นางพรรณี สถาวโรดม ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ได้แถลงรายงานภาวะเศรษฐกิจการคลังประจำเดือนธันวาคม 2550 ว่า ภาวะเศรษฐกิจการคลังโดยรวมในเดือนธันวาคม 2549 ยังคงได้รับปัจจัยขับเคลื่อนหลักจากการส่งออกและการท่องเที่ยวที่ยังขยายตัวดีมาก ในขณะที่การบริโภคและการลงทุนภาคเอกชนชะลอตัวลงจากเดือนก่อนเล็กน้อย ทั้งนี้ เสถียรภาพเศรษฐกิจทั้งภายในและภายนอกยังอยู่ระดับแข็งแกร่งมาก โดยมีรายละเอียดสรุปได้ ดังนี้
ภาวะเศรษฐกิจภายนอกในเดือนธันวาคมได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกอย่างต่อเนื่อง และราคาน้ำมันที่มีแนวโน้มทรงตัวใกล้เคียงกับเดือนก่อนหน้า สำหรับเครื่องชี้ภาคการคลังพบว่าการจัดเก็บรายได้ขยายตัวได้ดี ในขณะที่การใช้จ่ายของรัฐบาลปรับตัวลดลง ซึ่งเกิดจากการจัดทำงบประมาณรายจ่ายปีงบประมาณ 2550 ล่าช้า โดยรายได้จัดเก็บสุทธิของรัฐบาลในเดือนธันวาคม 2549 มีจำนวนทั้งสิ้น 91.9 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 6.3 ต่อปี ขณะที่ด้านรายจ่ายงบประมาณในเดือนธันวาคม 2549 มีจำนวนรวมทั้งสิ้น 98.9 พันล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้วร้อยละ -12.0 ต่อปี เนื่องจากการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2550 ล่าช้า
เครื่องชี้ในด้านอุปทานพบว่า การผลิตภาคเกษตรในเดือนธันวาคมปรับตัวดีขึ้นจากเดือนก่อนมาอยู่ที่ร้อยละ 11.4 ต่อปี เนื่องจากภูมิอากาศเอื้ออำนวยต่อการผลิตรวมถึงผลผลิตหลายชนิดอยู่ในช่วงฤดูการผลิตและเริ่มทยอยออกสู่ตลาดมากขึ้น เช่น ข้าวนาปี ยางพารา ส่วนดัชนีราคาสินค้าเกษตรปรับตัวดีขึ้นเล็กน้อยจากเดือนก่อนมาอยู่ที่ร้อยละ -2.4 ต่อปี จากที่หดตัวถึงร้อยละ -6.8 ต่อปี ในเดือนก่อน ทำให้คาดว่ารายได้เกษตรกรน่าจะมีการขยายตัวดีขึ้นในเดือนธันวาคม ขณะที่เครื่องชี้ภาคอุตสาหกรรมบ่งชี้การผลิตภาคอุตสาหกรรมที่มีการขยายตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน ดังจะเห็นได้จากที่มูลค่าการนำเข้าวัตถุดิบในเดือนธันวาคมที่ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 8.8 ต่อปี เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 5.2 ต่อปี ในเดือนก่อน และดัชนีผลผลิตภาคอุตสาหกรรมในเดือนธันวาคมขยายตัวร้อยละ 7.2 ต่อปีเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 5.1 ต่อปีในเดือนก่อน โดยกลุ่มอุตสาหกรรมที่ผลิตเพื่อการส่งออกเช่น อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ ขยายตัวได้ดีมาก สำหรับเครื่องชี้ภาคบริการโดยเฉพาะการท่องเที่ยวในเดือนธันวาคมพบว่า มีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้ามาในประเทศไทยสูงถึง 1.4 ล้านคน ซึ่งนับเป็นเดือนที่มีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติสูงสุดเป็นประวัติการณ์
เครื่องชี้การใช้จ่ายภายในประเทศชะลอตัวลงต่อเนื่องจากเดือนก่อน โดยเครื่องชี้การบริโภคภาคเอกชนจากภาษีมูลค่าเพิ่มในเดือนธันวาคมขยายตัวชะลอลงมาอยู่ที่ร้อยละ 4.8 ต่อปี ชะลอลงจากเดือนก่อนหน้าที่ขยายตัวร้อยละ 8.3 ต่อปี ทั้งนี้ มูลค่าการนำเข้าสินค้าอุปโภคบริโภคในรูปดอลล่าร์สหรัฐฯเดือนธันวาคม ขยายตัวร้อยละ 7.5 ต่อปี เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากร้อยละ 6.5 ต่อปีในเดือนก่อน ด้านเครื่องชี้การลงทุนภาคเอกชนในเดือนธันวาคมมีแนวโน้มชะลอตัวลง ทั้งการลงทุนในด้านการก่อสร้างและในด้านเครื่องมือเครื่องจักร โดยเครื่องชี้ด้านการลงทุนภาคเอกชนในหมวดก่อสร้าง ได้แก่ ภาษีธุรกรรมอสังหาริมทรัพย์รวมในเดือนธันวาคมหดตัวร้อยละ - 9.9 ต่อปี สอดคล้องกับยอดขายปูนซีเมนต์ในเดือนพฤศจิกายนที่ขยายตัวร้อยละ 0.04 ต่อปี สำหรับเครื่องชี้การลงทุนภาคเอกชนด้านเครื่องมือเครื่องจักรชะลอตัวลงเช่นกัน โดยมูลค่าการนำเข้าสินค้าทุนในเดือนธันวาคมหดตัวที่ร้อยละ - 9.2 ต่อปี ส่วนมูลค่าการออกสิทธิบัตรส่งเสริมการลงทุนสะสมมีแนวโน้มชะลอตัวต่อเนื่อง
มูลค่าการส่งออกสินค้าเดือนธันวาคมยังคงขยายตัวสูงอย่างต่อเนื่อง โดยการส่งออกในเดือนธันวาคมมีมูลค่า 10,959 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 16.5 ต่อปี ซึ่งเป็นการขยายตัวสูงในทุกหมวดสินค้า ได้แก่ เครื่องอิเล็กทรอนิกส์ เครื่องใช้ไฟฟ้า ยานยนต์และส่วนประกอบ วัสดุก่อสร้าง ยางพารา ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง สินค้าอาหาร รวมทั้งข้าวและน้ำตาล สำหรับมูลค่าการนำเข้าสินค้ายังคงขยายตัวในระดับต่ำตามการใช้จ่ายในประเทศที่ชะลอลง โดยการนำเข้าในเดือนธันวาคมมีมูลค่า 10,047.4 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.1 ต่อปี เนื่องจากมูลค่าการนำเข้าสินค้าทุนขยายตัวชะลอลงตามการลงทุนภายในประเทศ ทั้งนี้การที่มูลค่าการส่งออกสินค้าขยายตัวสูงกว่ามูลค่าการนำเข้าส่งผลให้ดุลการค้าในเดือนธันวาคมเกินดุลต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 5 ที่ 911.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
เสถียรภาพทั้งภายในและภายนอกประเทศยังอยู่ในเกณฑ์ดี โดยหนี้สาธารณะอยู่ที่ร้อยละ 40.8 ของ GDP ปรับตัวลดลงเล็กน้อยจากเดือนก่อนหน้าและต่ำกว่ากรอบความยั่งยืนทางการคลังที่ร้อยละ 50 ของ GDP ในขณะที่ทุนสำรองระหว่างประเทศยังปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง มาอยู่ที่ 67.0 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ณ สิ้นเดือนธันวาคม เพิ่มขึ้นจาก 64.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ณ สิ้นเดือนพฤศจิกายน สำหรับอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในเดือนธันวาคม ขยายตัวในระดับเดียวกับเดือนก่อนที่ร้อยละ 3.5 ต่อปี ในขณะที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน ซึ่งไม่รวมดัชนีราคาอาหารสดและพลังงาน ในเดือนธันวาคมปรับตัวลดลง อยู่ที่ร้อยละ 1.5 ต่อปี จากร้อยละ 1.7 ต่อปี ในเดือนพฤศจิกายน
สำหรับภาพรวมของเศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่ 4 ของปี 2549 เศรษฐกิจไทยโดยรวมได้รับปัจจัยขับเคลื่อนหลักจากอุปสงค์ภายนอกที่ยังขยายตัวในระดับสูงและแนวโน้มราคาน้ำมันที่เริ่มปรับตัวลดลง ในขณะที่การบริโภคและการลงทุนภาคเอกชนยังคงชะลอตัวลงอย่างต่อเนื่อง ในด้านเสถียรภาพเศรษฐกิจในไตรมาสที่ 4 ของปี 2549 แสดงถึงพื้นฐานเศรษฐกิจไทยที่แข็งแกร่งมาก โดยในด้านเสถียรภาพภายในอัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ร้อยละ 3.3 ต่อปี ในไตรมาสที่ 4 จากอัตราร้อยละ 3.6 ในไตรมาสก่อนหน้า ในขณะที่เสถียรภาพภายนอกมั่นคงจากทุนสำรองระหว่างประเทศอยู่ในระดับสูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ที่ 67.0 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
--ข่าวสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ฉบับที่ 2/2550 30 มกราคม 2550--
ภาวะเศรษฐกิจภายนอกในเดือนธันวาคมได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกอย่างต่อเนื่อง และราคาน้ำมันที่มีแนวโน้มทรงตัวใกล้เคียงกับเดือนก่อนหน้า สำหรับเครื่องชี้ภาคการคลังพบว่าการจัดเก็บรายได้ขยายตัวได้ดี ในขณะที่การใช้จ่ายของรัฐบาลปรับตัวลดลง ซึ่งเกิดจากการจัดทำงบประมาณรายจ่ายปีงบประมาณ 2550 ล่าช้า โดยรายได้จัดเก็บสุทธิของรัฐบาลในเดือนธันวาคม 2549 มีจำนวนทั้งสิ้น 91.9 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 6.3 ต่อปี ขณะที่ด้านรายจ่ายงบประมาณในเดือนธันวาคม 2549 มีจำนวนรวมทั้งสิ้น 98.9 พันล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้วร้อยละ -12.0 ต่อปี เนื่องจากการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2550 ล่าช้า
เครื่องชี้ในด้านอุปทานพบว่า การผลิตภาคเกษตรในเดือนธันวาคมปรับตัวดีขึ้นจากเดือนก่อนมาอยู่ที่ร้อยละ 11.4 ต่อปี เนื่องจากภูมิอากาศเอื้ออำนวยต่อการผลิตรวมถึงผลผลิตหลายชนิดอยู่ในช่วงฤดูการผลิตและเริ่มทยอยออกสู่ตลาดมากขึ้น เช่น ข้าวนาปี ยางพารา ส่วนดัชนีราคาสินค้าเกษตรปรับตัวดีขึ้นเล็กน้อยจากเดือนก่อนมาอยู่ที่ร้อยละ -2.4 ต่อปี จากที่หดตัวถึงร้อยละ -6.8 ต่อปี ในเดือนก่อน ทำให้คาดว่ารายได้เกษตรกรน่าจะมีการขยายตัวดีขึ้นในเดือนธันวาคม ขณะที่เครื่องชี้ภาคอุตสาหกรรมบ่งชี้การผลิตภาคอุตสาหกรรมที่มีการขยายตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน ดังจะเห็นได้จากที่มูลค่าการนำเข้าวัตถุดิบในเดือนธันวาคมที่ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 8.8 ต่อปี เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 5.2 ต่อปี ในเดือนก่อน และดัชนีผลผลิตภาคอุตสาหกรรมในเดือนธันวาคมขยายตัวร้อยละ 7.2 ต่อปีเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 5.1 ต่อปีในเดือนก่อน โดยกลุ่มอุตสาหกรรมที่ผลิตเพื่อการส่งออกเช่น อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ ขยายตัวได้ดีมาก สำหรับเครื่องชี้ภาคบริการโดยเฉพาะการท่องเที่ยวในเดือนธันวาคมพบว่า มีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้ามาในประเทศไทยสูงถึง 1.4 ล้านคน ซึ่งนับเป็นเดือนที่มีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติสูงสุดเป็นประวัติการณ์
เครื่องชี้การใช้จ่ายภายในประเทศชะลอตัวลงต่อเนื่องจากเดือนก่อน โดยเครื่องชี้การบริโภคภาคเอกชนจากภาษีมูลค่าเพิ่มในเดือนธันวาคมขยายตัวชะลอลงมาอยู่ที่ร้อยละ 4.8 ต่อปี ชะลอลงจากเดือนก่อนหน้าที่ขยายตัวร้อยละ 8.3 ต่อปี ทั้งนี้ มูลค่าการนำเข้าสินค้าอุปโภคบริโภคในรูปดอลล่าร์สหรัฐฯเดือนธันวาคม ขยายตัวร้อยละ 7.5 ต่อปี เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากร้อยละ 6.5 ต่อปีในเดือนก่อน ด้านเครื่องชี้การลงทุนภาคเอกชนในเดือนธันวาคมมีแนวโน้มชะลอตัวลง ทั้งการลงทุนในด้านการก่อสร้างและในด้านเครื่องมือเครื่องจักร โดยเครื่องชี้ด้านการลงทุนภาคเอกชนในหมวดก่อสร้าง ได้แก่ ภาษีธุรกรรมอสังหาริมทรัพย์รวมในเดือนธันวาคมหดตัวร้อยละ - 9.9 ต่อปี สอดคล้องกับยอดขายปูนซีเมนต์ในเดือนพฤศจิกายนที่ขยายตัวร้อยละ 0.04 ต่อปี สำหรับเครื่องชี้การลงทุนภาคเอกชนด้านเครื่องมือเครื่องจักรชะลอตัวลงเช่นกัน โดยมูลค่าการนำเข้าสินค้าทุนในเดือนธันวาคมหดตัวที่ร้อยละ - 9.2 ต่อปี ส่วนมูลค่าการออกสิทธิบัตรส่งเสริมการลงทุนสะสมมีแนวโน้มชะลอตัวต่อเนื่อง
มูลค่าการส่งออกสินค้าเดือนธันวาคมยังคงขยายตัวสูงอย่างต่อเนื่อง โดยการส่งออกในเดือนธันวาคมมีมูลค่า 10,959 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 16.5 ต่อปี ซึ่งเป็นการขยายตัวสูงในทุกหมวดสินค้า ได้แก่ เครื่องอิเล็กทรอนิกส์ เครื่องใช้ไฟฟ้า ยานยนต์และส่วนประกอบ วัสดุก่อสร้าง ยางพารา ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง สินค้าอาหาร รวมทั้งข้าวและน้ำตาล สำหรับมูลค่าการนำเข้าสินค้ายังคงขยายตัวในระดับต่ำตามการใช้จ่ายในประเทศที่ชะลอลง โดยการนำเข้าในเดือนธันวาคมมีมูลค่า 10,047.4 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.1 ต่อปี เนื่องจากมูลค่าการนำเข้าสินค้าทุนขยายตัวชะลอลงตามการลงทุนภายในประเทศ ทั้งนี้การที่มูลค่าการส่งออกสินค้าขยายตัวสูงกว่ามูลค่าการนำเข้าส่งผลให้ดุลการค้าในเดือนธันวาคมเกินดุลต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 5 ที่ 911.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
เสถียรภาพทั้งภายในและภายนอกประเทศยังอยู่ในเกณฑ์ดี โดยหนี้สาธารณะอยู่ที่ร้อยละ 40.8 ของ GDP ปรับตัวลดลงเล็กน้อยจากเดือนก่อนหน้าและต่ำกว่ากรอบความยั่งยืนทางการคลังที่ร้อยละ 50 ของ GDP ในขณะที่ทุนสำรองระหว่างประเทศยังปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง มาอยู่ที่ 67.0 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ณ สิ้นเดือนธันวาคม เพิ่มขึ้นจาก 64.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ณ สิ้นเดือนพฤศจิกายน สำหรับอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในเดือนธันวาคม ขยายตัวในระดับเดียวกับเดือนก่อนที่ร้อยละ 3.5 ต่อปี ในขณะที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน ซึ่งไม่รวมดัชนีราคาอาหารสดและพลังงาน ในเดือนธันวาคมปรับตัวลดลง อยู่ที่ร้อยละ 1.5 ต่อปี จากร้อยละ 1.7 ต่อปี ในเดือนพฤศจิกายน
สำหรับภาพรวมของเศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่ 4 ของปี 2549 เศรษฐกิจไทยโดยรวมได้รับปัจจัยขับเคลื่อนหลักจากอุปสงค์ภายนอกที่ยังขยายตัวในระดับสูงและแนวโน้มราคาน้ำมันที่เริ่มปรับตัวลดลง ในขณะที่การบริโภคและการลงทุนภาคเอกชนยังคงชะลอตัวลงอย่างต่อเนื่อง ในด้านเสถียรภาพเศรษฐกิจในไตรมาสที่ 4 ของปี 2549 แสดงถึงพื้นฐานเศรษฐกิจไทยที่แข็งแกร่งมาก โดยในด้านเสถียรภาพภายในอัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ร้อยละ 3.3 ต่อปี ในไตรมาสที่ 4 จากอัตราร้อยละ 3.6 ในไตรมาสก่อนหน้า ในขณะที่เสถียรภาพภายนอกมั่นคงจากทุนสำรองระหว่างประเทศอยู่ในระดับสูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ที่ 67.0 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
--ข่าวสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ฉบับที่ 2/2550 30 มกราคม 2550--