ข่าวเศรษฐกิจในประเทศ
1. ธปท.เสนอ 8 มาตรการแก้ปัญหาค่าเงินบาทแข็งต่อ รมว.คลังรายงานข่าวจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า
นายโฆษิต ปั้นเปี่ยมรัษฎ์ รอง นรม. และ รมว.อุตสาหกรรม ได้นัดหารือเกี่ยวกับการออกมาตรการดูแลค่าเงินบาท ร่วมกับ รมว.คลัง และ
ผู้ว่าการ ธปท. เมื่อวานนี้ (19 ก.ค.50) โดยในที่ประชุม ธปท.ได้เสนอมาตรการแก้ปัญหาค่าเงินบาทแข็งค่า 8 มาตรการด้วยกัน คือ
1) ขยายเวลากรณีคนไทยขายสินค้าในต่างประเทศ จากเดิมต้องนำเงินเข้าไทยภายใน 120 วัน ขยายเวลาเป็นภายใน 360 วัน 2) เมื่อนำ
เงินตราต่างประเทศเข้ามาแล้วสามารถถือครองได้ไม่จำกัดเวลาจากเดิมกำหนดไว้ไม่เกิน 15 วัน 3) อนุญาตให้ฝากเงินในประเทศเป็น
สกุลต่างประเทศได้โดยแยกเป็นกรณีที่มีรายได้ต่างประเทศทั้งบุคคลธรรมดาและนิติบุคคลฝากได้ไม่จำกัดวงเงิน ขณะเดียวกันกรณีที่ไม่มีรายได้
ต่างประเทศ ในส่วนบุคคลธรรมดาฝากเงินบัญชีเงินตราต่างประเทศได้ไม่เกิน 1 แสนดอลลาร์ สรอ. หรือเทียบเท่า ส่วนนิติบุคคล ฝากเงิน
บัญชีเงินตราต่างประเทศได้ไม่เกิน 3 แสนดอลลาร์ สรอ.หรือเทียบเท่า 4) อนุญาตให้คนไทยซื้อขายทองคำล่วงหน้าในตลาดอนุพันธ์ (TFEX)
5) อนุญาตโอนเงินให้ญาติในต่างประเทศหรือซื้ออสังหาริมทรัพย์ต่างประเทศได้ในวงเงิน 1 ล้านดอลลาร์ สรอ.ต่อคนต่อปี 6) อนุญาตให้บริษัท
จดทะเบียนที่มีกำไร และไม่อยู่ในกลุ่มฟื้นฟูกิจการฯ สามารถลงทุนโดยตรงต่างประเทศได้ 7) นักลงทุนประเภทสถาบันฝากเงินในต่างประเทศได้
โดยไม่ต้องขออนุญาต ธปท. เพื่อเพิ่มความรวดเร็วในการลงทุน 8) ธปท.ให้ ธพ.สามารถใช้ดุลยพินิจในการแลกเปลี่ยนเงินตราได้มากขึ้นแทน
การพิจารณาหลักฐานอย่างเข้มงวด เพื่อเพิ่มความสะดวกในการซื้อขายดอลลาร์ สรอ. ทั้งนี้ ทั้ง 8 มาตรการมีวัตถุประสงค์เพื่อลดต้นทุนใน
การดำเนินธุรกิจของภาคเอกชน(กรุงเทพธุรกิจ, ผู้จัดการรายวัน, โลกวันนี้, โพสต์ทูเดย์, เดลินิวส์, บ้านเมือง, สยามรัฐ)
2. นักวิชาการเสนอ ธปท.ควรมีมาตรการเตรียมพร้อมรองรับการแข็งค่าขึ้นของเงินบาท คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
จัดแถลงข่าวเกี่ยวกับสถานการณ์ค่าเงินบาท วานนี้ (19 ก.ค.50) โดย ดร.นิพนธ์ พัวพงศกร คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
กล่าวว่า คณาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์กลุ่มหนึ่งมีความเห็นร่วมกันว่า ทางการไทยควรจะมีมาตรการดูแลค่าเงินบาทที่เตรียมไว้ล่วงหน้า เพื่อรองรับ
กับเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้น เพราะการแข็งค่าขึ้นของเงินบาทจากเงินทุนไหลเข้าจำนวนมากเคยเกิดขึ้นมาแล้ว และอาจจะเกิดขึ้นได้อีก โดย ธปท.
ควรปรับปรุงกระบวนการตัดสินใจให้มีความรวดเร็วมากขึ้น นอกจากนี้ ธปท.ควรมีความยืดหยุ่นในการดำเนินนโยบายอัตราดอกเบี้ยมากขึ้น และ
ควรใช้นโยบายดอกเบี้ยเพื่อดูแลอัตราแลกเปลี่ยนมากกว่าเงินเฟ้อเพียงอย่างเดียว ขณะที่ ดร.ปราณี ทินกร อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์กล่าวว่า ธปท.สามารถพิมพ์ธนบัตรออกมาสู่ระบบการเงินเพิ่มขึ้น เพื่อรองรับความต้องการในการแก้ไขปัญหา
ค่าเงินบาทแข็ง เพราะขณะนี้เงินทุนสำรองระหว่างประเทศมีสูง และหากพิมพ์ธนบัตรแล้วมีสภาพคล่องส่วนเกิน ธปท.ก็สามารถออกพันธบัตร
เพื่อดูดซับสภาพคล่องออกจากระบบ ซึ่งตอนนี้มีต้นทุนต่ำตามดอกเบี้ยขาลง นอกจากนี้ ธปท.ยังสามารถนำเงินดอลลาร์ สรอ.ในทุนสำรอง
ระหว่างประเทศ ไปหาผลตอบแทนจากการลงทุนในต่างประเทศที่ให้ดอกเบี้ยสูงกว่าได้ (โพสต์ทูเดย์, กรุงเทพธุรกิจ, เดลินิวส์)
3. ธปท.ได้รับการประเมินมาตรฐานระบบการเงินของไอเอ็มเอฟและธนาคารโลกถึงร้อยละ 91 ผอ.ฝ่ายนโยบายการเงิน
ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ธปท.ได้รับการประเมินมาตรฐานระบบการเงินภายใต้โครงการ FSAP (Financial
Sector Assessment Program) ของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) และธนาคารโลก ปรากฏว่าได้คะแนนถึงร้อยละ 91
จากคะแนนเต็มร้อยละ 100 การประเมินผลครั้งนี้ ทางไอเอ็มเอฟและธนาคารโลกพิจารณาจากการดำเนินนโยบายการเงินของไทย ที่ใช้
กรอบเป้าหมายเงินเฟ้อเป็นเป้าหมาย ซึ่งเป็นแนวทางที่มีความโปร่งใส และเป็นไปตามแนวทางที่ธนาคารกลางหลายประเทศในโลกใช้กัน
โดยจุดแข็งของนโยบายการเงินของไทย คือ มีความโปร่งใสสูงในทางปฏิบัติ ทังตัวกรอบเป้าหมาย กระบวนการดำเนินการ และการรายงานผล
รวมทั้งมีความน่าเชื่อถือ แม้ว่าจะยังไม่มีกฎหมายรองรับ อย่างไรก็ตาม การกำหนดกรอบเป้าหมายและการดำเนินนโยบายการเงิน FSAP
เห็นว่าควรจะทำอย่างชัดเจนภายใต้กฎหมาย และพยายามให้สาธารณชนเข้าใจ และต้องมีอิสรภาพในการใช้เครื่องมืออย่างแท้จริง (โพสต์ทูเดย์,
มติชน, แนวหน้า, ข่าวสด)
4. ปลัด ก.คลัง เห็นชอบในหลักการและแผนปรับปรุงระบบโครงสร้างภาษีของไทยในช่วง 10 ปี นายสมชัย สัจจพงษ์ ที่ปรึกษา
ด้านเศรษฐกิจการคลัง สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เปิดเผยว่า ปลัด ก.คลังได้เห็นชอบในหลักการแผนปรับปรุงระบบโครงสร้าง
ภาษีของประเทศในช่วง 10 ปี (พ.ศ. 2551-2560) เรียบร้อยแล้ว คาดว่าภายในเดือน ก.ย.นี้จะเสนอให้ รมว.คลังเห็นชอบ เพื่อใช้
เป็นคู่มือในการปรับปรุงโครงสร้างภาษีในอีก 10 ปีข้างหน้า ส่วนจะนำมาใช้หรือไม่ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของระดับนโยบาย ทั้งนี้ แผนปรับปรุง
ระบบโครงสร้างภาษีดังกล่าว มีการปรับปรุงให้สอดคล้องกับความเป็นและเป็นสากลมากขึ้น โดยเฉพาะกรณีการปรับลดอัตราภาษีศุลกากรตาม
กรอบการค้าเสรี (เอฟทีเอ) ว่าจะส่งผลกระทบต่อรายได้ของกรมศุลกากรมากน้อยเพียงใด รวมทั้งจัดทำประมาณการรายได้ของรัฐวิสาหกิจ
และส่วนราชการอื่น และหน่วยงานอื่นที่ต้องนำรายได้เข้าคลังเพิ่มเติมด้วย เพื่อให้การประมาณการรายได้ของรัฐบาลถูกต้องชัดเจน และ
ใกล้เคียงความเป็นจริงมากขึ้น (ผู้จัดการรายวัน, โพสต์ทูเดย์)
5. กบข.เตรียมเสนอเพิ่มเพดานการลงทุนในต่างประเทศอีกร้อยละ 10 ต่อ ก.คลัง เลขาธิการคณะกรรมการกองทุนบำเหน็จ
บำนาญข้าราชการ (กบข.) เปิดเผยว่า อีก 1 เดือนข้างหน้า กบข.จะเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในต่างประเทศให้เต็มเพดานร้อยละ 15 ตามที่
ได้รับอนุญาตจาก ก.คลังให้สามารถลงทุนได้จากพอร์ตการลงทุนปัจจุบันที่ กบข.มีอยู่แล้วประมาณร้อยละ 12.64 ซึ่งแบ่งเป็นการกระจายการ
ลงทุนในหุ้นประมาณร้อยละ 7.6 และตราสารหนี้ประมาณร้อยละ 5 นอกจากนี้ ในเร็ว ๆ นี้ กบข.เตรียมยื่นข้อเสนอให้ ก.คลังพิจารณาเพิ่ม
เพดานการลงทุนในต่างประเทศอีกร้อยละ 10 หรือเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 25 ซึ่งคิดเป็นจำนวนเงินลงทุนประมาณ 3 หมื่นล้านบาทของพอร์ตการ
ลงทุนทั้งหมด ทั้งนี้ การเพิ่มเพดานการลงทุนดังกล่าวเป็นกลยุทธ์การลงทุนเพื่อโอกาสในการกระจายความเสี่ยงไปลงทุนในสินทรัพย์ที่ให้
ผลตอบแทนที่ดีกว่า เช่น การลงทุนในตราสารหนี้ ที่ปัจจุบันมีช่องว่างระหว่างอัตราดอกเบี้ยในประเทศและต่างประเทศห่างกันถึงร้อยละ 2
อย่างไรก็ตาม ในงวด 6 เดือนแรกของปี 50 กบข.สามารถสร้างผลตอบแทนการลงทุนได้ร้อยละ 5.85 หรือเป็นจำนวนเงิน 1.6 หมื่นล้านบาท
ซึ่งสูงกว่าผลตอบแทนจากเงินฝากประจำ 1 ปีของ ธพ.ขนาดใหญ่ 5 ธนาคาร ซึ่งเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 3.63 ในขณะที่อัตราเงินเฟ้ออยู่ที่
ร้อยละ 2.81 ส่วนผลตอบแทนสะสม 12 เดือนย้อนหลัง (ก.ค. 49-มิ.ย.50) เท่ากับร้อยละ 8.82 หรือคิดเป็นจำนวนเงิน 23,704 ล้านบาท
โดยปัจจุบัน กบข.มีสินทรัพย์สุทธิจำนวนทั้งสิ้น 353,024.88 ล้านบาท (ผู้จัดการรายวัน, โลกวันนี้, ไทยรัฐ, เดลินิวส์, สยามรัฐ, แนวหน้า)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1. ยอดขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกของ สรอ. ณ สัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 14 ก.ค.50 ลดลงต่ำสุดในรอบ 2 เดือน รายงาน
จากวอชิงตันเมื่อ 19 ก.ค.50 ก.แรงงาน สรอ. เปิดเผยว่า ยอดขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกของ สรอ. ณ สัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 14 ก.ค.50
มีจำนวน 301,000 คน ลดลงจากสัปดาห์ก่อนหน้าที่มีจำนวน 309,000 คน เป็นการลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 สู่ระดับต่ำสุดในรอบ 2 เดือน
นับตั้งแต่ช่วงกลางเดือน พ.ค. ที่ผ่านมา สวนทางกับการคาดการณ์ของนักเศรษฐศาสตร์ซึ่งคาดว่ายอดขอรับสวัสดิการฯ จะเพิ่มขึ้นเป็นจำนวน
311,000 คน ในขณะที่ยอดการขอรับสวัสดิการว่างงานของแรงงานที่เคยขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกไปแล้ว กลับเพิ่มขึ้นถึง 20,000 คน
เป็นจำนวน 2.57 ล้านคนในช่วงสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 7 ก.ค. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 3 เดือน ทั้งนี้ บรรดานักเศรษฐศาสตร์มีความเห็นว่า
ตัวเลขการขอรับสวัสดิการว่างงานในเดือน ก.ค. อาจไม่สามารถสะท้อนภาพที่แท้จริงของตลาดแรงงานได้ เนื่องจากในเดือนดังกล่าวเป็นช่วง
ที่โรงงานส่วนใหญ่มีการหยุดการผลิตเพื่อบำรุงรักษาเครื่องจักรประจำปี สำหรับยอดการขอรับสวัสดิการว่างงานเฉลี่ย 4 สัปดาห์ ซึ่งเป็นตัวเลข
ที่สะท้อนสภาวะตลาดแรงงานได้แม่นยำกว่า มีจำนวน 312,000 คน ลดลงจาก 318,250 คนในช่วงสัปดาห์ก่อนหน้า (รอยเตอร์)
2. คาดว่าอัตราเงินเฟ้อของอังกฤษจะลดลงในปีนี้ รายงานจากกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ เมื่อวันที่ 19 ก.ค.50 Mervyn
King ผู้ว่าการ ธ.กลางอังกฤษ คาดการณ์ว่า อัตราเงินเฟ้อของอังกฤษจะลดลงอย่างต่อเนื่องในปีนี้ ขณะที่ข้อมูลของทางการแสดงให้เห็นว่า
อัตราการเพิ่มขึ้นของดัชนีราคาผู้บริโภคในเดือน มิ.ย. เริ่มอ่อนตัวลง แต่อาจจะไม่เร็วมากเท่าที่ทางการต้องการ ซึ่งผู้ว่าการ ธ.กลางอังกฤษ
กล่าวว่าจะต้องติดตามดูการเปลี่ยนแปลงในระยะสั้นจากราคาไฟฟ้าและก๊าซที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว โดยในมุมมองของ ธ.กลาง
อังกฤษอัตราเงินเฟ้อดูเหมือนว่าจะเริ่มลดลงแล้วในขณะนี้ ทั้งนี้ อัตราเงินเฟ้อเทียบต่อปีลดลงอยู่ที่ระดับร้อยละ 2.4 ในเดือน มิ.ย. จาก
ร้อยละ 2.5 ในเดือน พ.ค. ในขณะที่ดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานยังคงอยู่ในระดับสูงเป็นสถิติในรอบทศวรรษ (รอยเตอร์)
3. เศรษฐกิจเยอรมนีอาจชะลอตัวลงเล็กน้อยในไตรมาสที่ 2 ปี 50 ที่ผ่านมา รายงานจากเบอร์ลิน เมื่อ 19 ก.ค.50
ก.คลังของเยอรมนีคาดว่าเศรษฐกิจเยอรมนีในไตรมาสที่ 2 ปี 50 อาจชะลอตัวลงเล็กน้อยจากไตรมาสแรก แต่อย่างไรก็ดี ก.คลังคาดว่า
เศรษฐกิจมีแนวโน้มขยายตัวดีขึ้นต่อไปจากการขยายตัวอย่างแข็งแกร่งของความต้องการทั้งจากภายในและภายนอกประเทศแม้ว่าค่าเงินยูโร
จะสูงขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์ สรอ.ก็ตาม โดยค่าเงินยูโรในปัจจุบันคงที่อยู่ที่ระดับสูงกว่า 1.38 ดอลลาร์ สรอ.ต่อยูโรเล็กน้อย หลังจาก
ขึ้นไปอยู่ในระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 1.3834 ดอลลาร์ สรอ.ต่อยูโรเมื่อวันที่ 18 ก.ค.50 ที่ผ่านมา สอดคล้องกับผลสำรวจบรรยากาศ
ทางธุรกิจโดย Ifo ที่ชี้ว่าภาคธุรกิจยังมีความเชื่อมั่นต่อภาวะเศรษฐกิจของประเทศจากตลาดแรงงานที่ดีขึ้น ทั้งนี้ เศรษฐกิจเยอรมนีขยายตัว
เพียงร้อยละ 0.5 ในไตรมาสแรกปี 50 ที่ผ่านมา จากการชะลอตัวของภาคการส่งออก ในขณะที่ภาคการก่อสร้างก็ได้รับผลกระทบจากการ
ขึ้นภาษี VAT อีกร้อยละ 3.0 เป็นร้อยละ 19.0 นับตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา แต่อย่างไรก็ดี นักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่ยังคงเชื่อว่าเศรษฐกิจในปีนี้
จะขยายตัวในอัตราใกล้เคียงกับปีที่แล้วซึ่งเศรษฐกิจขยายตัวในอัตราสูงสุดในรอบ 6 ปี อันเป็นผลจากการขยายตัวของลงทุนในภาคธุรกิจและ
ความต้องการจากต่างประเทศ ในขณะที่การใช้จ่ายภาคครัวเรือนก็เริ่มฟื้นตัว (รอยเตอร์)
4. เศรษฐกิจจีนในไตรมาสที่ 2 ขยายตัวอย่างก้าวกระโดดอยู่ที่ร้อยละ 11.9 รายงานจากปักกิ่ง เมื่อวันที่ 19 ก.ค. 50
สำนักงานสถิติแห่งชาติของจีนเปิดเผยว่า เศรษฐกิจในไตรมาสที่ 2 ของจีนเติบโตจากช่วงเดียวกันปีที่แล้วถึงร้อยละ 11.9 เพิ่มขึ้นจาก
ร้อยละ 11.1 ในไตรมาสแรก และอยู่ในระดับสูงที่สุดในรอบกว่า 11 ปี สนับสนุนการคาดการณ์ว่าทางการจีนจะต้องดำเนินนโยบายทาง
การเงินอย่างเข้มงวดเพื่อชะลอการขยายตัวอย่างร้อนแรงของเศรษฐกิจ ทั้งนี้เศรษฐกิจจีนขยายตัวอย่างต่อเนื่องเป็นตัวเลข 2 หลักติดต่อกัน
เป็นปีที่ 5 และคาดว่าจะตามทันเยอรมนีที่มีระบบเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับที่ 3 ของโลกในปีนี้ ซึ่งนาย Tim Condon หัวหน้า Asia research
ที่ Dutch bank ในสิงคโปร์คาดว่าทางการจีนจะปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบาย หรือปรับเพิ่มการดำรงทุนสำรองของ ธพ. ในไม่ช้านี้ ขณะที่
นาย Li Xiaochao โฆษกสำนักงานสถิติแห่งชาติกล่าวว่ารัฐบาลจะดำเนินนโยบายทางการเงินตึงตัวระดับปานกลางอย่างต่อเนื่องต่อไปเพื่อ
ควบคุมการเงินและสินเชื่อในระบบธพ. อนึ่งตัวเลขเศรษฐกิจอื่นๆ อาทิ อัตราเงินเฟ้อ อุตสาหกรรมการผลิต ยอดการค้าปลีก ล้วนแต่เพิ่มสูงขึ้น
โดยอัตราเงินเฟ้อในเดือน มิ.ย.สูงถึงร้อยละ 4.4 เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 3.4 เมื่อเดือน พ.ค. และอยู่ในระดับสูงที่สุดในรอบ 33 เดือน
เนื่องจากต้นทุนอาหารสูงขึ้น (รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 20 ก.ค. 50 19 ก.ค. 50 29 ธ.ค. 49 แหล่งข้อมูล
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 33.513 36.044 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 33.2870/33.6288 35.8601/36.2308 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 3.39688 5.12813 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 847.26/18.80 679.84/9.22 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 10,600/10,700 10,600/10,700 10,750/10,650 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) n.a. 69.25 56.48 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล(บาท) 29.59*/25.74** 29.59*/25.74** 26.49/23.34 ปตท.
* ปรับเลดเมื่อ 19 ก.ค. 50 , ** ปรับเพิ่มเมื่อ 11 ก.ค. 50
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
1. ธปท.เสนอ 8 มาตรการแก้ปัญหาค่าเงินบาทแข็งต่อ รมว.คลังรายงานข่าวจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า
นายโฆษิต ปั้นเปี่ยมรัษฎ์ รอง นรม. และ รมว.อุตสาหกรรม ได้นัดหารือเกี่ยวกับการออกมาตรการดูแลค่าเงินบาท ร่วมกับ รมว.คลัง และ
ผู้ว่าการ ธปท. เมื่อวานนี้ (19 ก.ค.50) โดยในที่ประชุม ธปท.ได้เสนอมาตรการแก้ปัญหาค่าเงินบาทแข็งค่า 8 มาตรการด้วยกัน คือ
1) ขยายเวลากรณีคนไทยขายสินค้าในต่างประเทศ จากเดิมต้องนำเงินเข้าไทยภายใน 120 วัน ขยายเวลาเป็นภายใน 360 วัน 2) เมื่อนำ
เงินตราต่างประเทศเข้ามาแล้วสามารถถือครองได้ไม่จำกัดเวลาจากเดิมกำหนดไว้ไม่เกิน 15 วัน 3) อนุญาตให้ฝากเงินในประเทศเป็น
สกุลต่างประเทศได้โดยแยกเป็นกรณีที่มีรายได้ต่างประเทศทั้งบุคคลธรรมดาและนิติบุคคลฝากได้ไม่จำกัดวงเงิน ขณะเดียวกันกรณีที่ไม่มีรายได้
ต่างประเทศ ในส่วนบุคคลธรรมดาฝากเงินบัญชีเงินตราต่างประเทศได้ไม่เกิน 1 แสนดอลลาร์ สรอ. หรือเทียบเท่า ส่วนนิติบุคคล ฝากเงิน
บัญชีเงินตราต่างประเทศได้ไม่เกิน 3 แสนดอลลาร์ สรอ.หรือเทียบเท่า 4) อนุญาตให้คนไทยซื้อขายทองคำล่วงหน้าในตลาดอนุพันธ์ (TFEX)
5) อนุญาตโอนเงินให้ญาติในต่างประเทศหรือซื้ออสังหาริมทรัพย์ต่างประเทศได้ในวงเงิน 1 ล้านดอลลาร์ สรอ.ต่อคนต่อปี 6) อนุญาตให้บริษัท
จดทะเบียนที่มีกำไร และไม่อยู่ในกลุ่มฟื้นฟูกิจการฯ สามารถลงทุนโดยตรงต่างประเทศได้ 7) นักลงทุนประเภทสถาบันฝากเงินในต่างประเทศได้
โดยไม่ต้องขออนุญาต ธปท. เพื่อเพิ่มความรวดเร็วในการลงทุน 8) ธปท.ให้ ธพ.สามารถใช้ดุลยพินิจในการแลกเปลี่ยนเงินตราได้มากขึ้นแทน
การพิจารณาหลักฐานอย่างเข้มงวด เพื่อเพิ่มความสะดวกในการซื้อขายดอลลาร์ สรอ. ทั้งนี้ ทั้ง 8 มาตรการมีวัตถุประสงค์เพื่อลดต้นทุนใน
การดำเนินธุรกิจของภาคเอกชน(กรุงเทพธุรกิจ, ผู้จัดการรายวัน, โลกวันนี้, โพสต์ทูเดย์, เดลินิวส์, บ้านเมือง, สยามรัฐ)
2. นักวิชาการเสนอ ธปท.ควรมีมาตรการเตรียมพร้อมรองรับการแข็งค่าขึ้นของเงินบาท คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
จัดแถลงข่าวเกี่ยวกับสถานการณ์ค่าเงินบาท วานนี้ (19 ก.ค.50) โดย ดร.นิพนธ์ พัวพงศกร คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
กล่าวว่า คณาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์กลุ่มหนึ่งมีความเห็นร่วมกันว่า ทางการไทยควรจะมีมาตรการดูแลค่าเงินบาทที่เตรียมไว้ล่วงหน้า เพื่อรองรับ
กับเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้น เพราะการแข็งค่าขึ้นของเงินบาทจากเงินทุนไหลเข้าจำนวนมากเคยเกิดขึ้นมาแล้ว และอาจจะเกิดขึ้นได้อีก โดย ธปท.
ควรปรับปรุงกระบวนการตัดสินใจให้มีความรวดเร็วมากขึ้น นอกจากนี้ ธปท.ควรมีความยืดหยุ่นในการดำเนินนโยบายอัตราดอกเบี้ยมากขึ้น และ
ควรใช้นโยบายดอกเบี้ยเพื่อดูแลอัตราแลกเปลี่ยนมากกว่าเงินเฟ้อเพียงอย่างเดียว ขณะที่ ดร.ปราณี ทินกร อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์กล่าวว่า ธปท.สามารถพิมพ์ธนบัตรออกมาสู่ระบบการเงินเพิ่มขึ้น เพื่อรองรับความต้องการในการแก้ไขปัญหา
ค่าเงินบาทแข็ง เพราะขณะนี้เงินทุนสำรองระหว่างประเทศมีสูง และหากพิมพ์ธนบัตรแล้วมีสภาพคล่องส่วนเกิน ธปท.ก็สามารถออกพันธบัตร
เพื่อดูดซับสภาพคล่องออกจากระบบ ซึ่งตอนนี้มีต้นทุนต่ำตามดอกเบี้ยขาลง นอกจากนี้ ธปท.ยังสามารถนำเงินดอลลาร์ สรอ.ในทุนสำรอง
ระหว่างประเทศ ไปหาผลตอบแทนจากการลงทุนในต่างประเทศที่ให้ดอกเบี้ยสูงกว่าได้ (โพสต์ทูเดย์, กรุงเทพธุรกิจ, เดลินิวส์)
3. ธปท.ได้รับการประเมินมาตรฐานระบบการเงินของไอเอ็มเอฟและธนาคารโลกถึงร้อยละ 91 ผอ.ฝ่ายนโยบายการเงิน
ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ธปท.ได้รับการประเมินมาตรฐานระบบการเงินภายใต้โครงการ FSAP (Financial
Sector Assessment Program) ของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) และธนาคารโลก ปรากฏว่าได้คะแนนถึงร้อยละ 91
จากคะแนนเต็มร้อยละ 100 การประเมินผลครั้งนี้ ทางไอเอ็มเอฟและธนาคารโลกพิจารณาจากการดำเนินนโยบายการเงินของไทย ที่ใช้
กรอบเป้าหมายเงินเฟ้อเป็นเป้าหมาย ซึ่งเป็นแนวทางที่มีความโปร่งใส และเป็นไปตามแนวทางที่ธนาคารกลางหลายประเทศในโลกใช้กัน
โดยจุดแข็งของนโยบายการเงินของไทย คือ มีความโปร่งใสสูงในทางปฏิบัติ ทังตัวกรอบเป้าหมาย กระบวนการดำเนินการ และการรายงานผล
รวมทั้งมีความน่าเชื่อถือ แม้ว่าจะยังไม่มีกฎหมายรองรับ อย่างไรก็ตาม การกำหนดกรอบเป้าหมายและการดำเนินนโยบายการเงิน FSAP
เห็นว่าควรจะทำอย่างชัดเจนภายใต้กฎหมาย และพยายามให้สาธารณชนเข้าใจ และต้องมีอิสรภาพในการใช้เครื่องมืออย่างแท้จริง (โพสต์ทูเดย์,
มติชน, แนวหน้า, ข่าวสด)
4. ปลัด ก.คลัง เห็นชอบในหลักการและแผนปรับปรุงระบบโครงสร้างภาษีของไทยในช่วง 10 ปี นายสมชัย สัจจพงษ์ ที่ปรึกษา
ด้านเศรษฐกิจการคลัง สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เปิดเผยว่า ปลัด ก.คลังได้เห็นชอบในหลักการแผนปรับปรุงระบบโครงสร้าง
ภาษีของประเทศในช่วง 10 ปี (พ.ศ. 2551-2560) เรียบร้อยแล้ว คาดว่าภายในเดือน ก.ย.นี้จะเสนอให้ รมว.คลังเห็นชอบ เพื่อใช้
เป็นคู่มือในการปรับปรุงโครงสร้างภาษีในอีก 10 ปีข้างหน้า ส่วนจะนำมาใช้หรือไม่ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของระดับนโยบาย ทั้งนี้ แผนปรับปรุง
ระบบโครงสร้างภาษีดังกล่าว มีการปรับปรุงให้สอดคล้องกับความเป็นและเป็นสากลมากขึ้น โดยเฉพาะกรณีการปรับลดอัตราภาษีศุลกากรตาม
กรอบการค้าเสรี (เอฟทีเอ) ว่าจะส่งผลกระทบต่อรายได้ของกรมศุลกากรมากน้อยเพียงใด รวมทั้งจัดทำประมาณการรายได้ของรัฐวิสาหกิจ
และส่วนราชการอื่น และหน่วยงานอื่นที่ต้องนำรายได้เข้าคลังเพิ่มเติมด้วย เพื่อให้การประมาณการรายได้ของรัฐบาลถูกต้องชัดเจน และ
ใกล้เคียงความเป็นจริงมากขึ้น (ผู้จัดการรายวัน, โพสต์ทูเดย์)
5. กบข.เตรียมเสนอเพิ่มเพดานการลงทุนในต่างประเทศอีกร้อยละ 10 ต่อ ก.คลัง เลขาธิการคณะกรรมการกองทุนบำเหน็จ
บำนาญข้าราชการ (กบข.) เปิดเผยว่า อีก 1 เดือนข้างหน้า กบข.จะเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในต่างประเทศให้เต็มเพดานร้อยละ 15 ตามที่
ได้รับอนุญาตจาก ก.คลังให้สามารถลงทุนได้จากพอร์ตการลงทุนปัจจุบันที่ กบข.มีอยู่แล้วประมาณร้อยละ 12.64 ซึ่งแบ่งเป็นการกระจายการ
ลงทุนในหุ้นประมาณร้อยละ 7.6 และตราสารหนี้ประมาณร้อยละ 5 นอกจากนี้ ในเร็ว ๆ นี้ กบข.เตรียมยื่นข้อเสนอให้ ก.คลังพิจารณาเพิ่ม
เพดานการลงทุนในต่างประเทศอีกร้อยละ 10 หรือเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 25 ซึ่งคิดเป็นจำนวนเงินลงทุนประมาณ 3 หมื่นล้านบาทของพอร์ตการ
ลงทุนทั้งหมด ทั้งนี้ การเพิ่มเพดานการลงทุนดังกล่าวเป็นกลยุทธ์การลงทุนเพื่อโอกาสในการกระจายความเสี่ยงไปลงทุนในสินทรัพย์ที่ให้
ผลตอบแทนที่ดีกว่า เช่น การลงทุนในตราสารหนี้ ที่ปัจจุบันมีช่องว่างระหว่างอัตราดอกเบี้ยในประเทศและต่างประเทศห่างกันถึงร้อยละ 2
อย่างไรก็ตาม ในงวด 6 เดือนแรกของปี 50 กบข.สามารถสร้างผลตอบแทนการลงทุนได้ร้อยละ 5.85 หรือเป็นจำนวนเงิน 1.6 หมื่นล้านบาท
ซึ่งสูงกว่าผลตอบแทนจากเงินฝากประจำ 1 ปีของ ธพ.ขนาดใหญ่ 5 ธนาคาร ซึ่งเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 3.63 ในขณะที่อัตราเงินเฟ้ออยู่ที่
ร้อยละ 2.81 ส่วนผลตอบแทนสะสม 12 เดือนย้อนหลัง (ก.ค. 49-มิ.ย.50) เท่ากับร้อยละ 8.82 หรือคิดเป็นจำนวนเงิน 23,704 ล้านบาท
โดยปัจจุบัน กบข.มีสินทรัพย์สุทธิจำนวนทั้งสิ้น 353,024.88 ล้านบาท (ผู้จัดการรายวัน, โลกวันนี้, ไทยรัฐ, เดลินิวส์, สยามรัฐ, แนวหน้า)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1. ยอดขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกของ สรอ. ณ สัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 14 ก.ค.50 ลดลงต่ำสุดในรอบ 2 เดือน รายงาน
จากวอชิงตันเมื่อ 19 ก.ค.50 ก.แรงงาน สรอ. เปิดเผยว่า ยอดขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกของ สรอ. ณ สัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 14 ก.ค.50
มีจำนวน 301,000 คน ลดลงจากสัปดาห์ก่อนหน้าที่มีจำนวน 309,000 คน เป็นการลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 สู่ระดับต่ำสุดในรอบ 2 เดือน
นับตั้งแต่ช่วงกลางเดือน พ.ค. ที่ผ่านมา สวนทางกับการคาดการณ์ของนักเศรษฐศาสตร์ซึ่งคาดว่ายอดขอรับสวัสดิการฯ จะเพิ่มขึ้นเป็นจำนวน
311,000 คน ในขณะที่ยอดการขอรับสวัสดิการว่างงานของแรงงานที่เคยขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกไปแล้ว กลับเพิ่มขึ้นถึง 20,000 คน
เป็นจำนวน 2.57 ล้านคนในช่วงสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 7 ก.ค. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 3 เดือน ทั้งนี้ บรรดานักเศรษฐศาสตร์มีความเห็นว่า
ตัวเลขการขอรับสวัสดิการว่างงานในเดือน ก.ค. อาจไม่สามารถสะท้อนภาพที่แท้จริงของตลาดแรงงานได้ เนื่องจากในเดือนดังกล่าวเป็นช่วง
ที่โรงงานส่วนใหญ่มีการหยุดการผลิตเพื่อบำรุงรักษาเครื่องจักรประจำปี สำหรับยอดการขอรับสวัสดิการว่างงานเฉลี่ย 4 สัปดาห์ ซึ่งเป็นตัวเลข
ที่สะท้อนสภาวะตลาดแรงงานได้แม่นยำกว่า มีจำนวน 312,000 คน ลดลงจาก 318,250 คนในช่วงสัปดาห์ก่อนหน้า (รอยเตอร์)
2. คาดว่าอัตราเงินเฟ้อของอังกฤษจะลดลงในปีนี้ รายงานจากกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ เมื่อวันที่ 19 ก.ค.50 Mervyn
King ผู้ว่าการ ธ.กลางอังกฤษ คาดการณ์ว่า อัตราเงินเฟ้อของอังกฤษจะลดลงอย่างต่อเนื่องในปีนี้ ขณะที่ข้อมูลของทางการแสดงให้เห็นว่า
อัตราการเพิ่มขึ้นของดัชนีราคาผู้บริโภคในเดือน มิ.ย. เริ่มอ่อนตัวลง แต่อาจจะไม่เร็วมากเท่าที่ทางการต้องการ ซึ่งผู้ว่าการ ธ.กลางอังกฤษ
กล่าวว่าจะต้องติดตามดูการเปลี่ยนแปลงในระยะสั้นจากราคาไฟฟ้าและก๊าซที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว โดยในมุมมองของ ธ.กลาง
อังกฤษอัตราเงินเฟ้อดูเหมือนว่าจะเริ่มลดลงแล้วในขณะนี้ ทั้งนี้ อัตราเงินเฟ้อเทียบต่อปีลดลงอยู่ที่ระดับร้อยละ 2.4 ในเดือน มิ.ย. จาก
ร้อยละ 2.5 ในเดือน พ.ค. ในขณะที่ดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานยังคงอยู่ในระดับสูงเป็นสถิติในรอบทศวรรษ (รอยเตอร์)
3. เศรษฐกิจเยอรมนีอาจชะลอตัวลงเล็กน้อยในไตรมาสที่ 2 ปี 50 ที่ผ่านมา รายงานจากเบอร์ลิน เมื่อ 19 ก.ค.50
ก.คลังของเยอรมนีคาดว่าเศรษฐกิจเยอรมนีในไตรมาสที่ 2 ปี 50 อาจชะลอตัวลงเล็กน้อยจากไตรมาสแรก แต่อย่างไรก็ดี ก.คลังคาดว่า
เศรษฐกิจมีแนวโน้มขยายตัวดีขึ้นต่อไปจากการขยายตัวอย่างแข็งแกร่งของความต้องการทั้งจากภายในและภายนอกประเทศแม้ว่าค่าเงินยูโร
จะสูงขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์ สรอ.ก็ตาม โดยค่าเงินยูโรในปัจจุบันคงที่อยู่ที่ระดับสูงกว่า 1.38 ดอลลาร์ สรอ.ต่อยูโรเล็กน้อย หลังจาก
ขึ้นไปอยู่ในระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 1.3834 ดอลลาร์ สรอ.ต่อยูโรเมื่อวันที่ 18 ก.ค.50 ที่ผ่านมา สอดคล้องกับผลสำรวจบรรยากาศ
ทางธุรกิจโดย Ifo ที่ชี้ว่าภาคธุรกิจยังมีความเชื่อมั่นต่อภาวะเศรษฐกิจของประเทศจากตลาดแรงงานที่ดีขึ้น ทั้งนี้ เศรษฐกิจเยอรมนีขยายตัว
เพียงร้อยละ 0.5 ในไตรมาสแรกปี 50 ที่ผ่านมา จากการชะลอตัวของภาคการส่งออก ในขณะที่ภาคการก่อสร้างก็ได้รับผลกระทบจากการ
ขึ้นภาษี VAT อีกร้อยละ 3.0 เป็นร้อยละ 19.0 นับตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา แต่อย่างไรก็ดี นักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่ยังคงเชื่อว่าเศรษฐกิจในปีนี้
จะขยายตัวในอัตราใกล้เคียงกับปีที่แล้วซึ่งเศรษฐกิจขยายตัวในอัตราสูงสุดในรอบ 6 ปี อันเป็นผลจากการขยายตัวของลงทุนในภาคธุรกิจและ
ความต้องการจากต่างประเทศ ในขณะที่การใช้จ่ายภาคครัวเรือนก็เริ่มฟื้นตัว (รอยเตอร์)
4. เศรษฐกิจจีนในไตรมาสที่ 2 ขยายตัวอย่างก้าวกระโดดอยู่ที่ร้อยละ 11.9 รายงานจากปักกิ่ง เมื่อวันที่ 19 ก.ค. 50
สำนักงานสถิติแห่งชาติของจีนเปิดเผยว่า เศรษฐกิจในไตรมาสที่ 2 ของจีนเติบโตจากช่วงเดียวกันปีที่แล้วถึงร้อยละ 11.9 เพิ่มขึ้นจาก
ร้อยละ 11.1 ในไตรมาสแรก และอยู่ในระดับสูงที่สุดในรอบกว่า 11 ปี สนับสนุนการคาดการณ์ว่าทางการจีนจะต้องดำเนินนโยบายทาง
การเงินอย่างเข้มงวดเพื่อชะลอการขยายตัวอย่างร้อนแรงของเศรษฐกิจ ทั้งนี้เศรษฐกิจจีนขยายตัวอย่างต่อเนื่องเป็นตัวเลข 2 หลักติดต่อกัน
เป็นปีที่ 5 และคาดว่าจะตามทันเยอรมนีที่มีระบบเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับที่ 3 ของโลกในปีนี้ ซึ่งนาย Tim Condon หัวหน้า Asia research
ที่ Dutch bank ในสิงคโปร์คาดว่าทางการจีนจะปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบาย หรือปรับเพิ่มการดำรงทุนสำรองของ ธพ. ในไม่ช้านี้ ขณะที่
นาย Li Xiaochao โฆษกสำนักงานสถิติแห่งชาติกล่าวว่ารัฐบาลจะดำเนินนโยบายทางการเงินตึงตัวระดับปานกลางอย่างต่อเนื่องต่อไปเพื่อ
ควบคุมการเงินและสินเชื่อในระบบธพ. อนึ่งตัวเลขเศรษฐกิจอื่นๆ อาทิ อัตราเงินเฟ้อ อุตสาหกรรมการผลิต ยอดการค้าปลีก ล้วนแต่เพิ่มสูงขึ้น
โดยอัตราเงินเฟ้อในเดือน มิ.ย.สูงถึงร้อยละ 4.4 เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 3.4 เมื่อเดือน พ.ค. และอยู่ในระดับสูงที่สุดในรอบ 33 เดือน
เนื่องจากต้นทุนอาหารสูงขึ้น (รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 20 ก.ค. 50 19 ก.ค. 50 29 ธ.ค. 49 แหล่งข้อมูล
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 33.513 36.044 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 33.2870/33.6288 35.8601/36.2308 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 3.39688 5.12813 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 847.26/18.80 679.84/9.22 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 10,600/10,700 10,600/10,700 10,750/10,650 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) n.a. 69.25 56.48 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล(บาท) 29.59*/25.74** 29.59*/25.74** 26.49/23.34 ปตท.
* ปรับเลดเมื่อ 19 ก.ค. 50 , ** ปรับเพิ่มเมื่อ 11 ก.ค. 50
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--