ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ออกประกาศเจ้าพนักงานควบคุมการแลกเปลี่ยนเงิน ลงวันที่ 29 มกราคม 2550 เพิ่มทางเลือกการกันสำรองเงินนำเข้าระยะสั้น และได้นำสาระและวิธีปฏิบัติที่เคยกำหนดไว้เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2549 วันที่ 22 ธันวาคม 2549 และวันที่ 8 มกราคม 2550 รวมไว้ในฉบับเดียวกัน เพื่อง่ายต่อความเข้าใจและการอ้างอิง โดยมีสาระสำคัญคือ
1. ธุรกรรมเงินตราต่างประเทศแลกเงินบาทที่ไม่ต้องกันเงินสำรองตามที่กำหนดไว้เดิม ยังมีผลบังคับใช้ และมีหลักเกณฑ์วิธีปฏิบัติเหมือนเดิมทุกประการ
2. ในครั้งนี้ ธปท. กำหนดทางเลือกให้การนำเงินตราต่างประเทศแลกเงินบาทตามรายการต่อไปนี้สามารถที่จะกันสำรองเหมือนเดิม หรือป้องกันความเสี่ยงก็ได้ ตามรายละเอียดดังต่อไปนี้
(1) เงินกู้ยืมเงินตราต่างประเทศทั้งที่เป็นเงินกู้ยืมทั่วไปและเงินกู้ยืมระหว่างบริษัทในเครือ (Inter-company Loan) และเงินตราต่างประเทศที่ได้รับจากการออกตราสารหนี้ โดยเงินกู้นั้นมีการป้องกันความเสี่ยงกับสถาบันการเงินในประเทศไทย(on-shore) เท่ากับจำนวนเงินและระยะเวลาการชำระคืนเงินกู้ (Fully Hedge)ในรูปของ FX Swap หรือ Cross Currency Swap ทั้งนี้ ไม่รวมการป้องกันความเสี่ยงกับสถาบันการเงินในต่างประเทศ (offshore)
สำหรับเงินกู้ที่อายุมากกว่า 1 ปี ต้องป้องกันความเสี่ยงแบบ fully hedge อย่างน้อย 1 ปี โดยหลังครบกำหนด 1 ปี ผู้กู้ยืมสามารถบริหารความเสี่ยงได้ตามที่เห็นว่าเหมาะสม
(2) สินเชื่อเงินตราต่างประเทศเพื่อการส่งออกในลักษณะของ Packing Credit อายุไม่เกิน 180 วัน ที่สถาบันการเงินในประเทศให้แก่ลูกค้าในประเทศ และผู้กู้ยืมสัญญาว่าจะนำเงินตรา ต่างประเทศที่จะได้รับจากค่าสินค้าในอนาคตมาชำระคืนเงินกู้ให้ครบถ้วน
3. เพิ่มเติมรายการที่ไม่ต้องกันสำรอง
(1) การชำระ NPL ที่ซื้อหรือจ่ายตามภาระค้ำประกันให้แก่บุคคลในประเทศไทย เมื่อคดีถึงที่สุดหรือมีเอกสารทางการที่แสดงถึงภาระที่ต้องชำระมาแสดงต่อสถาบันการเงิน
(2) เพิ่มประเภทตราสารทุนที่ไม่ต้องกันเงินสำรอง จากเดิมที่จำกัดเฉพาะหุ้นทุนใน ตลาด SET และ MAI และใบแสดงสิทธิในผลประโยชน์หลักทรัพย์ (Non-voting Depository Receipt: NVDR) ให้ครอบคลุมถึงใบสำคัญแสดงสิทธิในการซื้อหุ้นทุน (Warrant) สิทธิจองซื้อ หุ้นเพิ่มทุน (Transferable Subscription Right) และใบแสดงสิทธิในผลประโยชน์หลักทรัพย์อ้างอิง ตราสารทุน (Depository Receipt) ทั้งนี้ ต้องเป็นตราสารที่เกี่ยวกับหุ้นทุนเท่านั้น ไม่รวมถึงประเภทที่มี option ที่ไม่เกี่ยวข้องกับหุ้นทุน
4. อำนวยความสะดวกการฝากถอนบัญชี NRBA
(1) ขยายระยะเวลาเงินบาทนำเข้าบัญชีเงินบาทของผู้มีถิ่นที่อยู่นอกประเทศ (NRBA) จากเดิมต้องส่งออกในวันเดียวกันเป็นต้องส่งออกภายใน 3 วันทำการ รวมถึงดอกเบี้ยและ ผลประโยชน์จากการลงทุนในตราสารหนี้และตราสารทุนในประเทศไทย และเงินบาทเข้าบัญชี มูลค่าต่ำกว่า 1 ล้านบาท ไม่ต้องส่งออกภายใน 3 วันทำการ
(2) อำนวยความสะดวกในการชำระเงินบาทค่าสินค้าและบริการระหว่างประเทศ NR รายใดประสงค์จะขอมีบัญชีเงินบาทเพื่อประโยชน์ในการชำระค่าสินค้าโดยเฉพาะ (Special Non-resident Baht Account for Trades and Services: SNT) สามารถขอมีบัญชีเงินบาทดังกล่าวกับธนาคารพาณิชย์ได้ โดยเงินบาทที่ฝากเข้าบัญชีไม่ต้องถอนออกภายใน 3 วันทำการ และสามารถเก็บเงินบาทนั้นไว้ในบัญชี เพื่อใช้จ่ายชำระค่าสินค้าและบริการในประเทศไทยได้ แต่ต้องมียอดคงค้างในบัญชี ณ สิ้นวันไม่เกิน 100 ล้านบาท
การปรับระเบียบครั้งนี้เพื่อให้ผู้นำเข้าเงินทุน รวมทั้ง NR มีความคล่องตัวมากขึ้นในการเลือกปฏิบัติตามมาตรการกันเงินสำรองให้เหมาะสมกับความต้องการและการบริหารเงินของตน และสามารถเปิดบัญชีเงินบาทในประเทศไทยได้ 3 ประเภทตามความเหมาะสมและความต้องการทางธุรกิจคือ
(1) บัญชี NRBA ที่สามารถเปิดได้ตามปกติอยู่แล้ว เพื่อใช้ประโยชน์ในการชำระเงิน ทุกประเภทธุรกรรมตามระเบียบควบคุมการแลกเปลี่ยนเงิน
(2) บัญชี SNS เป็นบัญชีพิเศษที่ใช้เพื่อประโยชน์การลงทุนในตราสารที่เกี่ยวกับหุ้น และสัญญาล่วงหน้าในตลาด TFEX และ AFET
(3) บัญชี SNT เป็นบัญชีพิเศษที่ใช้เพื่อประโยชน์ในการชำระค่าสินค้าและบริการ
เงินบาทในบัญชีแต่ละประเภทสามารถโอนไปมาระหว่างบัญชีประเภทเดียวกัน เท่านั้น ยกเว้นบัญชี SNS ที่สามารถรับโอนจากบัญชี NRBA ได้ ในการโอนเงินระหว่าง NR ด้วยกัน NR ต้องแน่ใจว่าคู่ค้าของตนมีบัญชีประเภทเดียวกันหรือบัญชีที่สามารถโอนระหว่างกันได้
ระเบียบการกันเงินสำรองตามประกาศฉบับนี้ มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2550 เป็นต้นไป
รายละเอียดเกี่ยวกับระเบียบการกันเงินสำรองเรียกดูได้จาก
http://www.bot.or.th/bothomepage/notification/fsupv/TFipcs.asp
ข้อมูลเพิ่มเติม : ทีมกลยุทธ์การแลกเปลี่ยนเงิน
โทร. 0-2356-8630-3, 0-2356-7345-6 e-mail: FOGExchangeStrategyTeam@bot.or.th
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
1. ธุรกรรมเงินตราต่างประเทศแลกเงินบาทที่ไม่ต้องกันเงินสำรองตามที่กำหนดไว้เดิม ยังมีผลบังคับใช้ และมีหลักเกณฑ์วิธีปฏิบัติเหมือนเดิมทุกประการ
2. ในครั้งนี้ ธปท. กำหนดทางเลือกให้การนำเงินตราต่างประเทศแลกเงินบาทตามรายการต่อไปนี้สามารถที่จะกันสำรองเหมือนเดิม หรือป้องกันความเสี่ยงก็ได้ ตามรายละเอียดดังต่อไปนี้
(1) เงินกู้ยืมเงินตราต่างประเทศทั้งที่เป็นเงินกู้ยืมทั่วไปและเงินกู้ยืมระหว่างบริษัทในเครือ (Inter-company Loan) และเงินตราต่างประเทศที่ได้รับจากการออกตราสารหนี้ โดยเงินกู้นั้นมีการป้องกันความเสี่ยงกับสถาบันการเงินในประเทศไทย(on-shore) เท่ากับจำนวนเงินและระยะเวลาการชำระคืนเงินกู้ (Fully Hedge)ในรูปของ FX Swap หรือ Cross Currency Swap ทั้งนี้ ไม่รวมการป้องกันความเสี่ยงกับสถาบันการเงินในต่างประเทศ (offshore)
สำหรับเงินกู้ที่อายุมากกว่า 1 ปี ต้องป้องกันความเสี่ยงแบบ fully hedge อย่างน้อย 1 ปี โดยหลังครบกำหนด 1 ปี ผู้กู้ยืมสามารถบริหารความเสี่ยงได้ตามที่เห็นว่าเหมาะสม
(2) สินเชื่อเงินตราต่างประเทศเพื่อการส่งออกในลักษณะของ Packing Credit อายุไม่เกิน 180 วัน ที่สถาบันการเงินในประเทศให้แก่ลูกค้าในประเทศ และผู้กู้ยืมสัญญาว่าจะนำเงินตรา ต่างประเทศที่จะได้รับจากค่าสินค้าในอนาคตมาชำระคืนเงินกู้ให้ครบถ้วน
3. เพิ่มเติมรายการที่ไม่ต้องกันสำรอง
(1) การชำระ NPL ที่ซื้อหรือจ่ายตามภาระค้ำประกันให้แก่บุคคลในประเทศไทย เมื่อคดีถึงที่สุดหรือมีเอกสารทางการที่แสดงถึงภาระที่ต้องชำระมาแสดงต่อสถาบันการเงิน
(2) เพิ่มประเภทตราสารทุนที่ไม่ต้องกันเงินสำรอง จากเดิมที่จำกัดเฉพาะหุ้นทุนใน ตลาด SET และ MAI และใบแสดงสิทธิในผลประโยชน์หลักทรัพย์ (Non-voting Depository Receipt: NVDR) ให้ครอบคลุมถึงใบสำคัญแสดงสิทธิในการซื้อหุ้นทุน (Warrant) สิทธิจองซื้อ หุ้นเพิ่มทุน (Transferable Subscription Right) และใบแสดงสิทธิในผลประโยชน์หลักทรัพย์อ้างอิง ตราสารทุน (Depository Receipt) ทั้งนี้ ต้องเป็นตราสารที่เกี่ยวกับหุ้นทุนเท่านั้น ไม่รวมถึงประเภทที่มี option ที่ไม่เกี่ยวข้องกับหุ้นทุน
4. อำนวยความสะดวกการฝากถอนบัญชี NRBA
(1) ขยายระยะเวลาเงินบาทนำเข้าบัญชีเงินบาทของผู้มีถิ่นที่อยู่นอกประเทศ (NRBA) จากเดิมต้องส่งออกในวันเดียวกันเป็นต้องส่งออกภายใน 3 วันทำการ รวมถึงดอกเบี้ยและ ผลประโยชน์จากการลงทุนในตราสารหนี้และตราสารทุนในประเทศไทย และเงินบาทเข้าบัญชี มูลค่าต่ำกว่า 1 ล้านบาท ไม่ต้องส่งออกภายใน 3 วันทำการ
(2) อำนวยความสะดวกในการชำระเงินบาทค่าสินค้าและบริการระหว่างประเทศ NR รายใดประสงค์จะขอมีบัญชีเงินบาทเพื่อประโยชน์ในการชำระค่าสินค้าโดยเฉพาะ (Special Non-resident Baht Account for Trades and Services: SNT) สามารถขอมีบัญชีเงินบาทดังกล่าวกับธนาคารพาณิชย์ได้ โดยเงินบาทที่ฝากเข้าบัญชีไม่ต้องถอนออกภายใน 3 วันทำการ และสามารถเก็บเงินบาทนั้นไว้ในบัญชี เพื่อใช้จ่ายชำระค่าสินค้าและบริการในประเทศไทยได้ แต่ต้องมียอดคงค้างในบัญชี ณ สิ้นวันไม่เกิน 100 ล้านบาท
การปรับระเบียบครั้งนี้เพื่อให้ผู้นำเข้าเงินทุน รวมทั้ง NR มีความคล่องตัวมากขึ้นในการเลือกปฏิบัติตามมาตรการกันเงินสำรองให้เหมาะสมกับความต้องการและการบริหารเงินของตน และสามารถเปิดบัญชีเงินบาทในประเทศไทยได้ 3 ประเภทตามความเหมาะสมและความต้องการทางธุรกิจคือ
(1) บัญชี NRBA ที่สามารถเปิดได้ตามปกติอยู่แล้ว เพื่อใช้ประโยชน์ในการชำระเงิน ทุกประเภทธุรกรรมตามระเบียบควบคุมการแลกเปลี่ยนเงิน
(2) บัญชี SNS เป็นบัญชีพิเศษที่ใช้เพื่อประโยชน์การลงทุนในตราสารที่เกี่ยวกับหุ้น และสัญญาล่วงหน้าในตลาด TFEX และ AFET
(3) บัญชี SNT เป็นบัญชีพิเศษที่ใช้เพื่อประโยชน์ในการชำระค่าสินค้าและบริการ
เงินบาทในบัญชีแต่ละประเภทสามารถโอนไปมาระหว่างบัญชีประเภทเดียวกัน เท่านั้น ยกเว้นบัญชี SNS ที่สามารถรับโอนจากบัญชี NRBA ได้ ในการโอนเงินระหว่าง NR ด้วยกัน NR ต้องแน่ใจว่าคู่ค้าของตนมีบัญชีประเภทเดียวกันหรือบัญชีที่สามารถโอนระหว่างกันได้
ระเบียบการกันเงินสำรองตามประกาศฉบับนี้ มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2550 เป็นต้นไป
รายละเอียดเกี่ยวกับระเบียบการกันเงินสำรองเรียกดูได้จาก
http://www.bot.or.th/bothomepage/notification/fsupv/TFipcs.asp
ข้อมูลเพิ่มเติม : ทีมกลยุทธ์การแลกเปลี่ยนเงิน
โทร. 0-2356-8630-3, 0-2356-7345-6 e-mail: FOGExchangeStrategyTeam@bot.or.th
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--