สรุปสถานการณ์:
ธนาคารโลกได้ให้ความเห็นว่านานาชาติควรปรับตัวให้เข้ากับจีน อินเดีย ที่กำลังจะเป็นมหาอำนาจแห่งเอเซีย และให้หลีกเลี่ยงการใช้มาตรการกีดกันการค้าเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของประเทศตน พร้อมกันนี้ได้ชี้ให้เห็นว่าการกีดกันทางการค้าโดยใช้มาตรการภาษีนำเข้าชั่วคราวเป็นวิธีการคุ้มครองที่ล้าสมัย
นายปีเตอร์ สตีเฟนส์ ผู้จัดการด้านการสื่อสารระหว่างภูมิภาคในเอเชียตะวันออกและแปซิฟิกธนาคารโลก ได้กล่าวที่สิงคโปร์ว่า “เป็นความคิดที่ไม่ถูกต้องที่ทั่วโลกยังคิดว่าจีนเป็นอะไรที่ต้องจัดการให้อยู่ในความควบคุม” และยังชี้ให้เห็นว่า การส่งออกของจีนที่เพิ่มสูงขึ้นด้วยอัตรา 20% ถึง 30% ต่อปี ซึ่งเป็นการขยายตัวอย่างรวดเร็วโดยเฉพาะการส่งออกสิ่งทอของจีนได้ทำให้จีนได้เปรียบดุลการค้าถึง 2,100 ล้านเหรียญสหรัฐ จากเหตุดังกล่าวทำให้ชาติตะวันตกโดยเฉพาะสหรัฐฯ และสหภาพยุโรป(อียู) ออกมาโจมตีกล่าวหาจีนว่าได้ทุ่มตลาด ทั้งที่อียูออกมาตรการโต้ตอบด้วยการกำหนดอัตราภาษีนำเข้าและในเดือนมิถุนายนก็ได้กำหนดโควตานำเข้าสิ่งทอของจีน ทั้งนี้ นายสตีเฟนส์ กล่าวว่า การกำหนดอัตราภาษีนำเข้าเป็นการกีดกันทางการค้าที่เลวร้ายที่สุดและไม่ยุติธรรม สมควรที่ประเทศต่างๆ ในโลกควรจะต้องช่วยกันผลักดันให้การส่งเสริมการค้าหลากหลายชาติ
ขณะเดียวกัน นายเดวิด ดอลลาร์ เจ้าหน้าที่ธนาคารโลกประจำประเทศจีน ได้แสดงความเห็นในเรื่องนโยบายค่าเงินหยวนซึ่งเคลื่อนไหวในระดับ 8.27 และ 8.28 ต่อ 1 ดอลลาร์สหรัฐว่าเป็นความชอบธรรม และชอบด้วยกฎหมาย และไม่เป็นการฉกฉวยผลประโยชน์จากค่าเงิน
ประเด็นวิเคราะห์:
ประเทศต่างๆ ในโลกควรปรับเปลี่ยนท่าทีและหันมามองจีนและอินเดียเสียใหม่ว่าเป็นประเทศทั้ง 2 จะเป็นประเทศที่ร่ำรวยที่เกิดใหม่ และจะก้าวขึ้นมายืนเป็นประเทศมหาอำนาจในแถบเอเซียต่อไปในอนาคต
ที่มา: http://www.depthai.go.th