‘ปชป.’ หวั่น วิกฤติผู้ว่าสตง. ทุจริตจะครองเมือง เร่งหาทางออก เน้นแก้กฎหมายเก่าที่ขัดแย้ง ‘สาธิต’ เตือนนายกฯ หากมีความยุติธรรม อย่าดูราย ‘เมืองไทยฯ’ อย่างเดียว ต้องดูรายการ ‘สมัคร-ดุสิต คิดบิดเบือนข้อเท็จจริงทุกวัน’ด้วย
วันนี้ (4 ต.ค.) ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวแถลงผลการประชุมว่า ที่ประชุมพรรคได้มีการหารือถึงทางออกกรณีผู้ว่า สตง. เพราะถือว่าเป็นองค์กรอิสระที่สำคัญในการตรวจสอบการทุจริตในบ้านเมือง โดยที่ประชุมมีความเห็นว่าพรรคต้องช่วยกันหาทางออกเพื่อให้ สตง. สามารถทำงานได้ตามเจตนารมณ์ของกฎหมายรัฐธรรมนูญ โดยพรรคจะมอบหมายให้คณะทำงานด้านกฎหมายของพรรคไปตรวจสอบ และศึกษาเพื่อหาทางออกให้กับปัญหาโดยการหาแนวทางในการแก้ไขกฎหมายตรวจเงินแผ่นดิน เพราะพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการตรวจเงินแผ่นดินฉบับ พ.ศ. 2542 มีบางบทที่ไม่สอดคล้องกับกฎหมายรัฐธรรมนูญ เช่น มาตรา 312 เป็นต้น เพราะก่อให้เกิดความสับสนในทางปฏิบัติ และการตีความ ซึ่งการเสนอให้แก้ไขกฎหมาย โดยการศึกษาของคณะทำงานด้านกฎหมายของพรรค เพื่อนำไปสู่แนวทางที่จะ แก้ปัญหาที่เกิดขึ้นวันนี้ และปัญหาที่จะเกิดในอนาคตด้วย
‘ที่ยังเป็นปัญหาอยู่คือระเบียบ หรือประกาศคำสั่งของคณะทำงานตรวจเงินแผ่นดิน สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน หรือผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน ทั้ง 3 ส่วนนี้ยังมีความสับสนและไม่เป็นไปตามบทบัญญัติของกฎหมาย และพรรคอยากจะเชิญชวนให้ประชาชนที่ความคิดเห็นในปัญหาเรื่องนี้ไม่ว่าเห็นด้วย ไม่เห็นด้วย หรือมีข้อมูลใดที่เป็นประโยชน์ในการแก้กฎหมายนี้ สามารถติดต่อประสานงานมาได้ที่ที่ทำการพรรคประชาธิปัตย์ พรรคพร้อมฟังทุกความคิดเห็นเพื่อช่วยกันหาทางออกให้กับปัญหานี้’นายองอาจกล่าว
นายองอาจ กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ที่ประชุมพรรคยังได้หารือถึงกรณีการทุจริต และความขัดแย้งในกระทรวง สาธารณสุข โดยนายธีระ สลักเพชร ได้กล่าวรายงานสถานการณ์ต่างๆ ตลอดทั้งความคืบหน้าการสืบสวน สอบสวนการทุจริตต่างๆ ในกระทรวง ต่อที่ประชุมพรรคว่าจะสามารถเปิดเผยข้อสรุปกรณีทุจริตต่างๆในกระทรวงสาธารณสุขได้ในเร็วๆนี้อย่างแน่นอน พร้อมกันนี้ในที่ประชุม น.พ.วัลลภ ไทยเหนือ ยังเรียกร้อง ให้ข้าราชการในกระทรวงสาธารณสุขรักษาศักดิ์ศรีของความเป็นข้าราชการด้วย และที่ประชุมของพรรคได้ มอบหมายให้คณะกรรมาธิการสาธารณสุขของพรรคติดตามเรื่องนี้อย่างถึงที่สุด
ด้านนายสาธิต ปิตุเตชะ รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวแถลงถึงกรณีที่นายกฯฟ้องสื่อ (นายสนธิ, นางสาวสโรชา) เป็นจำนวน 500 ล้านบาท ว่าการฟ้องร้องดังกล่าวไม่ใช่การฟ้องร้องเพื่อรักษาสิทธิ เพราะ ค่าเสียหายสูงเกินความเป็นจริง และการฟ้องร้องดังกล่าวเป็นพฤติกรรมที่เป็นไปเพื่อการคุกคามสื่อที่วิจารณ์ รัฐบาลมากกว่า โดยวิธีการจะดำเนินการฟ้องร้องคดีก่อน แล้วภายหลังก็จะให้การส่งคนไปเจรจา และพรรค เชื่อว่าคดีนี้นายกฯจะใช้สิทธิพิเศษเช่นเดียวกันกับคดีของนายอลงกรณ์ พลบุตร กรณีทุจริตโครงการคาร์ปาร์คสนามบินสุวรรณภูมิ กล่าวคือจะมีการขอให้ศาลใช้วิธีคุ้มครองชั่วคราว กล่าวคือให้นายสนธิ ลิ้มทองกุล ยุติการดำเนินการหรือการเผยแพร่ในเวทีต่างๆ ตลอดทั้งการจำหน่ายซีดี
‘ผมอยากเรียกร้องนายกฯ เพราะผมเชื่อว่านายกฯ ได้ฟังคุณสนธิพูดทุกมุมในรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ ใน วันศุกร์สุดท้ายก่อนที่จะมีการสั่งให้ยุติ และคงเอาเนื้อหาข้อมูลดังกล่าวนั้นมาฟ้อง ในมุมเดียวกันผมอยากให้นายกฯไปเอาเทปรายการของคุณสมัคร และคุณดุสิต มาฟังบ้าง เพราะหากนายกฯ ได้ฟัง ผมเชื่อว่าจะมีความ ยุติธรรมขึ้นบ้าง เพราะผู้ดำเนินรายการทั้ง 2 ท่านจัดรายการบิดเบือนข้อเท็จจริงในหลายเรื่อง’นายสาธิตกล่าว
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 4 ต.ค. 2548--จบ--
วันนี้ (4 ต.ค.) ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวแถลงผลการประชุมว่า ที่ประชุมพรรคได้มีการหารือถึงทางออกกรณีผู้ว่า สตง. เพราะถือว่าเป็นองค์กรอิสระที่สำคัญในการตรวจสอบการทุจริตในบ้านเมือง โดยที่ประชุมมีความเห็นว่าพรรคต้องช่วยกันหาทางออกเพื่อให้ สตง. สามารถทำงานได้ตามเจตนารมณ์ของกฎหมายรัฐธรรมนูญ โดยพรรคจะมอบหมายให้คณะทำงานด้านกฎหมายของพรรคไปตรวจสอบ และศึกษาเพื่อหาทางออกให้กับปัญหาโดยการหาแนวทางในการแก้ไขกฎหมายตรวจเงินแผ่นดิน เพราะพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการตรวจเงินแผ่นดินฉบับ พ.ศ. 2542 มีบางบทที่ไม่สอดคล้องกับกฎหมายรัฐธรรมนูญ เช่น มาตรา 312 เป็นต้น เพราะก่อให้เกิดความสับสนในทางปฏิบัติ และการตีความ ซึ่งการเสนอให้แก้ไขกฎหมาย โดยการศึกษาของคณะทำงานด้านกฎหมายของพรรค เพื่อนำไปสู่แนวทางที่จะ แก้ปัญหาที่เกิดขึ้นวันนี้ และปัญหาที่จะเกิดในอนาคตด้วย
‘ที่ยังเป็นปัญหาอยู่คือระเบียบ หรือประกาศคำสั่งของคณะทำงานตรวจเงินแผ่นดิน สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน หรือผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน ทั้ง 3 ส่วนนี้ยังมีความสับสนและไม่เป็นไปตามบทบัญญัติของกฎหมาย และพรรคอยากจะเชิญชวนให้ประชาชนที่ความคิดเห็นในปัญหาเรื่องนี้ไม่ว่าเห็นด้วย ไม่เห็นด้วย หรือมีข้อมูลใดที่เป็นประโยชน์ในการแก้กฎหมายนี้ สามารถติดต่อประสานงานมาได้ที่ที่ทำการพรรคประชาธิปัตย์ พรรคพร้อมฟังทุกความคิดเห็นเพื่อช่วยกันหาทางออกให้กับปัญหานี้’นายองอาจกล่าว
นายองอาจ กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ที่ประชุมพรรคยังได้หารือถึงกรณีการทุจริต และความขัดแย้งในกระทรวง สาธารณสุข โดยนายธีระ สลักเพชร ได้กล่าวรายงานสถานการณ์ต่างๆ ตลอดทั้งความคืบหน้าการสืบสวน สอบสวนการทุจริตต่างๆ ในกระทรวง ต่อที่ประชุมพรรคว่าจะสามารถเปิดเผยข้อสรุปกรณีทุจริตต่างๆในกระทรวงสาธารณสุขได้ในเร็วๆนี้อย่างแน่นอน พร้อมกันนี้ในที่ประชุม น.พ.วัลลภ ไทยเหนือ ยังเรียกร้อง ให้ข้าราชการในกระทรวงสาธารณสุขรักษาศักดิ์ศรีของความเป็นข้าราชการด้วย และที่ประชุมของพรรคได้ มอบหมายให้คณะกรรมาธิการสาธารณสุขของพรรคติดตามเรื่องนี้อย่างถึงที่สุด
ด้านนายสาธิต ปิตุเตชะ รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวแถลงถึงกรณีที่นายกฯฟ้องสื่อ (นายสนธิ, นางสาวสโรชา) เป็นจำนวน 500 ล้านบาท ว่าการฟ้องร้องดังกล่าวไม่ใช่การฟ้องร้องเพื่อรักษาสิทธิ เพราะ ค่าเสียหายสูงเกินความเป็นจริง และการฟ้องร้องดังกล่าวเป็นพฤติกรรมที่เป็นไปเพื่อการคุกคามสื่อที่วิจารณ์ รัฐบาลมากกว่า โดยวิธีการจะดำเนินการฟ้องร้องคดีก่อน แล้วภายหลังก็จะให้การส่งคนไปเจรจา และพรรค เชื่อว่าคดีนี้นายกฯจะใช้สิทธิพิเศษเช่นเดียวกันกับคดีของนายอลงกรณ์ พลบุตร กรณีทุจริตโครงการคาร์ปาร์คสนามบินสุวรรณภูมิ กล่าวคือจะมีการขอให้ศาลใช้วิธีคุ้มครองชั่วคราว กล่าวคือให้นายสนธิ ลิ้มทองกุล ยุติการดำเนินการหรือการเผยแพร่ในเวทีต่างๆ ตลอดทั้งการจำหน่ายซีดี
‘ผมอยากเรียกร้องนายกฯ เพราะผมเชื่อว่านายกฯ ได้ฟังคุณสนธิพูดทุกมุมในรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ ใน วันศุกร์สุดท้ายก่อนที่จะมีการสั่งให้ยุติ และคงเอาเนื้อหาข้อมูลดังกล่าวนั้นมาฟ้อง ในมุมเดียวกันผมอยากให้นายกฯไปเอาเทปรายการของคุณสมัคร และคุณดุสิต มาฟังบ้าง เพราะหากนายกฯ ได้ฟัง ผมเชื่อว่าจะมีความ ยุติธรรมขึ้นบ้าง เพราะผู้ดำเนินรายการทั้ง 2 ท่านจัดรายการบิดเบือนข้อเท็จจริงในหลายเรื่อง’นายสาธิตกล่าว
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 4 ต.ค. 2548--จบ--