วันนี้(19 มี.ค.50) ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวชี้แจงกรณีที่พรรคไทยรักไทยออกมากล่าวหา พรรคประชาธิปัตย์ มีกระบวนการที่จะยุบพรรคไทยรักไทย และ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ว่าพรรคไทยรักไทยมีสิทธิ์ ที่จะเสนอข้อเท็จจริงในเรื่องการพิจารณายุบพรรค แต่การมากล่าวหาพรรคประชาธิปัตย์ และผู้บริหารพรรคฯ เป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง เพราะความจริงแล้วจะเห็นว่าการออกมากล่าวในครั้งนี้ ตนเชื่อว่าเป็นการดิ้นรนของพรรคไทยรักไทย ที่จะพยายามโดยบาปมาให้พรรคประชาธิปัตย์ ทั้งที่ความเป็นจริงสาเหตุเบื้องต้นของการที่จะนำไปสู่การพิจารณาเสนอให้ยุบพรรคไทยรักไทยเกิดขึ้นจากการกระทำของพรรคไทยรักไทยเอง ในความพยายามที่จะจ้างพรรคเล็กลงสมัครรับเลือกตั้งเพื่อหนีเงื่อนไข 20 % และการสืบสวนสอบสวนของคณะอนุกรรมกรรมการของกกต. ก็พบข้อเท็จจริงว่ามีความพยายามที่จะจ้างพรรคเล็กลงสมัครรับเลือกตั้งจากพรรคไทยรักไทย เพื่อจะหนี 20 % จริง
นายองอาจ กล่าวต่อว่า ทั้งนี้คณะกรรมการการเลือกตั้งชุดใหญ่ ก็มีความพยายามที่จะร่วมด้วยช่วยเหลือรัฐบาลในขณะนั้น จนพรรคประชาธิปัตย์ ต้องไปยื่นฟ้องร้องให้เห็นถึงความไม่ถูกต้องของกกต. จนที่สุดศาลก็พิพากษาคดีของกกตงอย่างที่ปรกฎ เพราะฉะนั้นจะเห็นได้ว่ากระบวนการทั้งหลายเป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นจากการกระทำของพรรคไทยรักไทย และ เกิดจากการสืบสวนสอบสวนของคณะอนุกรรมการกกต. และถึงแม้กกต.ขณะนั้น จะพยายามร่วมด้วยช่วยเหลือในเรื่องดังกล่าว แต่ศาลก็มองเห็นความพิการของการเลือกตั้งครั้งนั้น จึงมีคำตัดสินออกมาสู่สาธารณชน
“เพราะฉะนั้นในส่วนของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ไม่ได้เป็นหลักใหญ่ในการที่จะไปล้มพรรคไทยรักไทยแต่อย่างไร แต่เป็นการทำหน้าที่ในฐานะประชาชนพลเมืองไทยคนหนึ่งในการช่วยกันปกป้องระบอบประชาธิปไตย ทำให้การเลือกตั้งเป็นไปอย่างสุจริตและเที่ยงธรรม เมื่อมีผู้มาร้องว่ามีการกระทำที่ไม่สุจริตในการเลือกตั้ง พรรคก็ดำเนินการส่งเรื่องให้ กกต.สืบสวนสอบสวน พรรคไม่ได้ดำเนินการสืบสวนเองแต่อย่างใด ส่วนกรณีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคนั้น ก็ไม่ได้ดำเนินการนอกสภาแต่อย่างใด เพราะขณะที่มีการเลบือกตั้ง วันที่ 2 เมษายน 2549 นั้นไม่มีสภาผู้แทนราษฎร เพราะเป็นการเลือกตั้งหลังจากที่มีการยุบสภาโดยไม่ชอบธรรมของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ดังนั้นนายอภิสิทธิ์ จึงไม่ได้ดำเนินการใดนอกสภา เช่นเดียวกัน นายชวนหลีกภัยก็ไม่ได้เป็นเงาใดๆทั้งสิ้น แต่เป็นการดำเนินการของสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ ที่ไปพบเห็นการเลือกตั้งที่ไม่สุจริตในขณะนั้น และที่สำคัญพรรคประชาธิปัตย์ไม่ได้ยื่นฟ้องยุบพรรคไทยรักไทย แต่เป็นเรื่องสืบสวนสอบสวนของกกต. และเรื่องก็ถูกส่งไปยังอัยการและตุลาการศาลรัฐธรรมนูญตามลำดับ” นายองอาจกล่าว
โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวต่อว่า ในขณะเดียวกันพรรคไทยรักไทยได้ฟ้องให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์ หลังจาก กกต.สอบสวนให้ยุบพรรคไทยรักไทยกรณีจ้างพรรคเล็กลงรับสมัครลงเลือกตั้งผ่านไปประมาณ 1 เดือน ทีมกฎหมายของพรรคไทยรักไทยจึงได้มีการแจ้งร้องต่อ กกต.เพื่อให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์ ตรงนี้สังเกตได้ว่าระยะเวลาที่ผ่านไปกว่า 1 เดือน จึงมีการแจ้งข้อหา เป็นความพยายามที่จะดึงพรรคประชาธิปัตย์ไปเป็นตัวประกันในการพิจารณาคดียุบพรรคไทยรักไทย และมาถึงวันนี้พรรคไทยรักไทยยังพยายามที่จะดิ้นรนใส่ร้ายผู้บริหารของพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งเป็นความพยายามที่จะดิ้นแก้เกี้ยวในสิ่งที่พรรคไทยรักไทยได้กระทำลงไป
“ขอยื่นยันว่าพรรคประชาธิปัตย์ไม่ได้สร้างเรื่องใดๆ ในการไปใส่ร้ายพรรคไทยรักไทย แต่เรื่องราวทั้งหลายทั้งปวงนั้นเกิดขึ้นจากการกระทำของพรรคไทยรักไทย และมีพยานหลักฐานมาแจ้งกับพรรคประชาธิปัตย์ให้รับทราบ พรรคฯจึงได้นำเรื่องและหลักฐานทั้งหมดให้ กกต.สืบสวนสอบสวน เรื่องราวจึงออกต่อสาธารณชน ” โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าว
โฆษกพรรคประชาธิปัตย์กล่าวต่อว่า มาถึงวันนี้พรรคประชาธิปัตย์มีความเชื่อมั่นว่า ข้อมูลต่างๆในส่วนของพรรคฯที่นำเสนอต่อตุลาการรัฐธรรมนูญนั้นเป็นความจริงที่จะเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณาของตุลการรัฐธรรมนูญ ผลการพิจารณาจะเป็นอย่างไรนั้นขึ้นอยู่กับดุลพินิจของตุลาการรัฐธรรมนูญ แต่พรรคมีความเชื่อมั่นต่อความจริงที่พรรคนำเสนอต่อตุลาการรัฐธรรมนูญ
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 19 มี.ค. 2550--จบ--
นายองอาจ กล่าวต่อว่า ทั้งนี้คณะกรรมการการเลือกตั้งชุดใหญ่ ก็มีความพยายามที่จะร่วมด้วยช่วยเหลือรัฐบาลในขณะนั้น จนพรรคประชาธิปัตย์ ต้องไปยื่นฟ้องร้องให้เห็นถึงความไม่ถูกต้องของกกต. จนที่สุดศาลก็พิพากษาคดีของกกตงอย่างที่ปรกฎ เพราะฉะนั้นจะเห็นได้ว่ากระบวนการทั้งหลายเป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นจากการกระทำของพรรคไทยรักไทย และ เกิดจากการสืบสวนสอบสวนของคณะอนุกรรมการกกต. และถึงแม้กกต.ขณะนั้น จะพยายามร่วมด้วยช่วยเหลือในเรื่องดังกล่าว แต่ศาลก็มองเห็นความพิการของการเลือกตั้งครั้งนั้น จึงมีคำตัดสินออกมาสู่สาธารณชน
“เพราะฉะนั้นในส่วนของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ไม่ได้เป็นหลักใหญ่ในการที่จะไปล้มพรรคไทยรักไทยแต่อย่างไร แต่เป็นการทำหน้าที่ในฐานะประชาชนพลเมืองไทยคนหนึ่งในการช่วยกันปกป้องระบอบประชาธิปไตย ทำให้การเลือกตั้งเป็นไปอย่างสุจริตและเที่ยงธรรม เมื่อมีผู้มาร้องว่ามีการกระทำที่ไม่สุจริตในการเลือกตั้ง พรรคก็ดำเนินการส่งเรื่องให้ กกต.สืบสวนสอบสวน พรรคไม่ได้ดำเนินการสืบสวนเองแต่อย่างใด ส่วนกรณีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคนั้น ก็ไม่ได้ดำเนินการนอกสภาแต่อย่างใด เพราะขณะที่มีการเลบือกตั้ง วันที่ 2 เมษายน 2549 นั้นไม่มีสภาผู้แทนราษฎร เพราะเป็นการเลือกตั้งหลังจากที่มีการยุบสภาโดยไม่ชอบธรรมของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ดังนั้นนายอภิสิทธิ์ จึงไม่ได้ดำเนินการใดนอกสภา เช่นเดียวกัน นายชวนหลีกภัยก็ไม่ได้เป็นเงาใดๆทั้งสิ้น แต่เป็นการดำเนินการของสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ ที่ไปพบเห็นการเลือกตั้งที่ไม่สุจริตในขณะนั้น และที่สำคัญพรรคประชาธิปัตย์ไม่ได้ยื่นฟ้องยุบพรรคไทยรักไทย แต่เป็นเรื่องสืบสวนสอบสวนของกกต. และเรื่องก็ถูกส่งไปยังอัยการและตุลาการศาลรัฐธรรมนูญตามลำดับ” นายองอาจกล่าว
โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวต่อว่า ในขณะเดียวกันพรรคไทยรักไทยได้ฟ้องให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์ หลังจาก กกต.สอบสวนให้ยุบพรรคไทยรักไทยกรณีจ้างพรรคเล็กลงรับสมัครลงเลือกตั้งผ่านไปประมาณ 1 เดือน ทีมกฎหมายของพรรคไทยรักไทยจึงได้มีการแจ้งร้องต่อ กกต.เพื่อให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์ ตรงนี้สังเกตได้ว่าระยะเวลาที่ผ่านไปกว่า 1 เดือน จึงมีการแจ้งข้อหา เป็นความพยายามที่จะดึงพรรคประชาธิปัตย์ไปเป็นตัวประกันในการพิจารณาคดียุบพรรคไทยรักไทย และมาถึงวันนี้พรรคไทยรักไทยยังพยายามที่จะดิ้นรนใส่ร้ายผู้บริหารของพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งเป็นความพยายามที่จะดิ้นแก้เกี้ยวในสิ่งที่พรรคไทยรักไทยได้กระทำลงไป
“ขอยื่นยันว่าพรรคประชาธิปัตย์ไม่ได้สร้างเรื่องใดๆ ในการไปใส่ร้ายพรรคไทยรักไทย แต่เรื่องราวทั้งหลายทั้งปวงนั้นเกิดขึ้นจากการกระทำของพรรคไทยรักไทย และมีพยานหลักฐานมาแจ้งกับพรรคประชาธิปัตย์ให้รับทราบ พรรคฯจึงได้นำเรื่องและหลักฐานทั้งหมดให้ กกต.สืบสวนสอบสวน เรื่องราวจึงออกต่อสาธารณชน ” โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าว
โฆษกพรรคประชาธิปัตย์กล่าวต่อว่า มาถึงวันนี้พรรคประชาธิปัตย์มีความเชื่อมั่นว่า ข้อมูลต่างๆในส่วนของพรรคฯที่นำเสนอต่อตุลาการรัฐธรรมนูญนั้นเป็นความจริงที่จะเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณาของตุลการรัฐธรรมนูญ ผลการพิจารณาจะเป็นอย่างไรนั้นขึ้นอยู่กับดุลพินิจของตุลาการรัฐธรรมนูญ แต่พรรคมีความเชื่อมั่นต่อความจริงที่พรรคนำเสนอต่อตุลาการรัฐธรรมนูญ
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 19 มี.ค. 2550--จบ--