ปรับครม. — เพิ่มประสิทธิภาพความมั่นคง ปลอดภัย
โดยบัญญัติ บรรทัดฐาน
ไม่น่าเป็นไปได้ว่า ปัญหาความมั่นคง ความสงบเรียบร้อยและความปลอดภัย ในชีวิตทรัพย์สินของประชาชน จะกลายเป็นปัญหาหนักสุดๆ ในยุคของรัฐบาลชั่วคราวที่จัดตั้งขึ้นภายหลังจากการยึดอำนาจและเพิ่งจะรับหน้าที่มายังไม่ครบ 3 เดือนในขณะที่ยังมีคณะทหารที่ยึดอำนาจคือคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติที่เรียกชื่อย่อว่า คมช. ยังร่วมรับผิดชอบและเป็นหลักประกันทางด้านความมั่นคงปลอดภัยและความสงบเรียบร้อย รวมทั้งยังมีการประกาศใช้กฎอัยการศึกอยู่ในหลายพื้นที่โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเขตกรุงเทพมหานครอีกด้วย
แต่ก็เป็นไปแล้วซึ่งก็คือเหตุการณ์ร้ายแรงของการลอบวางระเบิดถึง 8 จุดที่เกิดขึ้นในกรุงเทพฯ ในช่วงเวลาของคืนวันที่ 31 ธันวาคม 2549 ถึงวันที่ 1 มกราคม 2550 อันเป็นช่วงเวลาของการส่งท้ายปีเก่าและต้อนรับปีใหม่ มีผู้เสียชีวิตรวม 3 คน และมีคนบาดเจ็บอีกเป็นจำนวนมากและมีชาวต่างประเทศที่เป็นนักท่องเที่ยวรวมอยู่ด้วย แล้วก็ยังมีการโทรศัพท์ปล่อยข่าวว่าจะมีระเบิดที่นั่นที่นี่ต่อเนื่องกันมาอีก 3 — 4 วัน ซึ่งต้องถือเป็นเหตุการณ์ป่วนเมืองที่ร้ายแรงที่สุดเท่าที่เคยมีมา เพราะนอกเหนือจากจะเกิดความสูญเสีย เสียหาย และระส่ำระสายแก่ประชาชนภายในประเทศของเราแล้ว ยังเป็นข่าวให้เป็นที่รับรู้ไปยังต่างประเทศโดยทั่วไปอีกด้วย ซึ่งก็คงจะก่อให้เกิดความเสียหายต่อภาพพจน์ของประเทศ ทางด้านการลงทุนและการท่องเที่ยวต่อเนื่องต่อไปอีก เว้นเสียแต่ว่ารัฐบาลและคมช. จะสามารถควบคุมสถานการณ์ให้กลับคืนสู่สภาพปกติได้โดยเร็ว
ความจริงเหตุการณ์อันเป็นปัญหาความมั่นคงปลอดภัยและความสงบเรียบร้อยนั้นได้มีมาโดยตลอดอยู่แล้ว ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่โตร้ายแรงมาตั้งแต่ในยุครัฐบาลเก่าและก็เป็นที่เข้าใจกันดีว่าต้องใช้เวลาและต้องแก้ปัญหาหลายด้านไปพร้อม ๆ กันแต่ที่ควรจะได้วิเคราะห์วิจารณ์กันในขณะนี้ก็คือปัญหาของความมั่นคง ปลอดภัย และความสงบเรียบร้อย ที่เพิ่งจะได้เกิดขึ้นมีขึ้นภายหลังจากการยึดอำนาจแล้วไม่นานนัก ที่มีลักษณะเป็นการป่วนเมือง ซึ่งมีมาโดยตลอด เช่นมีการลอบวางเพลิงเผาโรงเรียนในพื้นที่ภาคเหนือและภาคอีสาน ซึ่งในช่วงต้น ๆ ตำรวจผู้รับผิดชอบก็มักจะโยนความผิดไปให้ไฟฟ้าลัดวงจรทุกครั้ง เพิ่งจะมีข่าวสรุปว่าเป็นการลอบวางเพลิงถึง 7 แห่ง เมื่อไม่นานมานี้ แต่จนกระทั่งบัดนี้ก็ยังไม่สามารถเอาตัวผู้กระทำความผิดมาลงโทษได้
พฤติกรรมการป่วนเมืองดังกล่าวนี้ สันนิษฐานว่ากระทำขึ้นโดยมีความมุ่งหมายอย่างน้อย 3 ประการด้วยกันคือ
1. เพื่อสร้างสถานการณ์ให้เกิดความยุ่งยากต่อรัฐบาลและ คมช. และเพื่อทำลายความเชื่อมั่นของประชาชนที่มีต่อรัฐบาลและคมช.
2. เพื่อสร้างอำนาจต่อรองกับรัฐบาล และคมช. และ
3. เพื่อสร้างขวัญและกำลังใจต่อเครือข่าย เพื่อให้เห็นว่ายังมีศักยภาพอยู่
จึงเป็นเรื่องที่ทั้งรัฐบาลและคมช. จะปล่อยให้กระทำต่อไปอีกไม่ได้ เพราะผลที่เกิดขึ้นตามมาก็คือความเสียหายของชาติ ซึ่งผมเชื่อว่ารัฐบาลและคมช.ก็คงจะได้ใช้กลไกที่มีอยู่ตามดูพฤติกรรมของผู้เกี่ยวข้องหรือที่น่าจะเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ป่วนเมืองเหล่านี้อยู่แล้วเพราะฉะนั้นในทันทีที่มีเหตุการณ์ป่วนเมืองครั้งใหญ่เกิดขึ้นในระหว่างวันส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ทั้งนายกรัฐมนตรีและประธาน คมช. จึงกล้าสรุปฟันธงว่าเป็นการกระทำของ กลุ่มผู้สูญเสียประโยชน์ทางการเมือง ซึ่งผมก็เชื่อว่าน่าจะเป็นเช่นนั้น เพราะเมื่อไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเครือข่ายก่อวินาศกรรมจากภายนอกประเทศและไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเครือข่ายกลุ่มก่อการร้าย 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ก็คงเหลือเฉพาะกลุ่มป่วนเมืองเท่านั้นเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อลักษณะของการกระทำและงานข่าวกรองจากผู้เกี่ยวข้องบ่งบอกว่าเป็นเช่นนั้น
แต่ที่สำคัญก็คือเมื่อฟันธงเช่นนั้นแล้วเป็นหน้าที่ที่รัฐบาลและคมช. จะต้องพิสูจน์ความเป็นจริงให้ปรากฎด้วยการเอาตัวผู้กระทำความผิดมาลงโทษให้ได้ รวมทั้งป้องกันมิให้เกิดเหตุร้ายทำนองเดียวกันอีก ซึ่งคงต้องอาศัยประสิทธิภาพของผู้รับผิดชอบและความร่วมมือจากประชาชนควบคู่กันไป
อย่างไรก็ตามเมื่อนายกรัฐมนตรีและประธานคมช. ฟันธง ว่าเหตุร้ายเกิดขึ้นจากการกระทำของกลุ่มผู้สูญเสียประโยชน์ทางการเมือง ผมก็จะขอย้ำเตือนว่าช่วงต้นปี 2550 จนถึงกลางปี จะเป็นช่วงเวลาที่น่าจะมีผู้สูญเสียประโยชน์ทางการเมืองเพิ่มขึ้นอีกมากมาย ทั้งจากการตรวจสอบของ คตส. ทั้งจากการพิจารณาวินิจฉัยของตุลาการรัฐธรรมนูญและจากความขัดแย้งอันเกิดขึ้นจากการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ซึ่งน่าจะคาดหมายได้ว่าปัญหาความมั่นคง ปลอดภัย และปัญหาความสงบเรียบร้อยจะเป็นปัญหาหลักในช่วงระยะเวลาดังกล่าวนี้ รัฐบาลและคมช.จึงควรจะได้เตรียมความพร้อมเพื่อรองรับสถานการณ์แห่งปัญหาดังกล่าวนี้ไว้ดังนี้
1. ปรับปรุงคณะรัฐมนตรี โดยเพิ่มรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคงเพื่อรับผิดชอบในการสั่งการและกำกับดูแลหน่วยงานด้านความมั่นคงและความสงบเรียบร้อยเพื่อแบ่งเบาภาระของนายกรัฐมนตรีและเพื่อการกำกับดูแลอย่างใกล้ชิดและเข้มงวดกวดขัน
2. - เพิ่มตำแหน่งรัฐมนตรีในกระทรวงที่เกี่ยวกับความมั่นคงและความสงบเรียบร้อยเพื่อให้เพียงพอแก่การที่จะกำกับดูแลงานได้อย่างทั่วถึงและทันการณ์
- บุคคลในข้อ 1 และ 2 ต้องเป็นบุคคลมือสะอาดและมือถึง ที่สำคัญก็คือต้องไม่มีความเกี่ยวข้องกับกลุ่มผู้สูญเสียประโยชน์ทางการเมืองมาก่อนทั้งพร้อมที่จะทำงานหนักเพื่อประโยชน์ชาติโดยไม่เห็นแก่หน้าใคร
3. ปรับปรุงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงและความสงบเรียบร้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพให้พร้อมที่จะรับผิดชอบต่อปัญหาและสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงและเพื่อการนี้หากจำเป็นจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงบุคคลผู้ดำรงตำแหน่งหลักสำคัญ ๆ ก็ต้องเปลี่ยนแปลง
4. ระดมบุคคลที่มีความเหมาะสมและพร้อมที่จะช่วยงานการตรวจสอบ เข้าทำหน้าที่ในองค์กรตรวจสอบต่าง ๆ เพิ่มเติม เพื่อเร่งรัดงานการตรวจสอบให้แล้วเสร็จเร็วขึ้น เพื่อให้ทันต่อความรู้สึกของสังคม เพราะความรู้สึกพึงพอใจของสังคมจะก่อให้เกิดความร่วมมือในการช่วยป้องกันเหตุร้ายได้ทางหนึ่ง
5. รัฐบาลและคมช. ควรจะได้ข้อสรุปจากบทเรียนที่ผ่านมาได้แล้วว่า การสมานฉันท์กับกลุ่มผู้สูญเสียประโยชน์ทางการเมืองนั้นไม่มีทางเป็นไปได้ และจะกลายเป็นการซื้อเวลาให้พวกเขาในที่สุดมีแต่การมุ่งสมานฉันท์กับความถูกต้องเป็นธรรมอย่างเข้มแข็ง ถูกเป็นถูก ผิดเป็นผิด ตามความเรียกร้องต้องการของสังคมส่วนใหญ่เท่านั้นที่จะทำให้รัฐบาลและคมช. สามารถบรรลุภารกิจสำคัญอันเป็นประโยชน์ชาติได้
เหล่านี้ก็จะเป็นส่วนหนึ่งของการเตรียมการเพื่อป้องกันเหตุร้ายมิให้เกิดขึ้นได้อย่างง่ายดายจนเกินไปเพราะถ้าขืนเกิดมีขึ้นขึ้นอีกครั้งและเกิดขึ้นอย่างกว้างขวาง เหมือนเมื่อ 2 — 3 วันที่ผ่านมาโดยที่ไม่สามารถหาผู้กระทำความผิดได้แล้วไม่เพียงแต่รัฐบาลและคมช. เท่านั้นที่จะตกอยู่ในฐานะลำบาก หากแต่อนาคตของประเทศชาติก็คงต้องพลอยตกต่ำลงไปด้วยอย่างแน่นอน.
*******************************************
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 5 ม.ค. 2550--จบ--
โดยบัญญัติ บรรทัดฐาน
ไม่น่าเป็นไปได้ว่า ปัญหาความมั่นคง ความสงบเรียบร้อยและความปลอดภัย ในชีวิตทรัพย์สินของประชาชน จะกลายเป็นปัญหาหนักสุดๆ ในยุคของรัฐบาลชั่วคราวที่จัดตั้งขึ้นภายหลังจากการยึดอำนาจและเพิ่งจะรับหน้าที่มายังไม่ครบ 3 เดือนในขณะที่ยังมีคณะทหารที่ยึดอำนาจคือคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติที่เรียกชื่อย่อว่า คมช. ยังร่วมรับผิดชอบและเป็นหลักประกันทางด้านความมั่นคงปลอดภัยและความสงบเรียบร้อย รวมทั้งยังมีการประกาศใช้กฎอัยการศึกอยู่ในหลายพื้นที่โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเขตกรุงเทพมหานครอีกด้วย
แต่ก็เป็นไปแล้วซึ่งก็คือเหตุการณ์ร้ายแรงของการลอบวางระเบิดถึง 8 จุดที่เกิดขึ้นในกรุงเทพฯ ในช่วงเวลาของคืนวันที่ 31 ธันวาคม 2549 ถึงวันที่ 1 มกราคม 2550 อันเป็นช่วงเวลาของการส่งท้ายปีเก่าและต้อนรับปีใหม่ มีผู้เสียชีวิตรวม 3 คน และมีคนบาดเจ็บอีกเป็นจำนวนมากและมีชาวต่างประเทศที่เป็นนักท่องเที่ยวรวมอยู่ด้วย แล้วก็ยังมีการโทรศัพท์ปล่อยข่าวว่าจะมีระเบิดที่นั่นที่นี่ต่อเนื่องกันมาอีก 3 — 4 วัน ซึ่งต้องถือเป็นเหตุการณ์ป่วนเมืองที่ร้ายแรงที่สุดเท่าที่เคยมีมา เพราะนอกเหนือจากจะเกิดความสูญเสีย เสียหาย และระส่ำระสายแก่ประชาชนภายในประเทศของเราแล้ว ยังเป็นข่าวให้เป็นที่รับรู้ไปยังต่างประเทศโดยทั่วไปอีกด้วย ซึ่งก็คงจะก่อให้เกิดความเสียหายต่อภาพพจน์ของประเทศ ทางด้านการลงทุนและการท่องเที่ยวต่อเนื่องต่อไปอีก เว้นเสียแต่ว่ารัฐบาลและคมช. จะสามารถควบคุมสถานการณ์ให้กลับคืนสู่สภาพปกติได้โดยเร็ว
ความจริงเหตุการณ์อันเป็นปัญหาความมั่นคงปลอดภัยและความสงบเรียบร้อยนั้นได้มีมาโดยตลอดอยู่แล้ว ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่โตร้ายแรงมาตั้งแต่ในยุครัฐบาลเก่าและก็เป็นที่เข้าใจกันดีว่าต้องใช้เวลาและต้องแก้ปัญหาหลายด้านไปพร้อม ๆ กันแต่ที่ควรจะได้วิเคราะห์วิจารณ์กันในขณะนี้ก็คือปัญหาของความมั่นคง ปลอดภัย และความสงบเรียบร้อย ที่เพิ่งจะได้เกิดขึ้นมีขึ้นภายหลังจากการยึดอำนาจแล้วไม่นานนัก ที่มีลักษณะเป็นการป่วนเมือง ซึ่งมีมาโดยตลอด เช่นมีการลอบวางเพลิงเผาโรงเรียนในพื้นที่ภาคเหนือและภาคอีสาน ซึ่งในช่วงต้น ๆ ตำรวจผู้รับผิดชอบก็มักจะโยนความผิดไปให้ไฟฟ้าลัดวงจรทุกครั้ง เพิ่งจะมีข่าวสรุปว่าเป็นการลอบวางเพลิงถึง 7 แห่ง เมื่อไม่นานมานี้ แต่จนกระทั่งบัดนี้ก็ยังไม่สามารถเอาตัวผู้กระทำความผิดมาลงโทษได้
พฤติกรรมการป่วนเมืองดังกล่าวนี้ สันนิษฐานว่ากระทำขึ้นโดยมีความมุ่งหมายอย่างน้อย 3 ประการด้วยกันคือ
1. เพื่อสร้างสถานการณ์ให้เกิดความยุ่งยากต่อรัฐบาลและ คมช. และเพื่อทำลายความเชื่อมั่นของประชาชนที่มีต่อรัฐบาลและคมช.
2. เพื่อสร้างอำนาจต่อรองกับรัฐบาล และคมช. และ
3. เพื่อสร้างขวัญและกำลังใจต่อเครือข่าย เพื่อให้เห็นว่ายังมีศักยภาพอยู่
จึงเป็นเรื่องที่ทั้งรัฐบาลและคมช. จะปล่อยให้กระทำต่อไปอีกไม่ได้ เพราะผลที่เกิดขึ้นตามมาก็คือความเสียหายของชาติ ซึ่งผมเชื่อว่ารัฐบาลและคมช.ก็คงจะได้ใช้กลไกที่มีอยู่ตามดูพฤติกรรมของผู้เกี่ยวข้องหรือที่น่าจะเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ป่วนเมืองเหล่านี้อยู่แล้วเพราะฉะนั้นในทันทีที่มีเหตุการณ์ป่วนเมืองครั้งใหญ่เกิดขึ้นในระหว่างวันส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ทั้งนายกรัฐมนตรีและประธาน คมช. จึงกล้าสรุปฟันธงว่าเป็นการกระทำของ กลุ่มผู้สูญเสียประโยชน์ทางการเมือง ซึ่งผมก็เชื่อว่าน่าจะเป็นเช่นนั้น เพราะเมื่อไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเครือข่ายก่อวินาศกรรมจากภายนอกประเทศและไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเครือข่ายกลุ่มก่อการร้าย 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ก็คงเหลือเฉพาะกลุ่มป่วนเมืองเท่านั้นเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อลักษณะของการกระทำและงานข่าวกรองจากผู้เกี่ยวข้องบ่งบอกว่าเป็นเช่นนั้น
แต่ที่สำคัญก็คือเมื่อฟันธงเช่นนั้นแล้วเป็นหน้าที่ที่รัฐบาลและคมช. จะต้องพิสูจน์ความเป็นจริงให้ปรากฎด้วยการเอาตัวผู้กระทำความผิดมาลงโทษให้ได้ รวมทั้งป้องกันมิให้เกิดเหตุร้ายทำนองเดียวกันอีก ซึ่งคงต้องอาศัยประสิทธิภาพของผู้รับผิดชอบและความร่วมมือจากประชาชนควบคู่กันไป
อย่างไรก็ตามเมื่อนายกรัฐมนตรีและประธานคมช. ฟันธง ว่าเหตุร้ายเกิดขึ้นจากการกระทำของกลุ่มผู้สูญเสียประโยชน์ทางการเมือง ผมก็จะขอย้ำเตือนว่าช่วงต้นปี 2550 จนถึงกลางปี จะเป็นช่วงเวลาที่น่าจะมีผู้สูญเสียประโยชน์ทางการเมืองเพิ่มขึ้นอีกมากมาย ทั้งจากการตรวจสอบของ คตส. ทั้งจากการพิจารณาวินิจฉัยของตุลาการรัฐธรรมนูญและจากความขัดแย้งอันเกิดขึ้นจากการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ซึ่งน่าจะคาดหมายได้ว่าปัญหาความมั่นคง ปลอดภัย และปัญหาความสงบเรียบร้อยจะเป็นปัญหาหลักในช่วงระยะเวลาดังกล่าวนี้ รัฐบาลและคมช.จึงควรจะได้เตรียมความพร้อมเพื่อรองรับสถานการณ์แห่งปัญหาดังกล่าวนี้ไว้ดังนี้
1. ปรับปรุงคณะรัฐมนตรี โดยเพิ่มรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคงเพื่อรับผิดชอบในการสั่งการและกำกับดูแลหน่วยงานด้านความมั่นคงและความสงบเรียบร้อยเพื่อแบ่งเบาภาระของนายกรัฐมนตรีและเพื่อการกำกับดูแลอย่างใกล้ชิดและเข้มงวดกวดขัน
2. - เพิ่มตำแหน่งรัฐมนตรีในกระทรวงที่เกี่ยวกับความมั่นคงและความสงบเรียบร้อยเพื่อให้เพียงพอแก่การที่จะกำกับดูแลงานได้อย่างทั่วถึงและทันการณ์
- บุคคลในข้อ 1 และ 2 ต้องเป็นบุคคลมือสะอาดและมือถึง ที่สำคัญก็คือต้องไม่มีความเกี่ยวข้องกับกลุ่มผู้สูญเสียประโยชน์ทางการเมืองมาก่อนทั้งพร้อมที่จะทำงานหนักเพื่อประโยชน์ชาติโดยไม่เห็นแก่หน้าใคร
3. ปรับปรุงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงและความสงบเรียบร้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพให้พร้อมที่จะรับผิดชอบต่อปัญหาและสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงและเพื่อการนี้หากจำเป็นจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงบุคคลผู้ดำรงตำแหน่งหลักสำคัญ ๆ ก็ต้องเปลี่ยนแปลง
4. ระดมบุคคลที่มีความเหมาะสมและพร้อมที่จะช่วยงานการตรวจสอบ เข้าทำหน้าที่ในองค์กรตรวจสอบต่าง ๆ เพิ่มเติม เพื่อเร่งรัดงานการตรวจสอบให้แล้วเสร็จเร็วขึ้น เพื่อให้ทันต่อความรู้สึกของสังคม เพราะความรู้สึกพึงพอใจของสังคมจะก่อให้เกิดความร่วมมือในการช่วยป้องกันเหตุร้ายได้ทางหนึ่ง
5. รัฐบาลและคมช. ควรจะได้ข้อสรุปจากบทเรียนที่ผ่านมาได้แล้วว่า การสมานฉันท์กับกลุ่มผู้สูญเสียประโยชน์ทางการเมืองนั้นไม่มีทางเป็นไปได้ และจะกลายเป็นการซื้อเวลาให้พวกเขาในที่สุดมีแต่การมุ่งสมานฉันท์กับความถูกต้องเป็นธรรมอย่างเข้มแข็ง ถูกเป็นถูก ผิดเป็นผิด ตามความเรียกร้องต้องการของสังคมส่วนใหญ่เท่านั้นที่จะทำให้รัฐบาลและคมช. สามารถบรรลุภารกิจสำคัญอันเป็นประโยชน์ชาติได้
เหล่านี้ก็จะเป็นส่วนหนึ่งของการเตรียมการเพื่อป้องกันเหตุร้ายมิให้เกิดขึ้นได้อย่างง่ายดายจนเกินไปเพราะถ้าขืนเกิดมีขึ้นขึ้นอีกครั้งและเกิดขึ้นอย่างกว้างขวาง เหมือนเมื่อ 2 — 3 วันที่ผ่านมาโดยที่ไม่สามารถหาผู้กระทำความผิดได้แล้วไม่เพียงแต่รัฐบาลและคมช. เท่านั้นที่จะตกอยู่ในฐานะลำบาก หากแต่อนาคตของประเทศชาติก็คงต้องพลอยตกต่ำลงไปด้วยอย่างแน่นอน.
*******************************************
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 5 ม.ค. 2550--จบ--