“อลงกรณ์”เชื่อแนวโน้มการเมืองไทยครึ่งปีหลังดีขึ้นจาก 4 ปัจจัย ชี้การจัดตั้งพรรคมัชฌิมาและพรรครวมใจไทยเป็นผลดีต่อการเมืองไทยเพราะทำให้ประชาชนมีทางเลือกมากขึ้น ส่วนจะเป็นพันธมิตรกับพรรคประชาธิปัตย์หรือไม่ขึ้นกับแนวทางยุทธศาสตร์นโยบายและจุดยืนประชาธิปไตย
วันนี้(30 มิ.ย.50) นายอลงกรณ์ พลบุตร รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์แถลง ว่า แนวโน้มการเมืองครึ่งปีหลังดีขึ้นเพราะ 4 ปัจจัย ได้แก่
1. ความคืบหน้าของการแปรญัตติร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ของสภาร่างรัฐธรรมนูญซึ่งเสร็จตามกำหนดเวลา
2. การกำหนดวันที่ 19 สิงหาคมเป็นวันลงประชามติรัฐธรรมนูญ
3. การเดินหน้าไปสู่การเลือกตั้งทั่วไปที่จะมีขึ้นภายในเดือนพ.ย.หรือธ.ค.ของปีนี้และ
4. การเคลื่อนไหวก่อตั้งพรรคการเมืองใหม่ๆเป็นไปอย่างคึกคักทำให้แผนฟื้นฟูประชาธิปไตยมีความชัดเจนมากขึ้นและคืบหน้าตามกรอบเวลาที่กำหนดไว้ซึ่งจะส่งผลให้เกิดเสถียรภาพทางการเมืองและเศรษฐกิจของประเทศโดยรวม
รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ยังให้ความเห็นต่อไปว่า การเคลื่อนไหวของกลุ่มมัชฌิมาและกลุ่มรวมใจไทยในการจัดตั้งเป็นพรรคการเมืองใหม่ถือเป็นนิมิตรหมายที่ดีในทางการเมืองเพราะจะทำให้ประชาชนมีทางเลือกมากขึ้นในการเลือกตั้งที่จะมาถึงภายในสิ้นปีนี้ซึ่งสอดคล้องกับจุดยืนของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ที่ส่งเสริมให้การเลือกตั้งเป็นไปอย่างเสรีบริสุทธิ์ยุติธรรมและมีทางเลือกที่หลากหลายภายใต้รัฐธรรมนูญที่เป็นประชาธิปไตย และหวังว่าจะมีพรรคการเมืองใหม่ๆเกิดขึ้นนอกเหนือจาก 2 พรรคดังกล่าว
ส่วนคำถามที่ว่าทั้ง 2 พรรคจะเป็นแนวร่วมหรือพันธมิตรกับพรรคประชาธิปัตย์หรือไม่นั้น รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์กล่าวว่า ขึ้นกับแนวทางยุทธศาสตร์และนโยบายของพรรคทั้ง 2 และเท่าที่ติดตามการดำเนินงานของกลุ่มมัชฌิมาและกลุ่มรวมใจไทยก็ให้ความสำคัญกับเรื่องนโยบาย ซึ่งสอดคล้องกับแนวทางใหม่ของพรรคประชาธิปัตย์ที่มุ่งเน้นการจัดทำยุทธศาสตร์และนโยบายสาธารณะเป็นหัวใจสำคัญ แต่ต้องขอดูว่าแนวทางนโยบายสอดคล้องต้องกันหรือไม่ รวมทั้งจุดยืนประชาธิปไตย
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 30 มิ.ย. 2550--จบ--
วันนี้(30 มิ.ย.50) นายอลงกรณ์ พลบุตร รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์แถลง ว่า แนวโน้มการเมืองครึ่งปีหลังดีขึ้นเพราะ 4 ปัจจัย ได้แก่
1. ความคืบหน้าของการแปรญัตติร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ของสภาร่างรัฐธรรมนูญซึ่งเสร็จตามกำหนดเวลา
2. การกำหนดวันที่ 19 สิงหาคมเป็นวันลงประชามติรัฐธรรมนูญ
3. การเดินหน้าไปสู่การเลือกตั้งทั่วไปที่จะมีขึ้นภายในเดือนพ.ย.หรือธ.ค.ของปีนี้และ
4. การเคลื่อนไหวก่อตั้งพรรคการเมืองใหม่ๆเป็นไปอย่างคึกคักทำให้แผนฟื้นฟูประชาธิปไตยมีความชัดเจนมากขึ้นและคืบหน้าตามกรอบเวลาที่กำหนดไว้ซึ่งจะส่งผลให้เกิดเสถียรภาพทางการเมืองและเศรษฐกิจของประเทศโดยรวม
รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ยังให้ความเห็นต่อไปว่า การเคลื่อนไหวของกลุ่มมัชฌิมาและกลุ่มรวมใจไทยในการจัดตั้งเป็นพรรคการเมืองใหม่ถือเป็นนิมิตรหมายที่ดีในทางการเมืองเพราะจะทำให้ประชาชนมีทางเลือกมากขึ้นในการเลือกตั้งที่จะมาถึงภายในสิ้นปีนี้ซึ่งสอดคล้องกับจุดยืนของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ที่ส่งเสริมให้การเลือกตั้งเป็นไปอย่างเสรีบริสุทธิ์ยุติธรรมและมีทางเลือกที่หลากหลายภายใต้รัฐธรรมนูญที่เป็นประชาธิปไตย และหวังว่าจะมีพรรคการเมืองใหม่ๆเกิดขึ้นนอกเหนือจาก 2 พรรคดังกล่าว
ส่วนคำถามที่ว่าทั้ง 2 พรรคจะเป็นแนวร่วมหรือพันธมิตรกับพรรคประชาธิปัตย์หรือไม่นั้น รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์กล่าวว่า ขึ้นกับแนวทางยุทธศาสตร์และนโยบายของพรรคทั้ง 2 และเท่าที่ติดตามการดำเนินงานของกลุ่มมัชฌิมาและกลุ่มรวมใจไทยก็ให้ความสำคัญกับเรื่องนโยบาย ซึ่งสอดคล้องกับแนวทางใหม่ของพรรคประชาธิปัตย์ที่มุ่งเน้นการจัดทำยุทธศาสตร์และนโยบายสาธารณะเป็นหัวใจสำคัญ แต่ต้องขอดูว่าแนวทางนโยบายสอดคล้องต้องกันหรือไม่ รวมทั้งจุดยืนประชาธิปไตย
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 30 มิ.ย. 2550--จบ--