่าผู้ใดให้ เสนอให้ หรือสัญญาว่าจะให้
เงินหรือทรัพย์สินเพื่อประโยชน์ในการจูงใจให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งลงคะแนนเลือกตั้งให้แก่ผู้สมัครหรือ
การเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง
การสั่งยึดหรืออายัดเงินหรือทรัพย์สินในการเลือกตั้ง
สำนักกฎหมายและคดี สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง
วันที่ ๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๐
พรรคการเมืองใด หรือให้งดเว้นลงคะแนนเลือกตั้งผู้สมัครหรือพรรคการเมืองใด หรือจัดเตรียมเงิน
หรือทรัพย์สินเพื่อดำเนินการดังกล่าว คณะกรรมการการเลือกตั้งมีอำนาจสั่งยึดหรืออายัดเงินหรือ
ทรัพย์สินของผู้นั้นไว้เป็นการชั่วคราวจนกว่าศาลจะมีคำสั่งตามมาตรา ๑๐๗ วรรคหนึ่ง
กรณีฝ่าฝืนคำสั่ง ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน ๖ เดือน หรือปรับไม่เกิน ๑๐,๐๐๐ บาท หรือทั้งจำ
ทั้งปรับ (มาตรา ๑๔๗)
๒. ให้คณะกรรมการการเลือกตั้งยื่นคำร้องต่อศาลจังหวัดหรือศาลแพ่งที่การยึดหรืออายัดอยู่ใน
เขตศาลภายใน ๓ วัน นับแต่วันที่คณะกรรมการการเลือกตั้งมีคำสั่งยึดหรืออายัด เมื่อศาลได้รับคำ
ร้องแล้วให้ดำเนินการไต่สวนฝ่ายเดียวให้แล้วเสร็จภายใน ๕ วันนับแต่วันที่ได้รับคำร้อง ถ้าศาล
เห็นว่าเงินหรือทรัพย์สินตามคำร้องน่าจะได้ใช้หรือจะใช้เพื่อการเลือกตั้งโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย
ให้ศาลมีคำสั่งยึดหรืออายัดเงินหรือทรัพย์สินนั้นไว้จนกว่าจะมีการประกาศผลการเลือกตั้ง (มาตรา ๑๐๗
วรรคสอง)
ภายหลังการประกาศผลเลือกตั้งแล้ว ในกรณีที่ศาลฎีกาได้รับคำร้องของคณะกรรมการการเลือกตั้ง
กรณีปรากฏหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่าการเลือกตั้งในเขตเลือกตั้งใดมิได้เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม
ให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรผู้นั้น หยุดการปฏิบัติหน้าที่จนกว่าศาลฎีกาจะมีคำสั่งยกคำร้อง ตาม
มาตรา ๑๑๑
ในกรณีที่ปรากฏว่ามีการกระทำผิดตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ เกิดขึ้นในเขต
เลือกตั้งใด ให้ถือว่าผู้สมัครหรือพรรคการเมือง ซึ่งส่งสมาชิกของตนลงสมัครรับเลือกตั้งนั้น เป็น
ผู้เสียหายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ตามมาตรา ๑๕๙
---------------------------------------
การหยุดการปฏิบัติหน้าที่ของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
การเป็นผู้เสียหายของผู้สมัครหรือพรรคการเมือง
สำนักกฎหมายและคดี สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง
วันที่ ๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๐
สรุปการกระทำที่บัญญัติเป็นความผิดและกำหนดโทษตาม
พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. ๒๕๕๐
------------------------------------
ความผิดเกี่ยวกับการกระทำการอันเป็นเท็จเพื่อกลั่นแกล้งผู้อื่น
กรณีพรรคการเมืองเป็นผู้กระทำผิด
ข้อ ๑ พรรคการเมืองใดสมคบ รู้เห็นเป็นใจ หรือสนับสนุนให้บุคคลใดดำเนินการใด
เพื่อให้บุคคลอื่นหรือคณะกรรมการการเลือกตั้ง หลงเชื่อหรือเข้าใจว่าพรรคการเมืองอื่นหรือบุคคลใด
กระทำความผิดตามพระราชบัญญัติฉบับนี้โดยปราศจากมูลความจริงตามมาตรา ๑๐๔ วรรคหนึ่ง
ต้องระวางโทษเป็นสองเท่าของโทษที่กำหนดไว้สำหรับความผิดดังกล่าว และให้ยุบ
พรรคการเมืองนั้น (มาตรา ๑๐๔ วรรคหนึ่ง และวรรคสาม)
ข้อ ๒ พรรคการเมืองใดสมคบ รู้เห็นเป็นใจ หรือสนับสนุนให้บุคคลใดดำเนินการใด เพื่อ
กลั่นแกล้งพรรคการเมือง กรรมการบริหารพรรค กรรมการสาขาพรรค หรือผู้ดำรงตำแหน่งในพรรค
การเมืองโดยปราศจากมูลความจริงตามมาตรา ๑๐๔ วรรคสอง
ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ ๒ — ๑๐ ปี หรือปรับตั้งแต่ ๔๐,๐๐๐ — ๒๐๐,๐๐๐ บาท หรือ
ทั้งจำทั้งปรับ และให้ยุบพรรคนั้นการเมืองนั้น (มาตรา ๑๐๔ วรรคสอง และวรรคสาม)
กรณีบุคคลเป็นผู้กระทำผิด
ข้อ ๑ ผู้ใดสมคบ รู้เห็นเป็นใจ หรือสนับสนุนให้บุคคลใดดำเนินการใด เพื่อให้บุคคลอื่น
หรือคณะกรรมการการเลือกตั้ง หลงเชื่อหรือเข้าใจว่าพรรคการเมืองอื่นหรือบุคคลใดกระทำความผิด
ตามพระราชบัญญัติฉบับนี้โดยปราศจากมูลความจริงตามมาตรา ๑๐๔ วรรคหนึ่ง
ต้องระวางโทษเป็นสองเท่าของโทษที่กำหนดไว้สำหรับความผิดดังกล่าว และให้ศาลสั่ง
เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งมีกำหนด ๕ ปี (มาตรา ๑๐๔ วรรคหนึ่ง และวรรคสาม)
ข้อ ๒ ผู้ใดสมคบ รู้เห็นเป็นใจ หรือสนับสนุนให้บุคคลใดดำเนินการใด เพื่อกลั่นแกล้ง
พรรคการเมือง กรรมการบริหารพรรค กรรมการสาขาพรรค หรือผู้ดำรงตำแหน่งในพรรคการเมือง
โดยปราศจากมูลความจริงตามมาตรา ๑๐๔ วรรคสอง
ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ ๒ — ๑๐ ปี หรือปรับตั้งแต่ ๔๐,๐๐๐ — ๒๐๐,๐๐๐ บาท หรือ
ทั้งจำทั้งปรับ และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งมีกำหนด ๕ ปี (มาตรา ๑๐๔ วรรคสอง)
การกระทำผิดที่มีโทษทางอาญา
สำนักกฎหมายและคดี สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง
วันที่ ๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๐
ความผิดเกี่ยวกับในการเลือกตั้ง
ความผิดรับผิดของคณะกรรมการบริหารพรรคการเมือง
เมื่อมีประกาศพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร คณะกรรมการ
บริหารพรรคการเมืองฝ่าฝืนไม่ควบคุมไม่ให้ผู้ซึ่งพรรคการเมืองส่งเข้าสมัครรับเลือกตั้ง กระทำการอย่าง
หนึ่งอย่างใดอันเป็นการฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญ พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง
สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา ระเบียบ หรือประกาศของคณะกรรมการการ
เลือกตั้ง ซึ่งอาจ ทำให้การเลือกตั้งมิได้เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรมตามมาตรา ๑๘ วรรคสอง
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน ๖ เดือน หรือปรับไม่เกิน ๑๐,๐๐๐ บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา ๑๐๕)
** แต่หากได้แสดงหลักฐานว่ามีการดำเนินการใดๆ เพื่อยับยั้งมิให้มีการกระทำดังกล่าว
โดยสมควรแล้ว ให้ผู้นั้นพ้นความรับผิด แม้ว่าจะยังคงมีการกระทำความผิดโดยฝ่าฝืนการยับยั้งนั้น
ก็ตาม (มาตรา ๑๐๕ วรรคสอง)
การควบคุมค่าใช้จ่ายในการเลือกตั้ง
ข้อ ๑ หัวหน้าพรรค กรรมการบริหารพรรคผู้ใด ประธานสาขาพรรค หรือกรรมการสาขา
พรรคผู้ใด มีส่วนรู้เห็น ปล่อยปละละเลย หรือทราบว่ามีการใช้จ่ายเกินวงเงินตามที่บัญญัติไว้ใน
พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่ง
สมาชิกวุฒิสภา แต่มิได้ยับยั้งเพื่อมิให้มีการกระทำดังกล่าวตามมาตรา ๕๑ วรรคสอง และวรรคสาม
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน ๖ เดือน หรือปรับไม่เกิน ๑๐,๐๐๐ บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา ๑๐๕)
** แต่หากได้แสดงหลักฐานว่ามีการดำเนินการใดๆ เพื่อยับยั้งมิให้มีการกระทำดังกล่าว
โดยสมควรแล้ว ให้ผู้นั้นพ้นความรับผิด แม้ว่าจะยังคงมีการกระทำความผิดโดยฝ่าฝืนการยับยั้งนั้น
ก็ตาม (มาตรา ๑๐๕ วรรคสอง)
ข้อ ๒ คณะกรรมการบริหารพรรคการเมืองฝ่าฝืนจัดสรรเงินเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับ
การเลือกตั้งของผู้สมัครรับเลือกตั้งของพรรคเกินกว่าจำนวนที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติประกอบ
รัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภาตามมาตรา
๕๒ วรรคสาม
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน ๖ เดือน หรือปรับไม่เกิน ๑๐,๐๐๐ บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา ๑๑๓)
ความผิดเกี่ยวกับการเป็นสมาชิกพรรค
ข้อ ๑ นายทะเบียนสมาชิกพรรค ผู้ใดแอบอ้างชื่อผู้ใดสมัครเป็นสมาชิกโดยผู้นั้นไม่รู้เห็น
หรือไม่สมัครใจตามมาตรา ๑๙ วรรคสอง
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน ๑ ปี หรือปรับไม่เกิน ๒๐,๐๐๐ บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ (มาตรา ๑๐๖)
สำนักกฎหมายและคดี สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง
วันที่ ๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๐
ข้อ ๒ หัวหน้าพรรคการเมืองหรือนายทะเบียนสมาชิกพรรคผู้ใดจัดทำทะเบียนสมาชิกอัน
เป็นเท็จ ตามมาตรา ๑๙ วรรคสาม
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน ๑ ปี หรือปรับไม่เกิน ๒๐,๐๐๐ บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ (มาตรา ๑๐๖)
ข้อ ๓ กรรมการบริหารพรรคหรือกรรมการสาขาพรรคผู้ใด รู้อยู่แล้วแต่จัดให้พรรคการเมือง
รับบุคคลซึ่งไม่มีสัญชาติไทยโดยการเกิดหรือผู้มีสัญชาติไทยโดยการแปลงสัญชาติ ซึ่งได้สัญชาติไทย
มาแล้วน้อยกว่า ๕ ปี เข้าเป็นสมาชิกหรือดำรงตำแหน่งใดๆ ในพรรค หรือยอมให้กระทำการอย่างใด
อย่างหนึ่งเพื่อประโยชน์ของพรรคการเมืองตามมาตรา ๒๑ วรรคหนึ่ง
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน ๒ ปี หรือปรับไม่เกิน ๔๐,๐๐๐ บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และให้ศาล
สั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งมีกำหนด ๕ ปี (มาตรา ๑๐๗)
ข้อ ๔ ผู้ไม่มีสัญชาติไทยโดยการเกิด หรือผู้มีสัญชาติไทยโดยการแปลงสัญชาติ ซึ่งได้สัญชาติไทย
มาแล้วน้อยกว่า ๕ ปี ผู้ใดเข้าเป็นสมาชิกหรือดำรงตำแหน่งใดๆ ในพรรค หรือร่วมกระทำการอย่าง
ใดอย่างหนึ่งในการดำเนินกิจกรรมของพรรคการเมืองตามมาตรา ๒๑ วรรคสอง
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน ๒ ปี หรือปรับไม่เกิน ๔๐,๐๐๐ บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ (มาตรา ๑๐๘)
ข้อ ๕ สมาชิกผู้ที่เป็นข้าราชการซึ่งมีตำแหน่งหรือเงินเดือนประจำ นอกจากข้าราชการ
การเมือง พนักงาน เจ้าหน้าที่ หรือลูกจ้างของหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือราชการ
ส่วนท้องถิ่น หรือเจ้าหน้าที่อื่นของรัฐ ผู้ใดเข้าดำรงตำแหน่งกรรมการบริหารพรรค หรือเจ้าหน้าที่
ของพรรค หรือตำแหน่งอื่นใดของพรรคการเมืองตามมาตรา ๒๑ วรรคสาม
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน ๒ ปี หรือปรับไม่เกิน ๔๐,๐๐๐ บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ (มาตรา ๑๐๘)
ข้อ ๖ พรรคการเมืองใดหรือผู้ใดให้ เสนอให้ หรือสัญญาว่าจะให้เงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์
อื่นใดอันอาจคำนวณเป็นเงินได้ ไม่ว่าโดยตรงหรือโดยอ้อมเพื่อจูงใจให้บุคคลใดบุคคลหนึ่งสมัครเข้า
เป็นสมาชิกพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่งตามมาตรา ๒๒
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน ๖ เดือน หรือปรับไม่เกิน ๑๐,๐๐๐ บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา ๑๐๙ วรรคหนึ่ง)
ข้อ ๗ พรรคการเมืองใดหรือผู้ใดให้ เสนอให้ หรือสัญญาว่าจะให้เงิน ทรัพย์สิน หรือ
ประโยชน์อื่นใดอันอาจคำนวณเป็นเงินได้ ไม่ว่าโดยตรงหรือโดยอ้อมเพื่อจูงใจให้บุคคลใดบุคคลหนึ่ง
สมัครเข้าเป็นสมาชิกพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่งเพื่อสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทน
ราษฎรตามมาตรา ๒๒ ประกอบมาตรา ๑๐๙ วรรคสอง
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน ๒ ปี หรือปรับไม่เกิน ๔๐,๐๐๐ บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และให้ศาล
สั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งมีกำหนด ๕ ปี (มาตรา ๑๐๙ วรรคสอง)
ข้อ ๘ ผู้ใดเรียก รับ หรือยอมจะรับเงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดอันอาจคำนวณเป็น
เงินได้ จากพรรคการเมืองหรือจากผู้ใด เพื่อยอมสมัครเข้าเป็นสมาชิกของพรรคการเมืองใดพรรค
การเมืองหนึ่งตามมาตรา ๒๓
สำนักกฎหมายและคดี สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง
วันที่ ๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๐
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน ๖ เดือน หรือปรับไม่เกิน ๑๐,๐๐๐ บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา ๑๐๙)
ข้อ ๙ ผู้ใดเรียก รับ หรือยอมจะรับเงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดอันอาจคำนวณเป็นเงินได้
จากพรรคการเมืองหรือจากผู้ใด เพื่อยอมสมัครเข้าเป็นสมาชิกของพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่ง
เพื่อสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรตามมาตรา ๒๓ ประกอบมาตรา ๑๐๙ วรรคสอง
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน ๒ ปี หรือปรับไม่เกิน ๔๐,๐๐๐ บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และให้ศาล
สั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งมีกำหนด ๕ ปี (มาตรา ๑๐๙ วรรคสอง)
ความผิดเกี่ยวกับการหารายได้และการบริจาคของพรรคการเมือง
การหารายได้ของพรรคการเมือง
กรณีฝ่าฝืนจัดกิจกรรมหาทุนของพรรค โดยไม่เปิดเผยและแสดงวัตถุประสงค์ว่าเป็นการ
หาทุนของพรรคการเมืองอย่างชัดเจน ตามมาตรา ๕๔ วรรคหนึ่ง
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน ๓ ปี หรือปรับไม่น้อยกว่าสามเท่าของจำนวนเงิน ทรัพย์สิน
หรือประโยชน์อื่นใดอันอาจคำนวณได้ หรือทั้งจำทั้งปรับ และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งมีกำหนด
๕ ปี (มาตรา ๑๑๔)
o การบริจาคแก่พรรคการเมือง
ข้อ ๑ กรณีฝ่าฝืนบริจาคแก่พรรคการเมืองตั้งแต่ ๑,๐๐๐ บาทขึ้นไป (ซึ่งไม่ใช่จาก
กิจกรรมหาทุนของพรรคการเมืองตามมาตรา ๕๔) โดยไม่เปิดเผยชื่อผู้บริจาคและให้สามารถ
ตรวจสอบได้ตามมาตรา ๕๖ วรรคหนึ่ง
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน ๓ ปี หรือปรับไม่น้อยกว่าสามเท่าของจำนวนเงิน ทรัพย์สิน
หรือประโยชน์อื่นใดอันอาจคำนวณได้ หรือทั้งจำทั้งปรับ และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งมีกำหนด
๕ ปี (มาตรา ๑๑๔)
ข้อ ๒ กรณีฝ่าฝืนบริจาคแก่พรรคการเมืองตั้งแต่ ๕,๐๐๐ บาทขึ้นไป โดยไม่เปิดเผยชื่อ
ผู้บริจาคต่อสาธารณชนตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่คณะกรรมการการเลือกตั้งกำหนดตามมาตรา ๕๗
วรรคหนึ่ง และกรณีฝ่าฝืนบริจาคตั้งแต่ ๒๐,๐๐๐ บาทขึ้นไป โดยไม่ใช้วิธีการสั่งจ่ายเป็นตั๋วแลกเงิน หรือ
เช็คขีดคร่อมตามมาตรา ๕๗ วรรคสอง
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน ๓ ปี หรือปรับไม่น้อยกว่าสามเท่าของจำนวนเงิน ทรัพย์สิน
หรือประโยชน์อื่นใดอันอาจคำนวณได้ หรือทั้งจำทั้งปรับ และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งมีกำหนด
๕ ปี (มาตรา ๑๑๔)
ข้อ ๓ บุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคลใดฝ่าฝืนบริจาคให้แก่พรรคการเมืองใดพรรคการเมือง
หนึ่งหนึ่งเกินกว่า ๑๐ ล้านบาทต่อปีตามมาตรา ๕๙ วรรคหนึ่ง
สำนักกฎหมายและคดี สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง
วันที่ ๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๐
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน ๓ ปี หรือปรับไม่น้อยกว่าสามเท่าของจำนวนเงิน ทรัพย์สิน
หรือประโยชน์อื่นใดอันอาจคำนวณได้ หรือทั้งจำทั้งปรับ และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งมีกำหนด
๕ ปี (มาตรา ๑๑๔)
ข้อ ๔ นิติบุคคลใดฝ่าฝืนบริจาคให้แก่พรรคการเมืองตั้งแต่ ๕ ล้านบาทขึ้นไป โดยมิได้
รับอนุมัติหรือให้สัตยาบันโดยมติที่ประชุมผู้ถือหุ้นของนิติบุคคลนั้นหรือสมาชิกของนิติบุคคลนั้นตาม
มาตรา ๕๙ วรรคสอง
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน ๓ ปี หรือปรับไม่น้อยกว่าสามเท่าของจำนวนเงิน ทรัพย์สิน
หรือประโยชน์อื่นใดอันอาจคำนวณได้ หรือทั้งจำทั้งปรับ และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งมีกำหนด
๕ ปี (มาตรา ๑๑๔)
ข้อ ๕ นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี และข้าราชการการเมืองอื่นผู้ใดใช้สถานะหรือตำแหน่ง
หน้าที่เรี่ยไรหรือชักชวนให้มีการบริจาคให้พรรคการเมืองหรือผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็น
สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรด้วยตนเองตามมาตรา ๖๘ วรรคหนึ่ง
ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ ๒ — ๑๐ ปี หรือปรับตั้งแต่ ๔๐,๐๐๐ — ๒๐๐,๐๐๐ บาท หรือทั้งจำ
ทั้งปรับ และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งมีกำหนด ๕ ปี (มาตรา ๑๑๗)
** การเข้าร่วมกิจกรรมหาทุน โดยมิได้กระทำเรี่ยไรหรือชักชวนให้มีการบริจาคโดยใช้สถานะ
หรือตำแหน่งหน้าที่ดังกล่าว ก่อนกิจกรรมดังกล่าวเริ่มขึ้น ไม่ถือเป็นการต้องห้าม (มาตรา ๖๘ วรรคสอง)
ข้อ ๖ บุคคล องค์การ หรือนิติบุคคลใด ดังต่อไปนี้
(๑) บุคคลไม่มีสัญชาติไทย
(๒) นิติบุคคลตามกฎหมายต่างประเทศที่ประกอบกิจการหรือจดทะเบียนสาขาอยู่ใน
หรือนอกราชอาณาจักร
(๓) นิติบุคคลที่จดทะเบียนในราชอาณาจักร ซึ่งมีบุคคลผู้ไม่มีสัญชาติไทยมีทุนหรือถือ
หุ้นเกินร้อยละห้าสิบ
กรณีบริษัทมหาชนจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ไทย ให้พิจารณาในวันก่อนวันที่
บริจาคโดยถือทะเบียนผู้ถือหุ้นของบริษัทที่ตลาดหลักทรัพย์ไทยในวันก่อนวันที่บริจาค
(๔) องค์การหรือนิติบุคคลที่ได้รับทุนหรือเงินอุดหนุนจากต่างประเทศ ซึ่งมี
วัตถุประสงค์ดำเนินกิจการเพื่อประโยชน์ของบุคคลผู้ไม่มีสัญชาติไทย หรือซึ่งมีผู้จัดการหรือกรรมการ
เป็นบุคคลผู้ไม่มีสัญชาติไทย
(๕) บุคคล องค์การ หรือนิติบุคคลที่ได้รับบริจาค เพื่อดำเนินกิจการของพรรค หรือ
ดำเนินกิจการทางการเมืองจากบุคคล องค์การ หรือนิติบุคคลตาม (๑) (๒) (๓) หรือ (๔)
กระทำการฝ่าฝืนบริจาคแก่พรรคการเมือง หรือสมาชิกผู้ใด เพื่อดำเนินกิจการของพรรค
การเมือง หรือเพื่อดำเนินกิจการในทางการเมืองตามมาตรา ๗๐ ประกอบมาตรา ๖๙
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน ๑๐ ปี หรือปรับไม่เกิน ๒๐๐,๐๐๐ บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา ๑๑๘)
สำนักกฎหมายและคดี สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง
วันที่ ๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๐
ข้อ ๗ หน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ นิติบุคคลที่เป็นรัฐวิสาหกิจตามกฎหมายว่าด้วย
วิธีการงบประมาณ องค์การมหาชน หรือกิจการที่รัฐถือหุ้นใหญ่หรือนิติบุคคลอื่นตามที่กำหนดใน
ประกาศของคณะกรรมการการเลือกตั้งผู้ใด กระทำการฝ่าฝืนบริจาคแก่พรรคการเมืองตามมาตรา ๗๑
วรรคหนึ่ง
หัวหน้าหน่วยงานดังกล่าว หรือกรรมการผู้มีอำนาจอนุมัติในนามหน่วยงานดังกล่าว ต้อง
ระวางโทษจำคุกไม่เกิน ๑๐ ปี หรือปรับไม่เกิน ๒๐๐,๐๐๐ บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ (มาตรา ๑๑๙)
** กิจการที่รัฐถือหุ้นใหญ่ หมายถึง รัฐเป็นหุ้นส่วนหรือถือหุ้นอยู่เป็นจำนวนมากที่สุดใน
บรรดาผู้เป็นหุ้นส่วนหรือถือหุ้นแต่ละคนทุกคน และจำนวนหุ้นส่วนหรือหุ้นมีจำนวนไม่น้อยกว่า ๑ ใน ๓
ของหุ้นส่วนหรือหุ้นทั้งหมดของนิติบุคคลนั้น (มาตรา ๗๑ วรรคสอง)
การรับบริจาค
ข้อ ๑ หัวหน้าพรรค กรรมการบริหารพรรค กรรมการสาขาพรรค หรือสมาชิกผู้ใด รับเงิน
ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดอันอาจคำนวณเป็นเงินได้ที่เป็นการบริจาคโดยไม่ปรากฏชื่อผู้บริจาค
หรือที่บริจาคให้เป็นส่วนตัวตามมาตรา ๕๖ วรรคสอง
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน ๓ ปี หรือปรับไม่น้อยกว่าสามเท่าของจำนวนเงิน ทรัพย์สิน
หรือประโยชน์อื่นใดอันอาจคำนวณได้ หรือทั้งจำทั้งปรับ และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งมีกำหนด
๕ ปี (มาตรา ๑๑๔)
ข้อ ๒ หัวหน้าพรรค กรรมการบริหารพรรค หรือกรรมการสาขาพรรคผู้ใดรับบริจาคจาก
บุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคลเกินกว่า ๑๐ ล้านบาทต่อปี ตามมาตรา ๕๙ วรรคสาม
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน ๓ ปี หรือปรับไม่เกิน ๖๐,๐๐๐ บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา ๑๑๕)
ข้อ ๓ พรรคการเมืองและผู้ดำรงตำแหน่งในพรรคการเมืองผู้ใดรับบริจาคเงิน ทรัพย์สิน
หรือประโยชน์อื่นใดอันอาจคำนวณเป็นเงินได้ โดยรู้หรือควรจะรู้ว่าได้มาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย
หรือมีเหตุอันควรสงสัยว่ามีแหล่งที่มาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายตามมาตรา ๖๕
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน ๓ ปี หรือปรับไม่น้อยกว่าสามเท่าของจำนวนเงิน ทรัพย์สิน
หรือประโยชน์อื่นใดอันอาจคำนวณได้ หรือทั้งจำทั้งปรับ และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งมีกำหนด
๕ ปี (มาตรา ๑๑๔)
ข้อ ๔ พรรคการเมืองใดและผู้ดำรงตำแหน่งในพรรคการเมืองผู้ใดรับบริจาคจากผู้ใด เพื่อ
กระทำการหรือสนับสนุนการกระทำการอันเป็นการบ่อนทำลายความมั่นคงของราชอาณาจักร ราช
บัลลังก์ เศรษฐกิจของประเทศ หรือราชการแผ่นดิน หรือกระทำการอันเป็นการก่อกวนหรือคุกคาม
ความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน หรือกระทำ การอันเป็นการทำ ลาย
ทรัพยากรธรรมชาติของประเทศตามมาตรา ๖๖
สำนักกฎหมายและคดี สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง
วันที่ ๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๐
ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ ๒ — ๑๐ ปี หรือปรับตั้งแต่ ๔๐,๐๐๐ — ๒๐๐,๐๐๐ บาท หรือ
ทั้งจำทั้งปรับ และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งมีกำหนด ๕ ปี (มาตรา ๑๑๖)
ข้อ ๕ สมาชิกซึ่งมิได้ดำรงตำแหน่งใดในพรรคการเมืองผู้ใด รับบริจาค หรือขอรับบริจาค
จากผู้ซึ่งมิได้เป็นสมาชิก โดยไม่ได้รับมอบหมายเป็นหนังสือจากหัวหน้าพรรค หรือคณะกรรมการ
บริหารพรรคตามมาตรา ๖๗
ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ ๒ — ๑๐ ปี หรือปรับตั้งแต่ ๔๐,๐๐๐ — ๒๐๐,๐๐๐ บาท หรือทั้งจำ
ทั้งปรับ และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งมีกำหนด ๕ ปี (มาตรา ๑๑๖)
ข้อ ๖ หัวหน้าพรรคการเมือง กรรมการบริหารพรรคการเมือง หรือกรรมการสาขาพรรค
การเมืองใดรับบริจาค เพื่อดำเนินกิจการของพรรคการเมือง หรือเพื่อดำเนินกิจการในทางการเมือง
จากบุคคล องค์การ หรือนิติบุคคล ดังต่อไปนี้ตามมาตรา ๖๙
(๑) บุคคลไม่มีสัญชาติไทย
(๒) นิติบุคคลตามกฎหมายต่างประเทศที่ประกอบกิจการหรือจดทะเบียนสาขาอยู่ใน
หรือนอกราชอาณาจักร
(๓) นิติบุคคลที่จดทะเบียนในราชอาณาจักร ซึ่งมีบุคคลผู้ไม่มีสัญชาติไทยมีทุนหรือถือ
หุ้นเกินร้อยละห้าสิบ
กรณีบริษัทมหาชนจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ไทย ให้พิจารณาในวันก่อนวันที่
บริจาคโดยถือทะเบียนผู้ถือหุ้นของบริษัทที่ตลาดหลักทรัพย์ไทยในวันก่อนวันที่บริจาค
(๔) องค์การหรือนิติบุคคลที่ได้รับทุนหรือเงินอุดหนุนจากต่างประเทศ ซึ่งมี
วัตถุประสงค์ดำเนินกิจการเพื่อประโยชน์ของบุคคลผู้ไม่มีสัญชาติไทย หรือซึ่งมีผู้จัดการหรือกรรมการ
เป็นบุคคลผู้ไม่มีสัญชาติไทย
(๕) บุคคล องค์การ หรือนิติบุคคลที่ได้รับบริจาค เพื่อดำเนินกิจการของพรรค หรือ
ดำเนินกิจการทางการเมืองจากบุคคล องค์การ หรือนิติบุคคลตาม (๑) (๒) (๓) หรือ (๔)
ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ ๒ — ๑๐ ปี หรือปรับตั้งแต่ ๔๐,๐๐๐ — ๒๐๐,๐๐๐ บาท หรือ
ทั้งจำทั้งปรับ และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งมีกำหนด ๕ ปี (มาตรา ๑๑๖)
การจัดทำและการรายงานเกี่ยวกับการหารายได้/รับบริจาค
ข้อ ๑ พรรคการเมืองใดเมื่อดำเนินกิจกรรมหาทุนในแต่ละครั้งเสร็จเรียบร้อยแล้ว ไม่รายงาน
รายได้ที่หาได้และกิจกรรมที่จัดขึ้น ต่อนายทะเบียนภายใน ๓๐ วันนับแต่วันที่จัดกิจกรรม ตาม
มาตรา ๕๔ วรรคสอง
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน ๓ ปี หรือปรับไม่น้อยกว่าสามเท่าของจำนวนเงิน ทรัพย์สิน หรือ
ประโยชน์อื่นใดอันอาจคำนวณได้ หรือทั้งจำทั้งปรับ และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งมีกำหนด ๕ ปี
(มาตรา ๑๑๔)
สำนักกฎหมายและคดี สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง
วันที่ ๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๐
ข้อ ๒ พรรคการเมืองใด กระทำการฝ่าฝืนกรณีที่ต้องออกหลักฐานการรับบริจาคให้แก่ผู้บริจาค
ตามแบบที่คณะกรรมการการเลือกตั้งกำหน ตามมาตรา ๖๐ วรรคหนึ่ง
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน ๓ ปี หรือปรับไม่น้อยกว่าสามเท่าของจำนวนเงิน ทรัพย์สิน หรือ
ประโยชน์อื่นใดอันอาจคำนวณได้ หรือทั้งจำทั้งปรับ และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งมีกำหนด ๕ ปี
(มาตรา ๑๑๔)
ข้อ ๓ หัวหน้าพรรค กรรมการบริหารพรรค หรือกรรมการสาขาพรรคผู้ใด ซึ่งเป็นผู้ที่รับบริจาค
ไม่จัดทำบันทึกการรับบริจาคไว้เป็นหลักฐาน และไม่จัดส่งบันทึกการรับบริจาค พร้อมเงิน ทรัพย์สิน
หรือประโยชน์อื่นใดอันอาจคำนวณเป็นเงินได้ รวมทั้งหลักฐานต่างๆ ให้แก่พรรคการเมือง เพื่อนำส่ง
เข้าบัญชีรายรับจากการบริจาคไว้ก่อนภายใน ๗ วันนับแต่วันที่ได้รับบริจาค ตามมาตรา ๖๐ วรรคสอง
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน ๓ ปี หรือปรับไม่น้อยกว่าสามเท่าของจำนวนเงิน ทรัพย์สิน หรือ
ประโยชน์อื่นใดอันอาจคำนวณได้ หรือทั้งจำทั้งปรับ และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งมีกำหนด ๕ ปี
(มาตรา ๑๑๔)
ข้อ ๔ พรรคการเมืองใด ไม่ลงรายการการรับบริจาคในบัญชีแสดงรายรับจากการบริจาคของ
พรรคการเมืองให้แล้วเสร็จภายใน ๑๕ วันนับแต่วันที่รายการนั้นเกิดขึ้น และไม่จัดส่งใบเสร็จรับเงิน
หรือหลักฐานการรับบริจาคให้แก่ผู้บริจาคภายใน ๗ วันนับแต่วันที่ออกใบเสร็จหรือหลักฐานการ
บริจาค ตามมาตรา ๖๐ วรรคสาม
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน ๓ ปี หรือปรับไม่น้อยกว่าสามเท่าของจำนวนเงิน ทรัพย์สิน หรือ
ประโยชน์อื่นใดอันอาจคำนวณได้ หรือทั้งจำทั้งปรับ และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งมีกำหนด ๕ ปี
(มาตรา ๑๑๔)
ข้อ ๕ หัวหน้าพรรคการเมืองใด ไม่จัดทำประกาศบัญชีรายชื่อผู้บริจาค และจำนวนเงิน
รายการทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดอันอาจคำนวณเป็นเงินได้ที่ได้รับบริจาคในแต่ละสัปดาห์ ให้
ถูกต้องตรงตามความเป็นจริงให้แล้วเสร็จในวันทำการวันแรกของสัปดาห์ถัดมา หรือไม่ปิดประกาศ
ไว้โดยเปิดเผย ณ ที่ตั้งสำนักงานใหญ่ของพรรคเป็นเวลาไม่น้อยกว่า ๑๕ วัน หรือไม่จัดส่งประกาศ
ดังกล่าวให้นายทะเบียนภายใน ๗ วันนับแต่วันที่ประกาศ ตามมาตรา ๖๐ วรรคสี่
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน ๓ ปี หรือปรับไม่น้อยกว่าสามเท่าของจำนวนเงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์
อื่นใดอันอาจคำนวณได้ หรือทั้งจำทั้งปรับ และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งมีกำหนด ๕ ปี (มาตรา ๑๑๔)
ความผิดเกี่ยวกับการใช้ชื่อและเครื่องหมายของพรรค
ข้อ ๑ ผู้ใดใช้ชื่อ ชื่อย่อ ภาพเครื่องหมาย หรือถ้อยคำในประการที่น่าจะทำให้ประชาชนเข้าใจ
ว่าเป็นพรรคการเมือง หรือใช้ชื่อที่มีอักษรไทยประกอบว่า “พรรคการเมือง” หรืออักษรต่างประเทศ
ซึ่งแปลหรืออ่านว่า “พรรคการเมือง” ในดาวตรา ป้ายชื่อ จดหมาย ใบแจ้งความ หรือเอกสารอย่างอื่น
หรือในข้อมูลทางการสื่อสารใดๆ โดยมิได้เป็นพรรคการเมืองตามมาตรา ๒๕
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน ๑ ปี หรือปรับไม่เกิน ๒๐,๐๐๐ บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ (มาตรา ๑๑๐)
สำนักกฎหมายและคดี สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง
วันที่ ๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๐
ข้อ ๒ ผู้ใดโดยเจตนาสมคบกันตั้งแต่ ๑๕ คนขึ้นไป ดำเนินกิจการเช่นเดียวกับพรรค
การเมือง หรือดำเนินการไม่ว่าด้วยวิธีการใดให้เข้าใจว่าเป็นพรรคการเมืองโดยมิได้จดแจ้งการจัดตั้ง
พรรคการเมืองตามมาตรา ๑๑๐ วรรคสอง
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน ๒ ปี หรือปรับไม่เกิน ๔๐,๐๐๐ บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ (มาตรา
๑๑๐ วรรคสอง)
ข้อ ๓ กรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้ยุบพรรคการเมืองแล้ว บุคคลใดใช้ชื่อ ชื่อย่อ หรือ
ภาพเครื่องหมายพรรค ซ้ำ หรือพ้อง หรือมีลักษณะคล้ายคลึงกับชื่อ ชื่อย่อ หรือภาพเครื่องหมาย
พรรคการเมืองที่ถูกยุบนั้น เพื่อแสวงหาประโยชน์ในการดำเนินกิจการทางการเมือง หรือประโยชน์ใน
ทำนองเดียวกันตามมาตรา ๙๕ วรรคสาม
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน ๒ ปี หรือปรับไม่เกิน ๔๐,๐๐๐ บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ (มาตรา ๑๒๐)
ความผิดเกี่ยวกับการไม่ยื่นบัญชีทรัพย์สิน
ข้อ ๑ หัวหน้าพรรคการเมือง และกรรมการบริหารพรรคผู้ใด ไม่ยื่นบัญชีแสดงรายการ
ทรัพย์สินและหนี้สินของตน คู่สมรส และบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะพร้อมสำเนาหลักฐานที่พิสูจน์ความ
มีอยู่จริงในวันที่เข้ารับตำแหน่ง วันที่สภาผู้แทนราษฎรสิ้นอายุสภา หรือวันที่พ้นจากตำแหน่ง รวมทั้ง
สำเนาแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในรอบปีภาษีที่ผ่านมาให้ถูกต้องครบถ้วนตาม
ความเป็นจริงต่อนายทะเบียน ภายใน ๓๐ วันนับแต่วันที่เข้ารับตำแหน่ง ภายใน ๓๐ วันนับแต่
วันที่สภาผู้แทนราษฎรสิ้นอายุหรือถูกยุบ หรือภายใน ๓๐ วันนับแต่วันที่เข้าพ้นจากตำแหน่ง ตาม
มาตรา ๔๙ วรรคหนึ่ง
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน ๖ เดือน หรือปรับไม่เกิน ๑๐,๐๐๐ บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ (มาตรา ๑๑๒)
ข้อ ๒ หัวหน้าพรรคการเมือง หรือกรรมการบริหารพรรคการเมืองผู้ใด จงใจยื่นบัญชีแสดง
รายการทรัพย์สินและหนี้สิน และเอกสารประกอบด้วยข้อความอันเป็นเท็จ หรือปกปิดข้อเท็จจริงที่
ควรแจ้งให้ทราบตามมาตรา ๑๑๒
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน ๖ เดือน หรือปรับไม่เกิน ๑๐,๐๐๐ บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ (มาตรา ๑๑๒)
ความผิดเกี่ยวกับการชำระบัญชี
ข้อ ๑ กรณีพรรคการเมืองสิ้นสภาพ เลิก หรือยุบตามบทบัญญัติในหมวด ๔ การสิ้นสภาพ
การเลิกและการยุบพรรคการเมือง (ยกเว้นกรณีการเลิกพรรคการเมืองโดยการควบรวมพรรคการเมือง
ตามหมวด ๕ การควบรวมพรรคการเมือง) หัวหน้าพรรคการเมืองผู้ใดไม่ส่งบัญชีและงบดุลรวมทั้ง
เอกสารการเงินของพรรคต่อนายทะเบียนภายใน ๓๐ วันนับแต่วันที่พรรคสิ้นสภาพ เลิก หรือยุบ ตาม
มาตรา ๙๖ วรรคหนึ่ง
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน ๑ ปี หรือปรับไม่เกิน ๒๐,๐๐๐ บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ (มาตรา ๑๒๑)
สำนักกฎหมายและคดี สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง
วันที่ ๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๐
ความผิดเกี่ยวกับกรรมการบริหารพรรคกรณีพรรคถูกยุบ
ข้อ ๑ กรณีที่พรรคการเมืองต้องยุบเพราะเหตุอันเนื่องมาจากการฝ่าฝืนมาตรา ๔๒ วรรคสอง
หรือต้องยุบตามมาตรา ๙๔ ผู้ซึ่งเคยดำรงตำแหน่งกรรมการบริหารของพรรคการเมืองที่ถูกยุบ ผู้ใด
ทำการจดแจ้งการจัดตั้งพรรคขึ้นใหม่หรือเป็นกรรมการบริหารพรรคหรือมีส่วนร่วมในการจดแจ้งการ
จัดตั้งพรรคขึ้นใหม่ ภายในกำหนด ๕ ปี นับแต่วันที่พรรคการเมืองนั้นต้องยุบไปตามมาตรา ๙๗
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน ๒ ปี หรือปรับไม่เกิน ๔๐,๐๐๐ บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ (มาตรา ๑๒๐)
ความผิดเกี่ยวกับกรณีฝ่าฝืนคำสั่งนายทะเบียน
ข้อ ๑ ผู้ใดไม่มาให้คำชี้แจงหรือส่งเอกสารมาเพื่อประกอบการพิจารณาหรือตรวจสอบตาม
คำสั่งเรียกของนายทะเบียนตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง ตามมาตรา ๗
วรรคหนึ่ง
ต้องชำระค่าปรับทางปกครองไม่เกิน ๕,๐๐๐ บาท (มาตรา ๑๒๒)
***ความผิดตามมาตรานี้ ให้มีผลใช้บังคับเมื่อครบ ๑ ปีนับจากวันที่ ๘ ตุลาคม ๒๕๕๐
(วันที่ ๘ ตุลาคม ๒๕๕๑) บทเฉพาะกาล มาตรา ๑๓๓ (๔)***
ข้อ ๒ หัวหน้าพรรคการเมืองผู้ใดไม่แจ้งจำนวนสมาชิกที่เพิ่มขึ้นหรือลดลงพร้อมด้วยรายชื่อ
อาชีพ และที่อยู่ของสมาชิก ตามวิธีการที่นายทะเบียนกำหนดให้นายทะเบียนทราบภายในวันที่ ๗
ของทุก ๓ เดือน และไม่สรุปยอดจำนวนสมาชิกที่เพิ่มขึ้นหรือลดลงทั้งหมดในรอบปี ให้นายทะเบียน
ทราบภายในเดือนมกราคมของทุกปี ตามมาตรา ๑๙ วรรคสี่
ต้องชำระค่าปรับทางปกครองไม่เกิน ๕๐,๐๐๐ บาท (มาตรา ๑๒๓)
ข้อ ๓ หัวหน้าพรรคการเมืองผู้ใดไม่ปฏิบัติตามคำสั่งนายทะเบียน ตามมาตรา ๑๙ วรรคห้า
ต้องชำระค่าปรับทางปกครองไม่เกิน ๑๐๐,๐๐๐ บาท และต้องชำระค่าปรับอีกไม่เกินวันละ
๑,๐๐๐ บาท ตลอดเวลาที่ยังมิได้ปฏิบัติให้ถูกต้อง ตามมาตรา ๑๒๔ วรรคสอง
ข้อ ๔ หัวหน้าพรรคการเมือง คณะกรรมการบริหารพรรคการเมือง หรือกรรมการบริหารพรรค
การเมืองผู้ใด ไม่ปฏิบัติตามคำสั่งเตือนของนายทะเบียน ที่สั่งให้ระงับหรือจัดการแก้ไขการกระทำใดๆ
ที่ฝ่าฝืนนโยบายพรรคการเมือง หรือข้อบังคับพรรคการเมือง ภายในระยะเวลาที่นายทะเบียนกำหนด
ตามมาตรา ๓๑ วรรคสอง
ต้องชำระค่าปรับทางปกครองไม่เกิน ๑๐๐,๐๐๐ บาท และต้องชำระค่าปรับอีกไม่เกินวันละ
๑,๐๐๐ บาท ตลอดเวลาที่ยังมิได้ปฏิบัติให้ถูกต้อง (มาตรา ๑๒๔ วรรคสอง)
**กรณีเตือนเป็นหนังสือแก่บุคคลที่ไม่ใช่หัวหน้าพรรคการเมือง ต้องส่งสำเนาหนังสือเตือนนั้น
ให้หัวหน้าพรรคการเมืองทราบโดยเร็วตามมาตรา ๓๑
การกระทำผิดที่มีโทษทางปกครอง
สำนักกฎหมายและคดี สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง
วันที่ ๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๐
ข้อ ๕ หัวหน้าพรรคการเมืองผู้ใดไม่แจ้งการเปลี่ยนแปลงนโยบายพรรคการเมือง ข้อบังคับ
พรรคการเมือง หรือรายการชื่อ อาชีพ ที่อยู่ และลายมือชื่อของกรรมการบริหารพรรคการเมืองที่จดแจ้ง
ไว้กับนายทะเบียนหรือรายละเอียดที่แจ้งไว้ในหนังสือแจ้งการจัดตั้งสาขาพรรคตามมาตรา ๓๔ เป็น
หนังสือต่อนายทะเบียนภายใน ๓๐ วันนับแต่วันทีมีการเปลี่ยนแปลง ตามมาตรา ๔๑ วรรคหนึ่ง
ต้องชำระค่าปรับทางปกครองไม่เกิน ๕๐,๐๐๐ บาท และต้องชำระค่าปรับอีกไม่เกินวันละ
๕๐๐ บาท ตลอดเวลาที่ยังมิได้ปฏิบัติให้ถูกต้อง (มาตรา ๑๒๔ วรรคหนึ่ง)
ข้อ ๖ หัวหน้าพรรคการเมืองผู้ใดไม่แจ้งการเปลี่ยนแปลงกรณีตามข้อ ๕ ตามคำสั่งของนาย
ทะเบียนพรรคการเมืองภายในกำหนดตามมาตรา ๔๑ วรรคสาม
ต้องชำระค่าปรับทางปกครองไม่เกิน ๑๐๐,๐๐๐ บาท และต้องชำระค่าปรับอีกไม่เกินวันละ
๑,๐๐๐ บาท ตลอดเวลาที่ยังมิได้ปฏิบัติให้ถูกต้อง (มาตรา ๑๒๔ วรรคสอง)
ข้อ ๗ หัวหน้าพรรคการเมืองผู้ใดไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของนายทะเบียนภายในระยะเวลาที่กำหนด
ตามมาตรา ๔๒ วรรคสอง กรณีที่สั่งให้รายงานการดำเนินกิจการของพรรคการเมืองในรอบปีปฏิทินที่
ผ่านมาให้นายทะเบียนทราบ ซึ่งหัวหน้าพรรคการเมืองไม่แจ้งให้นายทะเบียนทราบภายในกำหนด
เดือนมีนาคมของทุกปี ตามมาตรา ๔๒ วรรคหนึ่ง
ต้องชำระค่าปรับทางปกครองไม่เกิน ๑๐๐,๐๐๐ บาท และต้องชำระค่าปรับอีกไม่เกินวันละ
๑,๐๐๐ บาท ตลอดเวลาที่ยังมิได้ปฏิบัติให้ถูกต้อง (มาตรา ๑๒๔ วรรคสอง)
**เว้นแต่พรรคที่จัดตั้งขึ้นยังไม่ถึง ๙๐ วันนับจนถึงวันสิ้นปี (จัดตั้งขึ้นระหว่างวันที่ ๔ ตุลาคม
ถึง ๓๑ ธันวาคม) ตามมาตรา ๔๒
** กรณีหากพ้นกำหนดระยะเวลาที่มีคำสั่งแล้วยังไม่รายงาน โดยไม่มีเหตุผลอันสมควร
ให้นายทะเบียนโดยความเห็นชอบของคณะกรรมการการเลือกตั้งดำเนินการเพื่อให้มีการยุบ
พรรคนั้น (มาตรา ๔๒ วรรคสอง)
ข้อ ๘ หัวหน้าพรรคการเมืองผู้ใดไม่ใช้จ่ายเงินสนับสนุนให้เป็นไปตามที่กฎหมายกำหนด
หรือไม่จัดทำรายงานการใช้จ่ายเงินสนับสนุนของพรรคการเมืองในรอบปีปฏิทินให้ถูกต้องตามความ
เป็นจริง และยื่นต่อคณะกรรมการการเลือกตั้งภายในเดือนมีนาคมของปีถัดไป และนายทะเบียนมี
คำสั่งให้รายงานภายในระยะเวลาที่กำหนดตามมาตรา ๘๒
ต้องชำระค่าปรับทางปกครองไม่เกิน ๑๐๐,๐๐๐ บาท และต้องชำระค่าปรับอีกไม่เกินวันละ
๑,๐๐๐ บาท ตลอดเวลาที่ยังมิได้ปฏิบัติให้ถูกต้อง (มาตรา ๑๒๔ วรรคสอง)
**เว้นแต่พรรคที่จัดตั้งขึ้นยังไม่ถึง ๙๐ วันนับจนถึงวันสิ้นปี (จัดตั้งขึ้นระหว่างวันที่ ๔ ตุลาคม
ถึง ๓๑ ธันวาคม) ตามมาตรา ๘๒
** กรณีหากพ้นกำหนดระยะเวลาที่มีคำสั่งแล้วยังไม่รายงาน โดยไม่มีเหตุผลอันสมควร
ให้นายทะเบียนโดยความเห็นชอบของคณะกรรมการการเลือกตั้งดำเนินการเพื่อให้มีการยุบ
พรรคนั้น ( มาตรา ๘๒ ประกอบมาตรา ๔๒ วรรคสอง)
สำนักกฎหมายและคดี สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง
วันที่ ๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๐
ข้อ ๙ หัวหน้าพรรคการเมืองผู้ใดไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของนายทะเบียน กรณีที่หัวหน้าพรรคนั้น
ไม่เรียกประชุมใหญ่พรรคเป็นครั้งแรกภายใน ๖๐ วัน และนายทะเบียนมีคำสั่งให้เรียกประชุมใหญ่
ภายในระยะเวลาที่กำหนด ตามมาตรา ๒๗
ต้องชำระค่าปรับทางปกครองไม่เกิน ๑๐๐,๐๐๐ บาท (มาตรา ๑๒๗)
ข้อ ๑๐ หัวหน้าพรรคและกรรมการบริหารพรรคผู้ใดได้รับคำเตือนเรียกคืนเงินสนับสนุน
พร้อมดอกเบี้ยจากนายทะเบียน เนื่องจากเมื่อปรากฏว่าพรรคการเมืองได้รับเงินสนับสนุนแล้ว
ไม่จัดทำแผนการดำเนินงานและแผนการใช้จ่ายเงินของพรรคในแต่ละปียื่นต่อคณะกรรมการการ
เลือกตั้ง และไม่จัดทำบัญชีของพรรคและสาขาพรรคให้ถูกต้องตามความเป็นจริงตามรายการที่กำหนด
ตามมาตรา ๔๕ หรือไม่ปิดบัญชีครั้งแรกภายในวันสิ้นปีปฏิทินที่ได้รับการจดแจ้งการจัดตั้งขึ้น และ
ครั้งต่อไปเป็นประจำทุกปีในวันสิ้นปีปฏิทิน ซึ่งการปิดบัญชีต้องจัดทำงบการเงินอย่างน้อยต้อง
ประกอบด้วย งบดุลและงบรายได้ และค่าใช้จ่ายของพรรค รวมทั้งของสาขาพรรคทุกสาขาด้วย แล้วยัง
ฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามคำเตือนนั้น ตามมาตรา ๘๓ (ประกอบ มาตรา ๗๗) และมาตรา ๘๔ (ประกอบ
มาตรา ๔๔ มาตรา ๔๕ มาตรา ๔๖ และมาตรา ๔๗)
ต้องชำระค่าปรับทางปกครองไม่เกิน ๒ เท่าของเงินสนับสนุนและดอกเบี้ยตามกฎหมายที่ต้อง
คืนให้แก่กองทุน (มาตรา ๑๓๐)
ข้อ ๑๑ หัวหน้าพรรคการเมืองและกรรมการบริหารพรรคการเมืองผู้ใดได้รับคำเตือนให้คืน
เงินสนับสนุนแก่กองทุนตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่คณะกรรมการการเลือกตั้งกำหนด กรณีที่พรรค
การเมืองนั้นได้รับเงินสนับสนุนไปแล้ว ภายหลังพรรคนั้นสิ้นสภาพ ต้องเลิก หรือยุบพรรคการเมือง
แล้วยังฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามคำเตือนนั้น ตามมาตรา ๘๕ ประกอบมาตรา ๑๓๐
ต้องชำระค่าปรับทางปกครองไม่เกิน ๒ เท่าของเงินสนับสนุนและดอกเบี้ยตามกฎหมายที่ต้อง
คืนให้แก่กองทุน (มาตรา ๑๓๐)
ความผิดเกี่ยวกับการบริจาค
ข้อ ๑ หัวหน้าพรรคการเมืองผู้ใดไม่ปฏิบัติให้เป็นไปตามคำสั่งของคณะกรรมการการเลือกตั้ง
กรณีที่คณะกรรมการการเลือกตั้งกำหนดมาตรการและวิธีการควบคุมการได้รับบริจาคของพรรคให้
เป็นไปโดยเปิดเผย และทำการตรวจสอบความถูกต้องของการบริจาคแก่พรรค รวมทั้งการออกคำสั่ง
ตามที่เห็นสมควรเพื่อให้พรรคการเมืองปฏิบัติให้เป็นไปโดยถูกต้องตามมาตรา ๗๒ วรรคสอง
ต้องชำระค่าปรับทางปกครองไม่เกิน ๑๐๐,๐๐๐ บาท (มาตรา ๑๒๗)
ข้อ ๒ หัวหน้าพรรคการเมืองผู้ใดไม่จัดให้มีบัญชีแสดงรายรับจากการบริจาค ซึ่งต้องมี
รายการชื่อ ที่อยู่ จำนวนเงิน และรายการทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดอันอาจคำนวณเป็นเงินได้ของ
ผู้บริจาคทุกราย รายการวัน เดือน ปี ที่รับบริจาค และสำเนาหลักฐานการรับบริจาค ตามมาตรา ๖๒
วรรคหนึ่ง
ต้องชำระค่าปรับทางปกครองไม่เกิน ๑๐๐,๐๐๐ บาท (มาตรา ๑๒๗)
สำนักกฎหมายและคดี สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง
วันที่ ๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๐
**กรณีการบริจาคที่เป็นการให้หรือให้ใช้ทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดอันอาจคำนวณเป็นเงิน
ได้ ให้คิดมูลค่าตามอัตราค่าเช่าหรือค่าตอบแทนตามปกติในทางการค้า ในท้องที่นั้น หรือค่าของสิทธิ
นั้นก่อนจึงบันทึกลงในบัญชี กรณีที่ไม่อาจคิดมูลค่าได้ ให้ระบุรายละเอียดให้ชัดเจนเท่าที่จะกระทำได้
ตามมาตรา ๖๒
ข้อ ๓ หัวหน้าพรรคการเมืองและเหรัญญิกพรรคการเมืองผู้ใดไม่เปิดบัญชีกับธนาคาร
พาณิชย์โดยระบุชื่อเจ้าของบัญชีในนามพรรคการเมือง หรือไม่แจ้งหมายเลขบัญชีเงินฝากและจำนวน
เงินที่เปิดบัญชีของทุกบัญชีพร้อมทั้งส่งสำเนาบัญชีเงินฝากที่ธนาคารพาณิชย์รับรองแก่นายทะเบียน
ภายใน ๗ วันนับแต่วันที่เปิดบัญชีดังกล่าวตามมาตรา ๖๔
ต้องชำระค่าปรับทางปกครองไม่เกิน ๑๐๐,๐๐๐ บาท (มาตรา ๑๒๗)
ข้อ ๔ หัวหน้าพรรคการเมืองและเหรัญญิกพรรคการเมืองผู้ใดไม่นำเงินบริจาคที่เป็นเงินสด
ไปฝากไว้ในบัญชีธนาคารของพรรคภายใน ๗ วันนับแต่วันที่ได้รับบริจาคแล้วออกใบเสร็จรับเงิน
ให้แก่ผู้บริจาคไว้เป็นหลักฐานภายในวันที่ได้รับบันทึกการบริจาคตามมาตรา ๖๓
ต้องชำระค่าปรับทางปกครองเท่ากับหรือไม่เกิน ๒ เท่าของจำนวนเงิน ทรัพย์สิน หรือ
ประโยชน์อื่นใดที่ได้รับบริจาค (มาตรา ๑๒๘)
ข้อ ๕ หัวหน้าพรรคการเมืองและเหรัญญิกพรรคการเมืองผู้ใดไม่นำตั๋วแลกเงินหรือเช็คขีด
คร่อมที่ได้รับบริจาคส่งเข้าบัญชีธนาคารของพรรคการเมือง หรือไม่ออกใบเสร็จรับเงินให้แก่ผู้
บริจาคไว้เป็นหลักฐานภายในวันที่มีรายการนั้นเกิดขึ้นตามมาตรา ๖๓
ต้องชำระค่าปรับทางปกครองเท่ากับหรือไม่เกิน ๒ เท่าของจำนวนเงินทรัพย์สิน หรือประโยชน์
อื่นใดที่ได้รับบริจาค (มาตรา ๑๒๘)
ข้อ ๖ บุคคล คณะบุคคล หรือนิติบุคคลใด ฝ่าฝืนขอรับบริจาค หรือขอรับการสนับสนุนทาง
การเงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดอันอาจคำนวณเป็นเงินได้จากพรรคการเมือง ผู้ดำรงตำแหน่ง
ในพรรค หรือสมาชิกซึ่งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร หรือผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ตามมาตรา ๙๐
ต้องชำระค่าปรับทางปกครองเป็นจำนวนเงิน ๒ เท่าของเงิน หรือมูลค่าทรัพย์สิน หรือ
ประโยชน์อื่นใดอันอาจคำนวณเป็นเงินได้ ที่ตนได้รับ (มาตรา ๑๓๑)
***ความผิดตามมาตรานี้ ให้มีผลใช้บังคับเมื่อครบ ๑ ปีนับจากวันที่ ๘ ตุลาคม ๒๕๕๐
(วันที่ ๘ ตุลาคม ๒๕๕๑) บทเฉพาะกาล มาตรา ๑๓๓ (๔) ***
ความผิดเกี่ยวกับการใช้จ่ายเงินและการจัดทำบัญชี
ข้อ ๑ พรรคการเมืองและผู้ดำรงตำแหน่งในพรรคการเมืองผู้ใดใช้จ่ายเงิน หรือจำหน่าย
ทรัพย์สินของพรรคการเมือง ซึ่งมิได้เป็นไปตามแผนการใช้จ่ายเงิน ตามมาตรา ๘๘ ประกอบมาตรา ๘๗
ดังต่อไปนี้
(๑) ค่าตอบแทนบุคลากรของพรรค และค่าใช้จ่ายในการพัฒนาบุคลากรทางการเมือง
สำนักกฎหมายและคดี สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง
วันที่ ๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๐
- ๑๔ -
(๒) ค่าใช้จ่ายในการบริหารพรรค และสาขาพรรค
(๓) ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการเลือกตั้งที่คณะกรรมการการเลือกตั้งจัดสรรเงินเพื่อเป็น
ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการเลือกตั้งของผู้สมัครรับเลือกตั้งของพรรค
(๔) ค่าใช้จ่ายในการส่งเสริมความเป็นประชาธิปไตยในพรรค
(๕) ค่าใช้จ่ายในการให้ความรู้ และการส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนทางการเมือง
(๖) ค่าใช้จ่ายอื่นตามที่คณะกรรมการการเลือกตั้งประกาศกำหนด
ต้องชำระค่าปรับทางปกครองเท่ากับหรือไม่เกิน ๒ เท่าของจำนวนเงิน ทรัพย์สิน หรือ
ประโยชน์อื่นใดอันอาจคำนวณเป็นเงินได้ที่ได้ใช้จ่ายหรือจำหน่ายไป (มาตรา ๑๒๘)
***ความผิดตามมาตรานี้ ให้มีผลใช้บังคับเมื่อครบ ๑ ปีนับจากวันที่ ๘ ตุลาคม ๒๕๕๐
(วันที่ ๘ ตุลาคม ๒๕๕๑) บทเฉพาะกาล มาตรา ๑๓๓ (๔)***
ข้อ ๒ หัวหน้าพรรคการเมืองผู้ใดไม่รายงานการใช้จ่ายเงินตามแผนการใช้จ่ายเงิน และลง
รายละเอียดของรายการค่าใช้จ่าย ให้เป็นไปตามที่คณะกรรมการการเลือกตั้งประกาศกำหนดตาม
มาตรา ๘๗ วรรคสอง
ต้องชำระค่าปรับทางปกครองไม่เกิน ๕๐,๐๐๐ บาท (มาตรา ๑๒๓)
***ความผิดตามมาตรานี้ ให้มีผลใช้บังคับเมื่อครบ ๑ ปีนับจากวันที่ ๘ ตุลาคม ๒๕๕๐
(วันที่ ๘ ตุลาคม ๒๕๕๑) บทเฉพาะกาล มาตรา ๑๓๓ (๔) ***
ข้อ ๓ คณะกรรมการบริหารพรรคการเมืองหรือประธานสาขาพรรคการเมืองผู้ใดไม่จัดทำ
บัญชีของพรรคการเมืองหรือของสาขาพรรคการเมือง ให้ถูกต้องตามความเป็นจริงตามมาตรา ๔๔
ประกอบมาตรา ๔๕ ซึ่งประกอบด้วยบัญชี ดังนี้
(๑) บัญชีรายวันแสดงรายได้หรือรายรับ และแสดงค่าใช้จ่ายหรือรายจ่าย
(๒) บัญชีแสดงรายรับจากการบริจาค
(๓) บัญชีแยกประเภท
(๔) บัญชีแสดงสินทรัพย์และหนี้สิน
ต้องชำระค่าปรับทางปกครองไม่เกิน ๑๐๐,๐๐๐ บาท (มาตรา ๑๒๖)
** การลงรายการบัญชีต้องมีเอกสารประกอบที่ถูกต้องสมบูรณ์ครบถ้วน และต้องลงรายการ
ในบัญชีตาม ข้อ (๑) และข้อ (๒) ให้แล้วเสร็จภายใน ๑๕ วันนับแต่รายการนั้นเกิด ต้องลงรายการใน
บัญชีตาม ข้อ (๓) และข้อ (๔) ให้แล้วเสร็จภายใน ๑๕ วันนับแต่วันสิ้นเดือนที่รายการนั้นเกิด
ข้อ ๔ คณะกรรมการบริหารพรรคการเมืองหรือประธานสาขาพรรคการเมืองผู้ใดจัดให้มีการ
ทำบัญชีของพรรคการเมืองหรือสาขาพรรคการเมือง โดยละเว้นการลงรายการในบัญชี ลงรายการใน
บัญชีเป็นเท็จ แก้ไขบัญชี ซ่อนเร้น หรือทำหลักฐานในการลงบัญชีอันจะเป็นผลให้การแสดงที่มา
ของรายได้และการใช้จ่ายของพรรคไม่ถูกต้องตามความเป็นจริงตามมาตรา ๑๒๖
ต้องชำระค่าปรับทางปกครองไม่เกิน ๑๐๐,๐๐๐ บาท (มาตรา ๑๒๖)
สำนักกฎหมายและคดี สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง
วันที่ ๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๐
ข้อ ๕ คณะกรรมการบริหารพรรคการเมืองหรือประธานสาขาพรรคการเมืองผู้ใดไม่ปิด
บัญชีครั้งแรกภายในวันสิ้นปีปฏิทินที่ได้รับการจดแจ้งการจัดตั้งขึ้น และครั้งต่อไปเป็นประจำทุกปี
ในวันสิ้นปีปฏิทิน ซึ่งการปิดบัญชีต้องจัดทำงบการเงินอย่างน้อยต้องประกอบด้วยงบดุลและงบ
รายได้ และค่าใช้จ่ายของพรรคการเมือง รวมทั้งของสาขาพรรคการเมืองทุกสาขาด้วย โดยงบดุลต้อง
แสดงรายการ สินทรัพย์ หนี้สิน และทุนของพรรค และงบรายได้และค่าใช้จ่ายอย่างน้อยต้องแสดงที่มา
ของรายได้กับทางใช้ไปของค่าใช้จ่าย โดยเฉพาะค่าใช้จ่ายในการเลือกตั้ง ต้องแสดงรายละเอียดของ
รายการตามที่คณะกรรมการการเลือกตั้งประกาศกำหนดตามมาตรา ๔๖
ต้องชำระค่าปรับทางปกครองไม่เกิน ๑๐๐,๐๐๐ บาท (มาตรา ๑๒๖)
ข้อ ๖ หัวหน้าพรรคการเมืองผู้ใดไม่เสนองบการเงินที่ผู้สอบบัญชีรับอนุญาตตรวจสอบและ
รับรองแล้วต่อที่ประชุมใหญ่ของพรรคอนุมัติภายในเดือนเมษายนของทุกปี โดยแจ้งให้สมาชิกทราบ
ล่วงหน้า และปิดประกาศไว้ ณ ที่ตั้งสำนักงานของพรรคการเมืองและสาขาพรรคการเมืองไม่น้อยกว่า
๑๕ วันตามมาตรา ๔๗ วรรคหนึ่ง
ต้องชำระค่าปรับทางปกครองไม่เกิน ๕๐,๐๐๐ บาท (มาตรา ๑๒๓)
***ความผิดตามมาตรานี้ ให้มีผลใช้บังคับเมื่อครบ ๑ ปีนับจากวันที่ ๘ ตุลาคม ๒๕๕๐
(วันที่ ๘ ตุลาคม ๒๕๕๑) บทเฉพาะกาล มาตรา ๑๓๓ (๔) ***
ข้อ ๗ หัวหน้าพรรคการเมืองและเหรัญญิกพรรคการเมืองผู้ใดไม่ร่วมกันรับรองความถูกต้อง
ของงบการเงิน ซึ่งที่ประชุมใหญ่อนุมัติแล้ว ส่งให้นายทะเบียนภายใน ๓๐ วันนับแต่วันที่ที่ประชุม
ใหญ่ของพรรคการเมืองอนุมัติ พร้อมทั้งสำเนาบัญชีรายวันแสดงรายได้หรือรายรับ และแสดงค่าใช้จ่าย
หรือรายจ่าย สำเนาบัญชีแสดงรายรับจากการบริจาค สำเนาบัญชีแยกประเภท และสำเนาบัญชีแสดง
สินทรัพย์และหนี้สินของพรรคการเมือง ตามมาตรา ๔๗ วรรคสอง
ต้องชำระค่าปรับทางปกครองไม่เกิน ๕๐,๐๐๐ บาท และต้องชำระค่าปรับอีกไม่เกินวันละ
๕๐๐ บาท ตลอดเวลาที่ยังมิได้ปฏิบัติให้ถูกต้อง (มาตรา ๑๒๔ วรรคหนึ่ง)
ความผิดเกี่ยวกับการจัดตั้งสาขาพรรคการเมืองและสมาชิกพรรคการเมือง
ข้อ ๑ หัวหน้าพรรคการเมืองผู้ใดไม่จัดทำหนังสือแจ้งการจัดตั้งสาขาพรรคการเมืองต่อ
นายทะเบียนภายใน ๑๕ วันนับแต่วันที่จัดตั้งสาขาพรรคการเมืองนั้นตามมาตรา ๓๔ วรรคหนึ่ง
ต้องชำระค่าปรับทางปกครองไม่เกิน ๕๐,๐๐๐ บาท และต้องชำระค่าปรับอีกไม่เกินวันละ
๕๐๐ บาท ตลอดเวลาที่ยังมิได้ปฏิบัติให้ถูกต้อง (มาตรา ๑๒๔ วรรคหนึ่ง)
ข้อ ๒ หัวหน้าพรรคการเมืองผู้ใดไม่จัดส่งรายงานหรือเอกสารเกี่ยวกับการมีมติให้สมาชิก
ผู้ดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสิ้นสุดสมาชิกภาพตามข้อบังคับพรรคการเมือง เพราะ
กระทำ ผิดวินัยหรือจรรยาบรรณอย่างร้ายแรง หรือมีเหตุร้ายแรงอื่นไปยังประธานสภา
ผู้แทนราษฎรและนายทะเบียนภายใน ๗ วันนับแต่วันที่พรรคการเมืองมีมติตามมาตรา ๒๐ วรรคห้า
สำนักกฎหมายและคดี สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง
วันที่ ๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๐
ต้องชำระค่าปรับทางปกครองไม่เกิน ๕๐,๐๐๐ บาท และต้องชำระค่าปรับอีกไม่เกินวันละ
๕๐๐ บาท ตลอดเวลาที่ยังมิได้ปฏิบัติให้ถูกต้อง (มาตรา ๑๒๔ วรรคหนึ่ง)
ข้อ ๓ หัวหน้าพรรคการเมืองผู้ใดไม่แจ้งจำนวนสมาชิกที่เพิ่มขึ้นหรือลดลงพร้อมด้วย
รายชื่อ อาชีพ และที่อยู่ของสมาชิก ตามวิธีการที่นายทะเบียนกำหนดให้นายทะเบียนทราบภายใน
วันที่ ๗ ของทุก ๓ เดือน และสรุปยอดจำนวนสมาชิกที่เพิ่มขึ้นหรือลดลงทั้งหมดในรอบปีให้
นายทะเบียนทราบภายในเดือนมกราคมของทุกปีตามมาตรา ๑๙ วรรคสี่
ต้องชำระค่าปรับทางปกครองไม่เกิน ๕๐,๐๐๐ บาท (มาตรา ๑๒๓)
*หากไม่แจ้งภายในระยะเวลาดังกล่าวและนายทะเบียนสั่งให้แจ้งภายในระยะเวลาที่กำหนด
แล้วยังไม่ปฏิบัติตามคำสั่ง ต้องชำระค่าปรับทางปกครองไม่เกิน ๑๐๐,๐๐๐ บาท และต้องชำระค่าปรับ
อีกไม่เกินวันละ ๑,๐๐๐ บาท ตลอดเวลาที่ยังมิได้ปฏิบัติให้ถูกต้อง (มาตรา ๑๒๔ วรรคสอง)
***ความผิดตามมาตรานี้ ให้มีผลใช้บังคับเมื่อครบ ๑ ปีนับจากวันที่ ๘ ตุลาคม ๒๕๕๐
(วันที่ ๘ ตุลาคม ๒๕๕๑) บทเฉพาะกาล มาตรา ๑๓๓ (๔) ***
ข้อ ๓ ผู้ใดเป็นสมาชิกพรรคการเมืองในขณะเดียวกันเกินกว่า ๑ พรรคตามมาตรา ๒๔
ต้องชำระค่าปรับทางปกครองไม่เกิน ๓,๐๐๐ บาท (มาตรา ๑๒๕)
***ความผิดตามมาตรานี้ ให้มีผลใช้บังคับเมื่อครบ ๑ ปีนับจากวันที่ ๘ ตุลาคม ๒๕๕๐
(วันที่ ๘ ตุลาคม ๒๕๕๑) บทเฉพาะกาล มาตรา ๑๓๓ (๔) ***
***กรณีที่เป็นสมาชิกพรรคเกินกว่า ๑ พรรค ก่อนวันที่ ๘ ตุลาคม ๒๕๕๐ ให้สมาชิก
ภาพของผู้นั้นสิ้นสุดลงทุกพรรคนับแต่วันที่ ๘ ตุลาคม ๒๕๕๐ บทเฉพาะกาล มาตรา ๑๓๗***
ความผิดเกี่ยวกับการจัดสรรเวลาออกอากาศ
ข้อ ๑ ผู้บริหารสูงสุดของสถานีวิทยุกระจายเสียงและสถานีวิทยุโทรทัศน์ของรัฐแห่งใด
ไม่จัดสรรเวลาออกอากาศตามที่นายทะเบียนกำหนดตามมาตรา ๗๙ วรรคสอง
ต้องชำระค่าปรับทางปกครองไม่เกิน ๒๐๐,๐๐๐ บาท และต้องชำระค่าปรับอีกวันละ
๕,๐๐๐ บาท จนกว่าจะปฏิบัติตามที่นายทะเบียนกำหนด (มาตรา ๑๒๙)
มาตรการบังคับทางปกครอง
ให้นำกฎหมายว่าด้วยวิธีปฏิบัติราชการทางปกครองมาใช้บังคับกับการปรับทางปกครอง
โดยให้นายทะเบียนหรือผู้ที่นายทะเบียนมอบหมายเป็นผู้มีอำนาจปรับและบังคับทางปกครอง เงิน
ค่าปรับทางปกครองให้นำส่งกองทุนตามมาตรา ๑๓๒ วรรคหนึ่ง
ให้ดำเนินการยึดหรืออายัดทรัพย์สินของผู้ที่ไม่ชำระค่าปรับทางปกครองตามคำสั่ง โดยให้
เจ้าหน้าที่ของรัฐหรือบุคคลอื่นที่มีหน้าที่ในทางทะเบียนหรือครอบครองทรัพย์สินของผู้ที่ไม่ชำระค่าปรับ
มีหน้าที่ปฏิบัติตามคำสั่งของนายทะเบียนหรือผู้ที่นายทะเบียนมอบหมาย ในกรณีที่เป็นสิทธิเรียกร้อง
สำนักกฎหมายและคดี สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง
วันที่ ๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๐
เป็นเงินที่บุคคลภายนอกต้องจ่ายให้แก่ผู้ไม่ชำระค่าปรับ ให้บุคคลภายนอกชำระเงินให้แก่นายทะเบียน
หรือผู้ที่นายทะเบียนมอบหมายตามมาตรา ๑๓๒ วรรคสอง
การพิจารณาลงโทษตามที่บัญญัติไว้น้อยกว่าที่กำหนด
การกระทำความผิดทางอาญาหรือทางปกครองตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้เป็น
ครั้งแรก ให้ศาลหรือคณะกรรมการการเลือกตั้ง แล้วแต่กรณีพิจารณาโทษทางอาญาหรือทาง
ปกครองตามที่พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้กำหนดให้การกระทำนั้นเป็นความผิดขึ้นใหม่
โดยคำนึงถึงความร้ายแรงและพฤติการณ์ของการกระทำความผิด ผลของการกระทำความผิดและ
เหตุสมควรอื่น โดยให้ศาลหรือคณะกรรมการการเลือกตั้งลงโทษทางอาญาหรือทางปกครองตามที่
บัญญัติไว้ในหมวดนี้น้อยกว่าที่กำหนดเพียงใดก็ได้ ตามบทเฉพาะกาล มาตรา ๑๓๔
การเป็นผู้เสียหายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
นายทะเบียนเป็นผู้เสียหายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาและกฎหมายอื่น และ
ให้ได้รับยกเว้นค่าฤชาธรรมเนียมทั้งปวงตามมาตรา ๗ วรรคสอง
** หมายเหตุ ประโยชน์อื่นใดอันอาจคำนวณเป็นเงินได้ หมายความรวมถึง (มาตรา ๔ วรรคห้า)
(๑) การปลดหนี้ หรือการลดหนี้ให้เปล่า
(๒) การให้ยืมโดยไม่คิดดอกเบี้ย
(๓) การเข้าค้ำประกันโดยไม่คิดค่าธรรมเนียม
(๔) การให้ใช้สถานที่ ยานพาหนะ หรือทรัพย์สิน โดยไม่คิดค่าเช่าหรือค่าบริการ
หรือคิดน้อยกว่าที่คิดกับบุคคลอื่น โดยปกติทางการค้า
(๕) การให้ใช้บุคลากร ซึ่งมิใช่ลูกจ้างหรือผู้รับจ้าง โดยไม่ต้องชำระค่าจ้างหรือสินจ้าง
หรือต้องชำระเพียงบางส่วน เว้นแต่การเป็นอาสาสมัครนอกเวลาการทำงานโดยปกติของผู้นั้น
(๖) การให้ใช้บริการโดยไม่คิดค่าบริการ หรือคิดน้อยกว่าที่คิดกับบุคคลอื่น โดยปกติทางการค้า
(๗) การให้ส่วนลดในสินค้าหรือทรัพย์สินที่จำหน่าย มากกว่าที่ให้กับบุคคลอื่น โดยปกติทางการค้า
(๘) การให้เดินทางหรือให้ขนส่งบุคคลหรือสิ่งของโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย หรือคิดน้อย
กว่าบุคคลอื่น โดยปกติทางการค้า
(๙) การจัดเลี้ยง การจัดมหรสพ หรือการบันเทิงอื่นให้โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย หรือคิด
น้อยกว่าที่คิดกับบุคคลอื่น โดยปกติทางการค้า
(๑๐) การใช้บริการวิชาชีพอิสระ เช่น แพทย์ ทันตแพทย์ พยาบาล สถาปนิก วิศวกร
กฎหมาย หรือบัญชี โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย หรือคิดน้อยกว่าที่คิดกับบุคคลอื่น โดยปกติทางการค้า
(๑๑) การอื่น ซึ่งเป็นการกระทำที่ทำให้ได้ประโยชน์อื่นใดอันอาจคำนวณเป็นเงินได้
หรือไม่ต้องออกค่าใช้จ่ายซึ่งโดยปกติต้องจ่าย
สำนักกฎหมายและคดี สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง
วันที่ ๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๐
การดำเนินการตาม (๕) (๖) (๗) (๘) (๙) หรือ (๑๐) ซึ่งจัดให้แก่สมาชิกและมิได้
เป็นไปเพื่อการหาเสียง มิให้ถือว่าเป็นประโยชน์อื่นใดอันอาจคำนวณเป็นเงินได้ตามพระราชบัญญัติ
ฉบับนี้ (มาตรา ๔ วรรคหก)
------------------------------------
--คณะกรรมการการเลือกตั้ง-