แท็ก
ยูนิวานิชน้ำมันปาล์ม
อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
กรมการขนส่งทางบก
กระทรวงการคลัง
กระทรวงกลาโหม
สถานีวิทยุ
คำต่อคำรายการตรงไปตรงมากับอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
ทางสถานีวิทยุ 101 ช่วงเวลา 08.00 — 08.30 น.
วันศุกร์ที่ 17 สิงหาคม 2550
ผู้ดำเนินรายการ สวัสดีค่ะ คุณอภิสิทธิ์คะ สวัสดีครับ คุณอภิสิทธิ์ครับ
คุณอภิสิทธิ์ สวัสดีครับ คุณอวัสดาครับ สวัสดีครับ คุณเติมศักดิ์ครับ
ผู้ดำเนินรายการ คุณอภิสิทธิ์ถึงเชียงใหม่แล้วเรียบร้อยนะคะ ก็วันนี้มีภารกิจหลายอย่างใช่ไม๊คะ ทั้งดีเบต ทั้งแก้ปัญหาลำไย
คุณอภิสิทธิ์ ครับ ก็คงไม่ใช่เรื่องดีเบตหรอกครับ วันนี้ผมเดินทางมาจริง ๆ แล้วเราตั้งใจมาพบกับพี่น้องชาวเหนือเกี่ยวกับเรื่องของลำไย และก็พบปะกับนักธุรกิจในเรื่องของวาระประชาชน พอดีทางมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ก็ได้จัดการอภิปรายในเรื่องของรัฐธรรมนูญ และเชิญทางพรรคด้วย ผมก็เลยเดินทางมาแล้วก็ ผมและก็คุณชำนิ ศักดิเศรษฐ์ ก็จะได้พูดที่ มช. นะครับ และจากนั้น ผมก็จะไปทำภารกิจที่ลำพูน และเชียงใหม่ ในเรื่องเศรษฐกิจต่อไปครับ
ผู้ดำเนินรายการ โค้งสุดท้ายแล้วครับ วันอาทิตย์นี้ 19 สิงหาคม ก็จะเป็นวันลงประชามติแล้ว คุณอภิสิทธิ์อยากฝากอะไรบ้างครับ
คุณอภิสิทธิ์ ผมฟังซุ่มเสียง อย่างน้อยก็สื่อมวลชน ที่ยังสัมภาษณ์ผมอยู่ทุกวันนี้ รู้สึกกังวลมากกับบรรยากาศนะครับ ว่ามันรุนแรงขึ้นไม๊ มีการไปทำวิธีการนอกรูปแบบอะไรไม๊ ผมก็เพียงแต่บอกว่า จริง ๆ มันคงไม่ต่างจากการมีเลือกตั้ง เวลาที่มีการเลือกตั้งนั้น การรณรงค์หาเสียงที่เข้มข้นที่สุดก็คือช่วงสุดท้ายนะครับ และก็การทุจริต การซื้อเสียงก็มักจะเกิดขึ้นคืนสองคืนสุดท้าย นี่แหละ เพราะฉะนั้นจริง ๆ แล้ว บทบาทสำคัญที่สุดตอนนี้คือ กกต. ซึ่ง กกต. ต้องเตรียมรับมือกับสภาพอย่างนี้เพื่อที่จะแก้ไขปัญหาไปนะครับ อันนี้คือประเด็นแรก
ประเด็นที่สองก็คือว่า ผมคิดว่าเมื่อบรรยากาศมาถึงจุดนี้แล้ว เรามาช่วยกันคิดดีกว่าว่าทำอย่างไร วันที่ 19 นะครับ เราจะได้ก้าวพ้นไปจากสภาพปัญหาที่เรากังวลกันอยู่ ถ้าวันที่ 19 การลงประชามติเต็มไปด้วยความเรียบร้อยเสร็จสิ้น คนไปใช้สิทธิ์กันมาก ๆ ผมถือว่าทุกอย่างต้องจบ ทุกอย่างต้องจบ เพื่อที่จะให้บ้านเมืองเดินไปข้างหน้า
ผู้ดำเนินรายการ ไม่ว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไร ใช่ไม๊คะ
คุณอภิสิทธิ์ ไม่ว่าผลจะออกมาอย่างไรก็ต้องว่าไปตามกระบวนการนะครับ เพียงแต่ว่าจุดที่ทำให้ผมและพรรคประชาธิปัตย์บอกว่า เราเห็นด้วยกับแนวทางที่จะรับรัฐธรรมนูญเพราะว่า ในส่วนของสาระนั้นก็พอไปได้ จริง ๆ แล้วขณะนี้ตอนหลังก็ไม่ได้ถกเถียงเรื่องสาระเท่าไหร่นะครับ แต่ว่าสำคัญก็คือว่า ถ้ามันผ่านไปได้ ผมก็ถือว่าจบแล้วครับ ในเรื่องความขัดแย้งจะอำนาจเก่า อำนาจใหม่ เราก็ก้าวไปสู่กระบวนการตามที่กำหนดเอาไว้ ก็คือมีกฎหมายลูก มีกฎหมายเลือกตั้ง และบ้านเมืองก็ก้าวพ้นไปนะครับ ทั้งปัญหาวังวนอำนาจเก่า อำนาจใหม่ตรงนี้ เพราะว่า ในเรื่องของอำนาจเก่าขณะนี้มันไม่ควรจะมีประเด็นอะไรแล้ว มันก็เป็นเรื่องของการตรวจสอบ กระบวนการยุติธรรมขึ้นศาลว่ากันไป ส่วนอำนาจใหม่นั้น ก็ต้องถือว่าเขาต้องสิ้นสุดลงนะครับ เมื่อรัฐธรรมนูญประกาศใช้นะครับ เพราะว่าก็ต้องเข้าสู่กระบวนการของการเลือกตั้งและก็มีรัฐบาลใหม่
ผู้ดำเนินรายการ โค้งสุดท้าย อาทิตย์สุดท้าย ที่ได้เจอกับประชาชนเสียงตอบรับกลับมาเป็นอย่างไรบ้างคะคุณอภิสิทธิ์
คุณอภิสิทธิ์ ผมว่าก็ไม่ได้แตกต่างจากเดิมเท่าไหร่นะครับ คือฝ่ายที่อยากจะแสดงจุดยืนไม่เห็นด้วยเพราะว่า ไม่ชอบที่มาที่อะไร ก็คิดว่าคงไม่มีอะไรที่จะเปลี่ยนใจนะครับ ขณะเดียวกันฝ่ายที่เขาก็บอกว่า พอไปได้ให้รับไปก่อน เขาก็คงไม่มีอะไรไปเปลี่ยนใจเขาเหมือนกันนะครับ ก็คงไม่ได้มีอะไรมาก เพียงแต่ว่า ฝ่ายที่เขามีหน้าที่ในการรณรงค์ทางหนึ่งทางใด หรืออยากจะรณรงค์ทางหนึ่งทางใดนั้น เขาก็ต้องทำให้มันเข้มข้นเป็นพิเศษในช่วงท้าย เพื่อให้มีการปลุกกระแสหรืออะไรไปนะครับ ก็คงพรุ่งนี้ก็วันสุดท้ายนะครับ ที่จะรณรงค์อะไรกันนั้น แล้วก็วันอาทิตย์คงเรียบร้อยครับ
ผู้ดำเนินรายการ ครับ มีข้อวิจารณ์อันหนึ่งที่เห็นหลายเวทีก็พูดนะครับว่า รัฐธรรมนูญ 2550 ฉบับนี้จะทำให้รัฐบาลอ่อนแอ ล้มง่าย รอวันถูกปฏิวัติอะไรอย่างนี้ครับ คุณอภิสิทธิ์มองเรื่องนี้ว่าอย่างไร
คุณอภิสิทธิ์ ผมคิดว่า บางทีก็อาจจะคิดเกินเลยไปนะครับ ผมว่าสภาพของรัฐบาลที่จะเกิดขึ้นที่คาดการณ์กันว่าเป็นรัฐบาลผสมนั้น มันไม่ได้เป็นเรื่องของรัฐธรรมนูญนะครับ มันเป็นไปตามสภาพของการเมือง แล้วก็ผมเชื่อนะครับว่า ไม่ว่าจะฉบับไหนเอามาใช้ ขณะนี้ก็น่าจะเกิดรัฐบาลผสม แล้วก็เมื่อเวลาผ่านไป รัฐบาลผสมนะครับ เมื่อมีการเลือกตั้งต่อเนื่องไป กระบวนการของการที่พรรคการเมืองจะรวมตัวจับกลุ่มเป็นพันธมิตร มันก็จะเกิดขึ้นโดยธรรมชาติ นะครับ และผมก็ไม่คิดว่า พูดถึงขั้นว่าจะนำไปสู่การรัฐประหาร ที่จริงถ้าดูตามประวัติศาสตร์ ยังไม่เคยมีการทำรัฐประหารครั้งไหนเกิดขึ้นเพราะเป็นรัฐบาลผสมและอ่อนแอ การรัฐประหารเกิดขึ้นจากการไปเผชิญหน้า ในเรื่องของการทุจริต คอร์รัปชั่น หรือการปะทะกันกับกลุ่มอำนาจราชการหรืออะไรต่าง ๆ เหมือนกับกระบวนการปกติจัดการไม่ได้ แล้วก็มีฝ่ายหนึ่งเอากำลังออกมาใช้ ผมยังไม่เห็นนะครับ ว่า การปฏิวัติรัฐประหารครั้งไหนที่เป็นเรื่องของรัฐบาลผสม หลายพรรค อ่อนแอ เลยต้องมาปฏิวัติรัฐประหารกัน ไม่ใช่ มีแต่ว่าถ้าเป็นอย่างนั้น ก็เลือกตั้งกันบ่อย แล้วก็การเลือกตั้งก็จะค่อย ๆ ทำให้พรรคการเมืองต่าง ๆ เริ่มที่จะรวมตัวกัน แล้วทำให้เกิดความชัดเจนทางการเมืองมากขึ้นนะครับ รัฐบาลผสมจะเป็นรัฐบาลที่เข้มแข็งอ่อนแอหรือไม่ ก็อยู่ที่ภาวะผู้นำนะครับ ถ้าผู้นำมีความชัดเจน มีเจตนารมณ์ทางการเมืองที่ชัดเจน สามารถที่จะทำให้ประชาชนสนับสนุนสิ่งที่ตัวเองจะทำได้ ผมก็ไม่ได้มองว่ารัฐบาลผสมเนี่ย เป็นเรื่องยากในการบริหารจัดการจนเกินไปในยุคสมัยนี้
อย่างผมนั้น ผมก็พูดชัดนะครับ ว่าสมมติว่า พรรคประชาธิปัตย์ได้เป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล เราก็พูดกันตั้งแต่ต้นว่า ทุกคนมาสนับสนุนวาระประชาชน ประชาชนต้องมาก่อน หลักการนี้เอาหรือเปล่า ไม่เอา ผมก็บอกว่า ก็คงจะจัดตั้งรัฐบาลร่วมกันไม่ได้ ถ้าเอาก็ต้องทำให้สำเร็จนะครับ แล้วถามว่า คนมาเป็นรัฐบาลแล้ว มีผลประโยชน์อะไรที่จะทำให้รัฐบาลตนเองอ่อนแอ เพราะถ้ารัฐบาลตัวเองอ่อนแอ ไม่ผลักดันนโยบาย ก็รอพ่ายแพ้ในการเลือกตั้งครั้งหน้า มันจะมีประโยชน์อะไรสำหรับพรรคการเมือง เพราะฉะนั้นผมว่า ในฐานะผู้ปฏิบัตินะครับ ที่ต้องใช้รัฐธรรมนูญ ผมว่าบางทีอาจจะเกิดเลยไปที่จะไปบอกว่ามันจะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้
ผู้ดำเนินรายการ แล้วที่ว่า รับไปแล้ว ต่อมาอาจจะมีการแก้ไขทีหลัง มีคนบอกว่า ค่อนข้างยาก คุณอุทัยถึงกับเอาคอเป็นประกัน ถ้ามีการแก้ไขได้
คุณอภิสิทธิ์ ผมก็ได้พูดไปแล้วว่าผมไม่ได้คิดว่าเป็นอย่างนั้นเพราะว่า อันที่ 1 ผมคิดว่า เรื่องของการแก้ไข บทบัญญัติในรัฐธรรมนูญฉบับร่างนี้ ได้กำหนดให้การแก้ไขน่าจะง่ายกว่าฉบับอื่น เนื่องจากมีเสียงกดดันจากประชาชนได้ เพราะว่าเป็นครั้งแรกที่ประชาชนสามารถที่จะแสดงเจตนารมณ์เข้าชื่อเพื่อแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญได้ นั่นข้อที่ 1 ข้อที่ 2 ไม่ว่าจะฉบับนี้หรือฉบับไหนกระแสสังคมในขณะนี้ ถึงแม้ว่าเราจะเอาฉบับ 40 กลับมาใช้ ก็คือต้องแก้ไขอยู่แล้ว ข้อที่ 3 โดยสภาพข้อเท็จจริง รัฐสภาเป็นผู้ลงมติ เอาหล่ะ มี 74 ท่านที่มาจากการสรรหา ซึ่งผมคงพูดไม่ได้ว่า เราจะคิดอย่างไรนะครับ แต่ผมดูสภาผู้แทนราษฎรซึ่งเป็นเสียงข้างมากในรัฐสภา ผมเห็นว่าพรรคการเมืองที่กำลังจะเข้าไปในสภาชุดใหม่นี้มี 2 กลุ่ม กลุ่ม 1 คือกลุ่มที่ไม่เอาฉบับนี้ ถ้าฉบับนี้ผ่านเขาต้องเสนอแก้ไขแน่ กลุ่มที่ 2 ก็คือ อย่างพรรคประชาธิปัตย์ หรือพรรคการเมืองอื่น ๆ ที่บอกว่า เรารับแต่ไม่ได้บอกว่า มันสมบูรณ์ ฉะนั้นรับก็คือ รอให้ผู้แทนจากประชาชนมาแก้ไข เพราะฉะนั้นเฉพาะตรงนี้ผมถึงมองว่า สภาผู้แทนราษฎรทั้งสภา มีความคิดที่จะแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญอยู่แล้ว ทำไมถึงจะแก้ไขไม่ได้ อันนี้ผมก็มองจากสภาพความเป็นจริง ตรรกะที่บอกว่าคนที่มาจากการเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญนี้คือผู้ที่ได้ประโยชน์ตามรัฐธรรมนูญนี้ เพราะฉะนั้นไม่คิดแก้ไข ผมถึงบอกว่า เอาตัวผมเป็นตัวอย่างก็แล้วกัน ถ้าผมลงส.ส.สมัยหน้า ผมได้รับเลือกตั้ง ผมก็ไม่คิดหรอกว่า ไม่แก้ไขเพราะว่าผมได้รับเลือกตั้งมาตามรัฐธรรมนูญฉบับนี้ มันไม่ได้เป็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้นผมยังมั่นใจนะครับว่า ถ้าผ่านไปแล้ว ขบวนการการแก้ไขเกิดขึ้น ส่วนที่บอกว่า จะถูกคนมาบอกไม๊ว่า คนเป็น 10 ล้านคนไปลงคะแนนรับ ก็คนใน 10 คน หรือกี่ล้านคนที่ไปลงคะแนนรับ ส่วนใหญ่เขาอาจจะบอกก็ได้ว่าเขารับไปก่อนค่อยแก้ไข เขาไม่ได้บอกว่ารับแล้วไม่ให้มีการแตะต้องแก้ไข ตลอดไป เพราะฉะนั้นผมก็ยังยืนยันว่า แนวคิดในเรื่องของการแก้ไข มันเป็นแนวคิดที่เป็นจริงนะครับ และทุกพรรคการเมืองก็มีแนวโน้มที่จะทำอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นถ้าเป็นห่วงว่า ผ่านไปแล้วจะแก้ไขไม่ได้เลยนั้น ผมคิดว่า คงไม่สอดคล้องกับข้อเท็จจริง
ผู้ดำเนินรายการ ค่ะ ถึงวันนี้คุณอภิสิทธิ์คิดว่า เสียงเชียร์ รับ เนี่ย ยังเยอะอยู่ไม๊คะ
คุณอภิสิทธิ์ คือ มันก็มีทั้งเสียงเชียร์รับ เชียร์ไม่รับ อะไรนะครับ แล้วก็ตอนนี้ก็อยู่ในช่วงซึ่งเขาห้ามบอกแล้วว่า ไป ผลสำรวจอะไรต่าง ๆ ผมคงไม่ไปคาดคะเนอะไรนะครับ แต่ผมมั่นใจอย่างนี้ครับ ผมมั่นใจว่า ประชาชนส่วนใหญ่อยากให้บ้านเมืองเดินหน้า ประชาชนส่วนใหญ่รอการแก้ไขปัญหาและคิดว่า การแก้ไขปัญหาจะเกิดขึ้นได้เมื่อมีความชัดเจนทางการเมืองนะครับ เพราะฉะนั้นไม่ว่าการรณรงค์จะเป็นอย่างไรในช่วงวัน สองวันที่เหลือ ผมคิดว่านี่คือความรู้สึกที่เป็นความรู้สึกหลักของสังคม แล้วก็จะเป็นตัวชี้ในการตัดสินใจในวันอาทิตย์
ผู้ดำเนินรายการ เอาหล่ะครับ อยากฝากอะไรอีกครั้งไม๊ครับ สำหรับวันอาทิตย์นี้
คุณอภิสิทธิ์ ก็ขอย้ำอีกครั้งนะครับว่า วันที่ 19 นี้ก็ขอให้พี่น้องประชาชนไปแสดงพลังกันมาก ๆ ว่า นี่คือกระบวนการที่เราต้องการจะใช้ในการชี้ชะตาอนาคตของประเทศนะครับ และก็เมื่อวันที่ 19 ผ่านพ้นไป ช่วยกันเป็นกำลังในการผลักดันให้บ้านเมืองหลุดพ้นจากสภาพการเมืองที่เป็นปัญหาและก็สร้างปัญหาให้กับประชาชนมาเป็นเวลาเกือบ 2 ปีแล้ว อันนี้คือสิ่งที่อยากจะฝากไว้ครับ
ผู้ดำเนินรายการ ค่ะเอาละค่ะ ขอบคุณมากครับ คุณอภิสิทธิ์ครับ สวัสดีครับ
คุณอภิสิทธิ์ ครับ สวัสดีครับ
*************************************************
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 17 ส.ค. 2550--จบ--
ทางสถานีวิทยุ 101 ช่วงเวลา 08.00 — 08.30 น.
วันศุกร์ที่ 17 สิงหาคม 2550
ผู้ดำเนินรายการ สวัสดีค่ะ คุณอภิสิทธิ์คะ สวัสดีครับ คุณอภิสิทธิ์ครับ
คุณอภิสิทธิ์ สวัสดีครับ คุณอวัสดาครับ สวัสดีครับ คุณเติมศักดิ์ครับ
ผู้ดำเนินรายการ คุณอภิสิทธิ์ถึงเชียงใหม่แล้วเรียบร้อยนะคะ ก็วันนี้มีภารกิจหลายอย่างใช่ไม๊คะ ทั้งดีเบต ทั้งแก้ปัญหาลำไย
คุณอภิสิทธิ์ ครับ ก็คงไม่ใช่เรื่องดีเบตหรอกครับ วันนี้ผมเดินทางมาจริง ๆ แล้วเราตั้งใจมาพบกับพี่น้องชาวเหนือเกี่ยวกับเรื่องของลำไย และก็พบปะกับนักธุรกิจในเรื่องของวาระประชาชน พอดีทางมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ก็ได้จัดการอภิปรายในเรื่องของรัฐธรรมนูญ และเชิญทางพรรคด้วย ผมก็เลยเดินทางมาแล้วก็ ผมและก็คุณชำนิ ศักดิเศรษฐ์ ก็จะได้พูดที่ มช. นะครับ และจากนั้น ผมก็จะไปทำภารกิจที่ลำพูน และเชียงใหม่ ในเรื่องเศรษฐกิจต่อไปครับ
ผู้ดำเนินรายการ โค้งสุดท้ายแล้วครับ วันอาทิตย์นี้ 19 สิงหาคม ก็จะเป็นวันลงประชามติแล้ว คุณอภิสิทธิ์อยากฝากอะไรบ้างครับ
คุณอภิสิทธิ์ ผมฟังซุ่มเสียง อย่างน้อยก็สื่อมวลชน ที่ยังสัมภาษณ์ผมอยู่ทุกวันนี้ รู้สึกกังวลมากกับบรรยากาศนะครับ ว่ามันรุนแรงขึ้นไม๊ มีการไปทำวิธีการนอกรูปแบบอะไรไม๊ ผมก็เพียงแต่บอกว่า จริง ๆ มันคงไม่ต่างจากการมีเลือกตั้ง เวลาที่มีการเลือกตั้งนั้น การรณรงค์หาเสียงที่เข้มข้นที่สุดก็คือช่วงสุดท้ายนะครับ และก็การทุจริต การซื้อเสียงก็มักจะเกิดขึ้นคืนสองคืนสุดท้าย นี่แหละ เพราะฉะนั้นจริง ๆ แล้ว บทบาทสำคัญที่สุดตอนนี้คือ กกต. ซึ่ง กกต. ต้องเตรียมรับมือกับสภาพอย่างนี้เพื่อที่จะแก้ไขปัญหาไปนะครับ อันนี้คือประเด็นแรก
ประเด็นที่สองก็คือว่า ผมคิดว่าเมื่อบรรยากาศมาถึงจุดนี้แล้ว เรามาช่วยกันคิดดีกว่าว่าทำอย่างไร วันที่ 19 นะครับ เราจะได้ก้าวพ้นไปจากสภาพปัญหาที่เรากังวลกันอยู่ ถ้าวันที่ 19 การลงประชามติเต็มไปด้วยความเรียบร้อยเสร็จสิ้น คนไปใช้สิทธิ์กันมาก ๆ ผมถือว่าทุกอย่างต้องจบ ทุกอย่างต้องจบ เพื่อที่จะให้บ้านเมืองเดินไปข้างหน้า
ผู้ดำเนินรายการ ไม่ว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไร ใช่ไม๊คะ
คุณอภิสิทธิ์ ไม่ว่าผลจะออกมาอย่างไรก็ต้องว่าไปตามกระบวนการนะครับ เพียงแต่ว่าจุดที่ทำให้ผมและพรรคประชาธิปัตย์บอกว่า เราเห็นด้วยกับแนวทางที่จะรับรัฐธรรมนูญเพราะว่า ในส่วนของสาระนั้นก็พอไปได้ จริง ๆ แล้วขณะนี้ตอนหลังก็ไม่ได้ถกเถียงเรื่องสาระเท่าไหร่นะครับ แต่ว่าสำคัญก็คือว่า ถ้ามันผ่านไปได้ ผมก็ถือว่าจบแล้วครับ ในเรื่องความขัดแย้งจะอำนาจเก่า อำนาจใหม่ เราก็ก้าวไปสู่กระบวนการตามที่กำหนดเอาไว้ ก็คือมีกฎหมายลูก มีกฎหมายเลือกตั้ง และบ้านเมืองก็ก้าวพ้นไปนะครับ ทั้งปัญหาวังวนอำนาจเก่า อำนาจใหม่ตรงนี้ เพราะว่า ในเรื่องของอำนาจเก่าขณะนี้มันไม่ควรจะมีประเด็นอะไรแล้ว มันก็เป็นเรื่องของการตรวจสอบ กระบวนการยุติธรรมขึ้นศาลว่ากันไป ส่วนอำนาจใหม่นั้น ก็ต้องถือว่าเขาต้องสิ้นสุดลงนะครับ เมื่อรัฐธรรมนูญประกาศใช้นะครับ เพราะว่าก็ต้องเข้าสู่กระบวนการของการเลือกตั้งและก็มีรัฐบาลใหม่
ผู้ดำเนินรายการ โค้งสุดท้าย อาทิตย์สุดท้าย ที่ได้เจอกับประชาชนเสียงตอบรับกลับมาเป็นอย่างไรบ้างคะคุณอภิสิทธิ์
คุณอภิสิทธิ์ ผมว่าก็ไม่ได้แตกต่างจากเดิมเท่าไหร่นะครับ คือฝ่ายที่อยากจะแสดงจุดยืนไม่เห็นด้วยเพราะว่า ไม่ชอบที่มาที่อะไร ก็คิดว่าคงไม่มีอะไรที่จะเปลี่ยนใจนะครับ ขณะเดียวกันฝ่ายที่เขาก็บอกว่า พอไปได้ให้รับไปก่อน เขาก็คงไม่มีอะไรไปเปลี่ยนใจเขาเหมือนกันนะครับ ก็คงไม่ได้มีอะไรมาก เพียงแต่ว่า ฝ่ายที่เขามีหน้าที่ในการรณรงค์ทางหนึ่งทางใด หรืออยากจะรณรงค์ทางหนึ่งทางใดนั้น เขาก็ต้องทำให้มันเข้มข้นเป็นพิเศษในช่วงท้าย เพื่อให้มีการปลุกกระแสหรืออะไรไปนะครับ ก็คงพรุ่งนี้ก็วันสุดท้ายนะครับ ที่จะรณรงค์อะไรกันนั้น แล้วก็วันอาทิตย์คงเรียบร้อยครับ
ผู้ดำเนินรายการ ครับ มีข้อวิจารณ์อันหนึ่งที่เห็นหลายเวทีก็พูดนะครับว่า รัฐธรรมนูญ 2550 ฉบับนี้จะทำให้รัฐบาลอ่อนแอ ล้มง่าย รอวันถูกปฏิวัติอะไรอย่างนี้ครับ คุณอภิสิทธิ์มองเรื่องนี้ว่าอย่างไร
คุณอภิสิทธิ์ ผมคิดว่า บางทีก็อาจจะคิดเกินเลยไปนะครับ ผมว่าสภาพของรัฐบาลที่จะเกิดขึ้นที่คาดการณ์กันว่าเป็นรัฐบาลผสมนั้น มันไม่ได้เป็นเรื่องของรัฐธรรมนูญนะครับ มันเป็นไปตามสภาพของการเมือง แล้วก็ผมเชื่อนะครับว่า ไม่ว่าจะฉบับไหนเอามาใช้ ขณะนี้ก็น่าจะเกิดรัฐบาลผสม แล้วก็เมื่อเวลาผ่านไป รัฐบาลผสมนะครับ เมื่อมีการเลือกตั้งต่อเนื่องไป กระบวนการของการที่พรรคการเมืองจะรวมตัวจับกลุ่มเป็นพันธมิตร มันก็จะเกิดขึ้นโดยธรรมชาติ นะครับ และผมก็ไม่คิดว่า พูดถึงขั้นว่าจะนำไปสู่การรัฐประหาร ที่จริงถ้าดูตามประวัติศาสตร์ ยังไม่เคยมีการทำรัฐประหารครั้งไหนเกิดขึ้นเพราะเป็นรัฐบาลผสมและอ่อนแอ การรัฐประหารเกิดขึ้นจากการไปเผชิญหน้า ในเรื่องของการทุจริต คอร์รัปชั่น หรือการปะทะกันกับกลุ่มอำนาจราชการหรืออะไรต่าง ๆ เหมือนกับกระบวนการปกติจัดการไม่ได้ แล้วก็มีฝ่ายหนึ่งเอากำลังออกมาใช้ ผมยังไม่เห็นนะครับ ว่า การปฏิวัติรัฐประหารครั้งไหนที่เป็นเรื่องของรัฐบาลผสม หลายพรรค อ่อนแอ เลยต้องมาปฏิวัติรัฐประหารกัน ไม่ใช่ มีแต่ว่าถ้าเป็นอย่างนั้น ก็เลือกตั้งกันบ่อย แล้วก็การเลือกตั้งก็จะค่อย ๆ ทำให้พรรคการเมืองต่าง ๆ เริ่มที่จะรวมตัวกัน แล้วทำให้เกิดความชัดเจนทางการเมืองมากขึ้นนะครับ รัฐบาลผสมจะเป็นรัฐบาลที่เข้มแข็งอ่อนแอหรือไม่ ก็อยู่ที่ภาวะผู้นำนะครับ ถ้าผู้นำมีความชัดเจน มีเจตนารมณ์ทางการเมืองที่ชัดเจน สามารถที่จะทำให้ประชาชนสนับสนุนสิ่งที่ตัวเองจะทำได้ ผมก็ไม่ได้มองว่ารัฐบาลผสมเนี่ย เป็นเรื่องยากในการบริหารจัดการจนเกินไปในยุคสมัยนี้
อย่างผมนั้น ผมก็พูดชัดนะครับ ว่าสมมติว่า พรรคประชาธิปัตย์ได้เป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล เราก็พูดกันตั้งแต่ต้นว่า ทุกคนมาสนับสนุนวาระประชาชน ประชาชนต้องมาก่อน หลักการนี้เอาหรือเปล่า ไม่เอา ผมก็บอกว่า ก็คงจะจัดตั้งรัฐบาลร่วมกันไม่ได้ ถ้าเอาก็ต้องทำให้สำเร็จนะครับ แล้วถามว่า คนมาเป็นรัฐบาลแล้ว มีผลประโยชน์อะไรที่จะทำให้รัฐบาลตนเองอ่อนแอ เพราะถ้ารัฐบาลตัวเองอ่อนแอ ไม่ผลักดันนโยบาย ก็รอพ่ายแพ้ในการเลือกตั้งครั้งหน้า มันจะมีประโยชน์อะไรสำหรับพรรคการเมือง เพราะฉะนั้นผมว่า ในฐานะผู้ปฏิบัตินะครับ ที่ต้องใช้รัฐธรรมนูญ ผมว่าบางทีอาจจะเกิดเลยไปที่จะไปบอกว่ามันจะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้
ผู้ดำเนินรายการ แล้วที่ว่า รับไปแล้ว ต่อมาอาจจะมีการแก้ไขทีหลัง มีคนบอกว่า ค่อนข้างยาก คุณอุทัยถึงกับเอาคอเป็นประกัน ถ้ามีการแก้ไขได้
คุณอภิสิทธิ์ ผมก็ได้พูดไปแล้วว่าผมไม่ได้คิดว่าเป็นอย่างนั้นเพราะว่า อันที่ 1 ผมคิดว่า เรื่องของการแก้ไข บทบัญญัติในรัฐธรรมนูญฉบับร่างนี้ ได้กำหนดให้การแก้ไขน่าจะง่ายกว่าฉบับอื่น เนื่องจากมีเสียงกดดันจากประชาชนได้ เพราะว่าเป็นครั้งแรกที่ประชาชนสามารถที่จะแสดงเจตนารมณ์เข้าชื่อเพื่อแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญได้ นั่นข้อที่ 1 ข้อที่ 2 ไม่ว่าจะฉบับนี้หรือฉบับไหนกระแสสังคมในขณะนี้ ถึงแม้ว่าเราจะเอาฉบับ 40 กลับมาใช้ ก็คือต้องแก้ไขอยู่แล้ว ข้อที่ 3 โดยสภาพข้อเท็จจริง รัฐสภาเป็นผู้ลงมติ เอาหล่ะ มี 74 ท่านที่มาจากการสรรหา ซึ่งผมคงพูดไม่ได้ว่า เราจะคิดอย่างไรนะครับ แต่ผมดูสภาผู้แทนราษฎรซึ่งเป็นเสียงข้างมากในรัฐสภา ผมเห็นว่าพรรคการเมืองที่กำลังจะเข้าไปในสภาชุดใหม่นี้มี 2 กลุ่ม กลุ่ม 1 คือกลุ่มที่ไม่เอาฉบับนี้ ถ้าฉบับนี้ผ่านเขาต้องเสนอแก้ไขแน่ กลุ่มที่ 2 ก็คือ อย่างพรรคประชาธิปัตย์ หรือพรรคการเมืองอื่น ๆ ที่บอกว่า เรารับแต่ไม่ได้บอกว่า มันสมบูรณ์ ฉะนั้นรับก็คือ รอให้ผู้แทนจากประชาชนมาแก้ไข เพราะฉะนั้นเฉพาะตรงนี้ผมถึงมองว่า สภาผู้แทนราษฎรทั้งสภา มีความคิดที่จะแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญอยู่แล้ว ทำไมถึงจะแก้ไขไม่ได้ อันนี้ผมก็มองจากสภาพความเป็นจริง ตรรกะที่บอกว่าคนที่มาจากการเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญนี้คือผู้ที่ได้ประโยชน์ตามรัฐธรรมนูญนี้ เพราะฉะนั้นไม่คิดแก้ไข ผมถึงบอกว่า เอาตัวผมเป็นตัวอย่างก็แล้วกัน ถ้าผมลงส.ส.สมัยหน้า ผมได้รับเลือกตั้ง ผมก็ไม่คิดหรอกว่า ไม่แก้ไขเพราะว่าผมได้รับเลือกตั้งมาตามรัฐธรรมนูญฉบับนี้ มันไม่ได้เป็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้นผมยังมั่นใจนะครับว่า ถ้าผ่านไปแล้ว ขบวนการการแก้ไขเกิดขึ้น ส่วนที่บอกว่า จะถูกคนมาบอกไม๊ว่า คนเป็น 10 ล้านคนไปลงคะแนนรับ ก็คนใน 10 คน หรือกี่ล้านคนที่ไปลงคะแนนรับ ส่วนใหญ่เขาอาจจะบอกก็ได้ว่าเขารับไปก่อนค่อยแก้ไข เขาไม่ได้บอกว่ารับแล้วไม่ให้มีการแตะต้องแก้ไข ตลอดไป เพราะฉะนั้นผมก็ยังยืนยันว่า แนวคิดในเรื่องของการแก้ไข มันเป็นแนวคิดที่เป็นจริงนะครับ และทุกพรรคการเมืองก็มีแนวโน้มที่จะทำอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นถ้าเป็นห่วงว่า ผ่านไปแล้วจะแก้ไขไม่ได้เลยนั้น ผมคิดว่า คงไม่สอดคล้องกับข้อเท็จจริง
ผู้ดำเนินรายการ ค่ะ ถึงวันนี้คุณอภิสิทธิ์คิดว่า เสียงเชียร์ รับ เนี่ย ยังเยอะอยู่ไม๊คะ
คุณอภิสิทธิ์ คือ มันก็มีทั้งเสียงเชียร์รับ เชียร์ไม่รับ อะไรนะครับ แล้วก็ตอนนี้ก็อยู่ในช่วงซึ่งเขาห้ามบอกแล้วว่า ไป ผลสำรวจอะไรต่าง ๆ ผมคงไม่ไปคาดคะเนอะไรนะครับ แต่ผมมั่นใจอย่างนี้ครับ ผมมั่นใจว่า ประชาชนส่วนใหญ่อยากให้บ้านเมืองเดินหน้า ประชาชนส่วนใหญ่รอการแก้ไขปัญหาและคิดว่า การแก้ไขปัญหาจะเกิดขึ้นได้เมื่อมีความชัดเจนทางการเมืองนะครับ เพราะฉะนั้นไม่ว่าการรณรงค์จะเป็นอย่างไรในช่วงวัน สองวันที่เหลือ ผมคิดว่านี่คือความรู้สึกที่เป็นความรู้สึกหลักของสังคม แล้วก็จะเป็นตัวชี้ในการตัดสินใจในวันอาทิตย์
ผู้ดำเนินรายการ เอาหล่ะครับ อยากฝากอะไรอีกครั้งไม๊ครับ สำหรับวันอาทิตย์นี้
คุณอภิสิทธิ์ ก็ขอย้ำอีกครั้งนะครับว่า วันที่ 19 นี้ก็ขอให้พี่น้องประชาชนไปแสดงพลังกันมาก ๆ ว่า นี่คือกระบวนการที่เราต้องการจะใช้ในการชี้ชะตาอนาคตของประเทศนะครับ และก็เมื่อวันที่ 19 ผ่านพ้นไป ช่วยกันเป็นกำลังในการผลักดันให้บ้านเมืองหลุดพ้นจากสภาพการเมืองที่เป็นปัญหาและก็สร้างปัญหาให้กับประชาชนมาเป็นเวลาเกือบ 2 ปีแล้ว อันนี้คือสิ่งที่อยากจะฝากไว้ครับ
ผู้ดำเนินรายการ ค่ะเอาละค่ะ ขอบคุณมากครับ คุณอภิสิทธิ์ครับ สวัสดีครับ
คุณอภิสิทธิ์ ครับ สวัสดีครับ
*************************************************
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 17 ส.ค. 2550--จบ--