ข่าวเศรษฐกิจในประเทศ
1. ธปท. ยืนยันยังไม่มีความจำเป็นต้องแทรกแซงค่าเงินบาทในเวลานี้ นางอัจนา ไวความดี รองผู้ว่าการด้านเสถียรภาพ
การเงิน ธปท. กล่าวว่า ค่าเงินบาทยังคงเป็นไปตามปัจจัยในภูมิภาคและความต้องการซื้อขายในตลาด ธปท. ยังไม่มีความจำเป็นที่จะเข้าไป
แทรกแซงหรือดูแลเป็นพิเศษ แต่ยังคงจับตาดูอย่างใกล้ชิดต่อไป ส่วนกรณีที่ผู้ส่งออกเรียกร้องให้ ธปท. เข้าไปดูแลค่าเงินบาทนั้นคงจะต้อง
พิจารณาปัจจัยภาพรวมเป็นหลัก สำหรับเหตุผลหนึ่งที่ค่าเงินบาทในปีนี้ยังคงแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องทั้งที่ ธปท. ได้ออกมาตรการสำรองเงินทุน
ระยะสั้นร้อยละ 30 และการทำประกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน 100% เนื่องจากเงินทุนที่ไหลเข้ามาในตลาดหุ้นไม่เข้าเกณฑ์ดังกล่าว
ทำให้ตลาดหุ้นไทยกลายเป็นช่องที่เงินทุนต่างชาติไหลเข้ามาลงทุน เพราะเป็นการลงทุนที่ต้นทุนถูกที่สุดและได้รับผลตอบแทนมากกว่าการลงทุน
ประเภทอื่น ส่งผลให้ตั้งแต่ต้นปีนี้มีเงินไหลเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นจำนวนมากจากการซื้อสุทธิของนักลงทุนต่างชาติ และทำให้ค่าเงินบาท
เทียบกับสิ้นปีที่ผ่านมาแข็งค่าขึ้นแล้วกว่าร้อยละ 4 ซึ่งเป็นอัตราที่สูงกว่าที่ ธปท. คาดการณ์ไว้ว่าทั้งปีนี้จะแข็งค่าขึ้นประมาณร้อยละ 3 (โพสต์ทูเดย์,
โลกวันนี้, กรุงเทพธุรกิจ)
2. ยอดเอ็นพีเอของ ธ.พาณิชย์ ณ สิ้นเดือน พ.ค.50 มีจำนวน 1.68 แสนล้านบาท รายงานข่าวจาก ธปท. เปิดเผยตัวเลข
สินทรัพย์รอการขาย (เอ็นพีเอ) ของ ธ.พาณิชย์ ณ สิ้นเดือน พ.ค.50 มีจำนวน 1.68 แสนล้านบาท ลดลง 9 พันล้านบาท จากช่วงเดียวกัน
ของปีก่อนที่มีอยู่ 1.77 แสนล้านบาท หรือลดลงร้อยละ 4.8 โดยยอดดังกล่าวยังไม่รวมเอ็นพีเอของบริษัทบริหารสินทรัพย์ต่าง ๆ เช่น บรรษัท
บริหารสินทรัพย์ไทย ประมาณ 1 แสนล้านบาท บริษัทบริหารสินทรัพย์สุขุมวิท 2 หมื่นล้านบาท และบ้านมือสองที่อยู่ในมือประชาชนทั่วไปอีก
1 — 2 หมื่นล้านบาท อย่างไรก็ตาม ยอดเอ็นพีเอของ ธ.พาณิชย์ที่ลดลงเพียงเล็กน้อยเนื่องจากในช่วงที่ผ่านมาภาวะเศรษฐกิจและทิศทาง
ดอกเบี้ยยังไม่ชัดเจนทำให้ลูกค้าชะลอการตัดสินใจซื้อเอ็นพีเอ นอกจากนี้ ยอดเอ็นพีเอของ ธ.พาณิชย์ที่ลดลงเนื่องจากเริ่มมีการโอนขาย
เอ็นพีเอให้กับบริษัทบริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ (บสก.) ตามนโยบายของ ธปท. โดยมีสถาบันการเงินกว่า 16 แห่ง ที่ร่วมลงนาม
จะโอนขายเอ็นพีเอให้ บสก. คิดเป็นมูลค่ารวม 1.6 หมื่นล้านบาท ทั้งนี้ การเร่งขายเอ็นพีเอจะทำให้ธนาคารลดภาระการตั้งสำรองค่าเสื่อม
ราคาและลดค่าใช้จ่ายการดูแลรักษาสินทรัพย์ รวมทั้งการขายเอ็นพีเอให้ บสก. สามารถนำตั๋วสัญญาใช้เงินของ บสก. กลับมาเป็นสำรอง
สินทรัพย์สภาพคล่องตามกฎหมายได้ (โพสต์ทูเดย์)
3. ธปท. รณรงค์โครงการต่อต้านธนบัตรปลอม ร.ต.ยอดชาย ชูศรี ผู้ช่วยผู้ว่าการสายออกบัตรธนาคาร ธปท. กล่าวถึง
โครงการรณรงค์ต่อต้านธนบัตรปลอมเชิงรุกในปี 50 ที่จัดขึ้นที่ จ.เชียงใหม่ โดยมีผู้เข้าร่วมอบรมเชิงปฏิบัติการวิธีตรวจสอบธนบัตรกว่า 200 คน
เมื่อวันที่ 4 ก.ค.50 ว่า ในช่วง 5 เดือนของปี 50 พบว่าสถิติการแพร่ระบาดของธนบัตรปลอมลดลงเมื่อเทียบกับระยะเดียวกันของปี 49
กว่าเท่าตัว จาก 8,000 ฉบับ ลดลงเหลือเพียง 4,000 ฉบับ โดย ธปท. ได้จัดโครงการรณรงค์ให้ประชาชนระมัดระวังและรู้จักสังเกต
ธนบัตรโดยเฉพาะธนบัตรฉบับราคา 100 บาท และ 1,000 บาท ที่พบว่ามีการปลอมสูง เพื่อให้ประชาชนสามารถสังเกตและตรวจสอบ
ธนบัตรปลอมได้ด้วยตัวเอง ซึ่งที่ผ่านมาแม้ว่าจะได้รับความมือจากเจ้าหน้าที่ตำรวจในการปราบปรามและจับกุม แต่พบว่าขณะนี้รูปแบบการ
ใช้ธนบัตรปลอมได้แพร่ระบาดลงสู่ระดับรากหญ้ามากขึ้น ธปท. จึงพยายามขยายโครงการไปสู่กลุ่มนักเรียนเพื่อนำความรู้ไปขยายผลต่อให้
คนรอบข้าง นอกจากนี้ ยังได้รับความร่วมมือจาก ก.ศึกษาธิการ และเตรียมใส่ความรู้การสังเกตธนบัตรปลอมในหลักสูตรการศึกษาด้วย
สำหรับการแพร่ระบาดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีมากเพราะมีแหล่งผลิตอยู่ในพื้นที่ โดยส่วนใหญ่เป็นธนบัตรฉบับราคา 100 บาท และ
1,000 บาท ที่ไม่มีแถบฟอยล์ ขณะที่ภาคเหนือมีการแพร่ระบาดไม่มากนัก ส่วนแหล่งผลิตธนบัตรแม้จะยังไม่ทราบชัดเจนแต่หลังจากมีการจับกุม
ผู้ครอบครองเจ้าหน้าที่พยายามรวบรวมรายละเอียดเพื่อขยายผลถึงแหล่งผลิต โดยการปลอมส่วนใหญ่ใช้วีธีถ่ายเอกสารสี ซึ่ง ธปท. ได้
พยายามพัฒนาระบบพิมพ์ธนบัตรใหม่ให้ยากต่อการปลอมแปลงมากขึ้น ทั้งนี้ การแพร่ระบาดของธนบัตรปลอมที่ตรวจพบในระบบมีสัดส่วนประมาณ
2 ฉบับ ต่อ 1 ล้านฉบับ เทียบกับสากลยังมีการแพร่ระบาดต่ำกว่ามาก เพราะต่างประเทศพบธนบัตรปลอมมีสัดส่วนมากถึง 20 — 30 ฉบับ
ต่อ 1 ล้านฉบับ (กรุงเทพธุรกิจ)
4. ภาวะเศรษฐกิจภาคใต้ในเดือน พ.ค.50 ยังคงชะลอตัว ธปท. รายงานข้อมูลภาวะเศรษฐกิจภาคใต้ในเดือน พ.ค.50 ว่า
การใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคบริโภคของภาคใต้โดยรวมชะลอตัว โดยมีปัจจัยลบจากปัญหาการเมือง ราคาน้ำมันที่อยู่ในระดับสูง ตลอดจนสถานการณ์
ความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ยังมีอยู่ต่อเนื่อง ส่งผลต่อความเชื่อมั่นในการใช้จ่ายทั้งที่ราคาพืชผลที่สำคัญ ได้แก่ ยาง และปาล์มน้ำมัน
จะอยู่ในระดับสูงก็ตาม โดยสะท้อนได้จากการจดทะเบียนรถยนต์และรถจักรยานยนต์ที่ปรับลดลงร้อยละ 11.9 และ 27.7 ตามลำดับ ขณะที่
การจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มและปริมาณการใช้ไฟฟ้าในครัวเรือนยังเพิ่มขึ้นร้อยละ 14.8 และ 0.6 ตามลำดับ ส่วนการลงทุนภาคเอกชนยัง
ชะลอตัวเนื่องจากภาวะเศรษฐกิจแม้ว่าทิศทางอัตราดอกเบี้ยจะอยู่ในช่วงขาลง นอกจากนี้ สถานการณ์การเมืองที่ยังไม่นิ่งทำให้นักลงทุนขาด
ความมั่นใจ อีกทั้ง ธ.พาณิชย์ระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อมากขึ้น ขณะที่ในเดือนนี้มีโครงการที่ได้รับอนุมัติส่งเสริมการลงทุน 4 โครงการ
เท่ากับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยทุกโครงการอยู่ในภาคใต้ตอนบนทั้งสิ้น แต่วงเงินส่งเสริมการลงทุนลดลงร้อยละ 33.6 จากช่วงเดียวกัน
ของปีก่อน ด้านการจดทะเบียนธุรกิจนิติบุคคลลดลงทั้งจำนวนรายและเงินลงทุน ร้อยละ 43 และ 26.3 ตามลำดับ ขณะเดียวกันพื้นที่ก่อสร้าง
ในเขตเทศบาลลดลงร้อยละ 14.4 ส่วนภาคการท่องเที่ยวยังคงขยายตัว โดยมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองใน
ภาคใต้ประมาณ 193,420 คน เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 4.1 ซึ่งเป็นผลจากนักท่องเที่ยวทางฝั่งอันดามันโดยเฉพาะที่ จ.ภูเก็ต
เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 49.4 แม้ว่าจะเข้าสู่ช่วงนอกฤดูการท่องเที่ยว (มติชน)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1. ดัชนี PMI ของ Euro zone ในเดือน มิ.ย.50 ขยายตัวเพิ่มขึ้น รายงานจากปารีส เมื่อ 4 ก.ค.50 ผลสำรวจความเห็น
ของผู้บริหารด้านจัดซื้อของธุรกิจหลายพันแห่งใน Euro zone โดย NTC Research หรือที่เรียกว่า PMI ปรากฎว่าภาคธุรกิจโดยรวมขยายตัว
ดีขึ้นในเดือน มิ.ย.50 ที่ผ่านมา โดยดัชนี PMI โดยรวมเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 57.8 จากระดับ 56.8 ในเดือน พ.ค.50 เช่นเดียวกับดัชนี
ในส่วนที่ชี้วัดภาคบริการที่เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 58.3 จากระดับ 57.3 ในเดือนพ.ค.50 สูงสุดนับตั้งแต่เดือน มิ.ย.49 ในขณะที่ดัชนีในส่วน
ที่ชี้วัดภาคการผลิตแม้ว่าไม่ได้เพิ่มขึ้นมากเท่าภาคบริการแต่ก็ดีขึ้นเกินความคาดหมายโดยเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 55.6 จากระดับ 55.0 ใน
เดือน พ.ค.50 สูงสุดนับตั้งแต่เดือน ก.พ.50 โดยดัชนีดังกล่าวที่ระดับ 50 เป็นจุดแบ่งระหว่างการขยายตัวและหดตัว ทั้งนี้ ฝรั่งเศส อิตาลี
และเยอรมนีมีส่วนช่วยให้ภาคบริการของ Euro zone ขยายตัวดีขึ้น และช่วยให้การจ้างงานในภาคบริการในเดือน มิ.ย.50 ขยายตัวใน
อัตราสูงสุดในรอบ 1 ปี ในขณะที่สเปน เยอรมนีและเนเธอร์แลนด์มีส่วนช่วยให้ภาคการผลิตของ Euro zone ขยายตัวสูงขึ้น แต่อย่างไรก็ดี
นักวิเคราะห์ยังคาดว่า ธ.กลางยุโรปหรือ ECB จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้เท่าเดิมในการประชุมในวันที่ 5 ก.ค.50 นี้ก่อนที่จะมีการ
ขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือน ก.ย.50(รอยเตอร์)
2. คณะรัฐมนตรีเยอรมนีอนุมัติงบประมาณการใช้จ่ายภาครัฐประจำปี 51 รายงานจากเบอร์ลิน เมื่อวันที่ 4 ก.ค. 50 รมว.คลัง
เยอรมนีเปิดเผยว่า คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติงบประมาณการคลังสำหรับปี 51 และแผนงบประมาณระยะกลางซึ่งจะมีแผนงบประมาณสมดุลเป็นครั้งแรก
ในรอบ 4 ทศวรรษในปี 2554 ทั้งนี้ตามแผนดังกล่าวการกู้ยืมภาครัฐจะลดลงอยู่ที่ 12.9 พัน ล. ยูโร (17.6 พัน ล. ดอลลาร์ สรอ.) อยู่ใน
ระดับต่ำที่สุดนับตั้งแต่ปี 32 ขณะที่การใช้จ่ายส่วนกลางตั้งไว้ว่าจะเพิ่มขึ้นราวร้อยละ 4.7 อยู่ที่ 283.2 พัน ล. ยูโร เพิ่มขึ้นจาก 270.5 พัน ล.
ยูโรในปี 50 สำหรับการใช้จ่ายรายปีที่นับรวมต้นทุนกองทุนสวัสดิการแรงงาน 6.1 พัน ล. ยูโร เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.9 โดยงบประมาณดังกล่าว
จำเป็นต้องผ่านการอนุมัติจากทั้งคณะรัฐมนตรี และสภานิติบัญญัติโดยมีกำหนดที่จะนำเสนอในวันที่ 11-14 ก.ย. และวันที่ 20 ธ.ค. ตามลำดับ
โดยรมว.คลังเยอรมนีคาดว่าในปีนี้การขาดดุลงบประมาณในภาครัฐทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาครวมทั้งระบบประกันสังคมจะลดลงอยู่ที่ร้อยละ 0.5
ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) และจะเข้าสู่งบประมาณสมดุลในปี 53 เป็นอย่างช้า และงบประมาณขาดดุลจะเป็นศูนย์ในปี 54 ทั้งนี้
ในปีนี้การกู้ยืมใหม่กำหนดไว้ไม่ให้เกิน 19.6 พัน ล. ยูโร ลดลงจาก 27.9 พัน ล. ยูโร ในปี 49 อย่างไรก็ตามเจ้าหน้าที่ระดับสูงบางคน
ของเยอรมนีเชื่อว่า งปม.จะสมดุลเร็วกว่าปี 54 และมีความเป็นไปได้ว่าจะเป็นต้นปีหน้า (รอยเตอร์)
3. คาดว่า ธ.กลางอังกฤษจะปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีกร้อยละ 0.25 ในการประชุมครั้งนี้ รายงานจากลอนดอน
เมื่อ 5 ก.ค.50 ผลสำรวจของนักวิเคราะห์โดยรอยเตอร์เมื่อสัปดาห์ก่อนจำนวน 56 คน จากทั้งสิ้น 70 คนคาดการณ์ว่า ในการประชุม
คณะกรรมการนโยบายการเงินของ ธ.กลางอังกฤษในวันพฤหัสบดีที่ 5 ก.ค.นี้ จะมีการปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีกร้อยละ 0.25 อยู่ที่
ร้อยละ 5.75 ต่อเนื่องเป็นครั้งที่ 5 นับตั้งแต่เดือน ส.ค.49 และนับเป็นอัตราสูงสุดในรอบ 6 ปี ทั้งนี้ ในการประชุมคณะกรรมการนโยบาย
การเงินในเดือน มิ.ย.50 มี 4 เสียง จากทั้งหมด 9 เสียง (รวมถึงผู้ว่าการ ธ.กลาง) มีความเห็นให้ปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ขณะที่
อีก 5 เสียงยังคงยืนยันว่ายังควรคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับเดิม ทั้งนี้ 1 เสียงที่มีความเห็นแตกต่างคือ เสียงของ Paul Tucker (ซึ่งเป็น
ผู้อำนวยการของ ธ.กลาง) :ซึ่งมีความเป็นไปได้ที่อาจเปลี่ยนความเห็นให้ปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนนี้ (รอยเตอร์)
4. ภาคบริการของอังกฤษปรับตัวดีขึ้นในเดือน มิ.ย.50 รายงานจากลอนดอนเมื่อ 4 ก.ค.50 The Chartered Institute
of Purchasing and Supply / NTC เปิดเผยผลการสำรวจดัชนีชี้วัดกาคบริการของอังกฤษในเดือน มิ.ย.50 ว่าเพิ่มขึ้นที่ระดับ 57.7
จากระดับ 57.2 ในเดือนก่อนหน้า สูงสุดนับตั้งแต่เดือน ม.ค.50 และสูงกว่าความคาดหมายของบรรดานักวิเคราะห์ซึ่งคาดว่าดัชนีจะอยู่ที่
ระดับ 57.0 โดยดัชนีชี้วัดการเติบโตของธุรกิจขยายตัวสู่ระดับสูงในรอบ 7 เดือน ได้แก่ The new business index เพิ่มขึ้นที่ระดับ 59.6
สูงสุดนับตั้งแต่เดือน พ.ย.49 The outstanding business index เพิ่มขึ้นที่ระดับ 52.0 สูงสุดนับตั้งแต่เดือน ธ.ค.49 และ The
employment index เพิ่มขึ้นที่ระดับ 54.5 สูงสุดนับตั้งแต่เดือน ก.พ.50 ซึ่งบ่งชี้ว่าเป็นไปได้ที่ภาคธุรกิจของอังกฤษจะเติบโตในช่วงครึ่งหลัง
ของปี ขณะที่ The input price index เพิ่มขึ้นที่ระดับ 58.8 จากระดับ 58.3 สูงสุดนับตั้งแต่เดือน มี.ค.50 และ The output price
index เพิ่มขึ้นอย่างแข็งแกร่งที่ระดับ 53.3 จากระดับ 52.5 สร้างความกังวลเกี่ยวกับการเกิดภาวะเงินเฟ้อให้กับ ธ.กลางอังกฤษไม่น้อย
ทำให้มีการคาดการณ์ว่า ธ.กลางอังกฤษอาจปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบายขึ้นอีก อนึ่ง ภาคบริการของอังกฤษมีสัดส่วนเป็น 3 ใน 4 ของระบบ
เศรษฐกิจโดยรวม (รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 5 ก.ค. 50 4 ก.ค. 50 29 ธ.ค. 49 แหล่งข้อมูล
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 34.204 36.044 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 34.0052/34.3323 35.8601/36.2308 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 3.68125 5.12813 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 825.45/40.04 679.84/9.22 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 10,550/10,650 10,550/10,650 10,750/10,650 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 68.32 68.21 56.48 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล (บาท) 29.99*/25.34** 29.99*/25.34** 26.49/23.34 ปตท.
* ปรับเลดเมื่อ 2 มิ.ย. 50 , ** ปรับเพิ่มเมื่อ 26 เม.ย. 50
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
1. ธปท. ยืนยันยังไม่มีความจำเป็นต้องแทรกแซงค่าเงินบาทในเวลานี้ นางอัจนา ไวความดี รองผู้ว่าการด้านเสถียรภาพ
การเงิน ธปท. กล่าวว่า ค่าเงินบาทยังคงเป็นไปตามปัจจัยในภูมิภาคและความต้องการซื้อขายในตลาด ธปท. ยังไม่มีความจำเป็นที่จะเข้าไป
แทรกแซงหรือดูแลเป็นพิเศษ แต่ยังคงจับตาดูอย่างใกล้ชิดต่อไป ส่วนกรณีที่ผู้ส่งออกเรียกร้องให้ ธปท. เข้าไปดูแลค่าเงินบาทนั้นคงจะต้อง
พิจารณาปัจจัยภาพรวมเป็นหลัก สำหรับเหตุผลหนึ่งที่ค่าเงินบาทในปีนี้ยังคงแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องทั้งที่ ธปท. ได้ออกมาตรการสำรองเงินทุน
ระยะสั้นร้อยละ 30 และการทำประกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน 100% เนื่องจากเงินทุนที่ไหลเข้ามาในตลาดหุ้นไม่เข้าเกณฑ์ดังกล่าว
ทำให้ตลาดหุ้นไทยกลายเป็นช่องที่เงินทุนต่างชาติไหลเข้ามาลงทุน เพราะเป็นการลงทุนที่ต้นทุนถูกที่สุดและได้รับผลตอบแทนมากกว่าการลงทุน
ประเภทอื่น ส่งผลให้ตั้งแต่ต้นปีนี้มีเงินไหลเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นจำนวนมากจากการซื้อสุทธิของนักลงทุนต่างชาติ และทำให้ค่าเงินบาท
เทียบกับสิ้นปีที่ผ่านมาแข็งค่าขึ้นแล้วกว่าร้อยละ 4 ซึ่งเป็นอัตราที่สูงกว่าที่ ธปท. คาดการณ์ไว้ว่าทั้งปีนี้จะแข็งค่าขึ้นประมาณร้อยละ 3 (โพสต์ทูเดย์,
โลกวันนี้, กรุงเทพธุรกิจ)
2. ยอดเอ็นพีเอของ ธ.พาณิชย์ ณ สิ้นเดือน พ.ค.50 มีจำนวน 1.68 แสนล้านบาท รายงานข่าวจาก ธปท. เปิดเผยตัวเลข
สินทรัพย์รอการขาย (เอ็นพีเอ) ของ ธ.พาณิชย์ ณ สิ้นเดือน พ.ค.50 มีจำนวน 1.68 แสนล้านบาท ลดลง 9 พันล้านบาท จากช่วงเดียวกัน
ของปีก่อนที่มีอยู่ 1.77 แสนล้านบาท หรือลดลงร้อยละ 4.8 โดยยอดดังกล่าวยังไม่รวมเอ็นพีเอของบริษัทบริหารสินทรัพย์ต่าง ๆ เช่น บรรษัท
บริหารสินทรัพย์ไทย ประมาณ 1 แสนล้านบาท บริษัทบริหารสินทรัพย์สุขุมวิท 2 หมื่นล้านบาท และบ้านมือสองที่อยู่ในมือประชาชนทั่วไปอีก
1 — 2 หมื่นล้านบาท อย่างไรก็ตาม ยอดเอ็นพีเอของ ธ.พาณิชย์ที่ลดลงเพียงเล็กน้อยเนื่องจากในช่วงที่ผ่านมาภาวะเศรษฐกิจและทิศทาง
ดอกเบี้ยยังไม่ชัดเจนทำให้ลูกค้าชะลอการตัดสินใจซื้อเอ็นพีเอ นอกจากนี้ ยอดเอ็นพีเอของ ธ.พาณิชย์ที่ลดลงเนื่องจากเริ่มมีการโอนขาย
เอ็นพีเอให้กับบริษัทบริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ (บสก.) ตามนโยบายของ ธปท. โดยมีสถาบันการเงินกว่า 16 แห่ง ที่ร่วมลงนาม
จะโอนขายเอ็นพีเอให้ บสก. คิดเป็นมูลค่ารวม 1.6 หมื่นล้านบาท ทั้งนี้ การเร่งขายเอ็นพีเอจะทำให้ธนาคารลดภาระการตั้งสำรองค่าเสื่อม
ราคาและลดค่าใช้จ่ายการดูแลรักษาสินทรัพย์ รวมทั้งการขายเอ็นพีเอให้ บสก. สามารถนำตั๋วสัญญาใช้เงินของ บสก. กลับมาเป็นสำรอง
สินทรัพย์สภาพคล่องตามกฎหมายได้ (โพสต์ทูเดย์)
3. ธปท. รณรงค์โครงการต่อต้านธนบัตรปลอม ร.ต.ยอดชาย ชูศรี ผู้ช่วยผู้ว่าการสายออกบัตรธนาคาร ธปท. กล่าวถึง
โครงการรณรงค์ต่อต้านธนบัตรปลอมเชิงรุกในปี 50 ที่จัดขึ้นที่ จ.เชียงใหม่ โดยมีผู้เข้าร่วมอบรมเชิงปฏิบัติการวิธีตรวจสอบธนบัตรกว่า 200 คน
เมื่อวันที่ 4 ก.ค.50 ว่า ในช่วง 5 เดือนของปี 50 พบว่าสถิติการแพร่ระบาดของธนบัตรปลอมลดลงเมื่อเทียบกับระยะเดียวกันของปี 49
กว่าเท่าตัว จาก 8,000 ฉบับ ลดลงเหลือเพียง 4,000 ฉบับ โดย ธปท. ได้จัดโครงการรณรงค์ให้ประชาชนระมัดระวังและรู้จักสังเกต
ธนบัตรโดยเฉพาะธนบัตรฉบับราคา 100 บาท และ 1,000 บาท ที่พบว่ามีการปลอมสูง เพื่อให้ประชาชนสามารถสังเกตและตรวจสอบ
ธนบัตรปลอมได้ด้วยตัวเอง ซึ่งที่ผ่านมาแม้ว่าจะได้รับความมือจากเจ้าหน้าที่ตำรวจในการปราบปรามและจับกุม แต่พบว่าขณะนี้รูปแบบการ
ใช้ธนบัตรปลอมได้แพร่ระบาดลงสู่ระดับรากหญ้ามากขึ้น ธปท. จึงพยายามขยายโครงการไปสู่กลุ่มนักเรียนเพื่อนำความรู้ไปขยายผลต่อให้
คนรอบข้าง นอกจากนี้ ยังได้รับความร่วมมือจาก ก.ศึกษาธิการ และเตรียมใส่ความรู้การสังเกตธนบัตรปลอมในหลักสูตรการศึกษาด้วย
สำหรับการแพร่ระบาดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีมากเพราะมีแหล่งผลิตอยู่ในพื้นที่ โดยส่วนใหญ่เป็นธนบัตรฉบับราคา 100 บาท และ
1,000 บาท ที่ไม่มีแถบฟอยล์ ขณะที่ภาคเหนือมีการแพร่ระบาดไม่มากนัก ส่วนแหล่งผลิตธนบัตรแม้จะยังไม่ทราบชัดเจนแต่หลังจากมีการจับกุม
ผู้ครอบครองเจ้าหน้าที่พยายามรวบรวมรายละเอียดเพื่อขยายผลถึงแหล่งผลิต โดยการปลอมส่วนใหญ่ใช้วีธีถ่ายเอกสารสี ซึ่ง ธปท. ได้
พยายามพัฒนาระบบพิมพ์ธนบัตรใหม่ให้ยากต่อการปลอมแปลงมากขึ้น ทั้งนี้ การแพร่ระบาดของธนบัตรปลอมที่ตรวจพบในระบบมีสัดส่วนประมาณ
2 ฉบับ ต่อ 1 ล้านฉบับ เทียบกับสากลยังมีการแพร่ระบาดต่ำกว่ามาก เพราะต่างประเทศพบธนบัตรปลอมมีสัดส่วนมากถึง 20 — 30 ฉบับ
ต่อ 1 ล้านฉบับ (กรุงเทพธุรกิจ)
4. ภาวะเศรษฐกิจภาคใต้ในเดือน พ.ค.50 ยังคงชะลอตัว ธปท. รายงานข้อมูลภาวะเศรษฐกิจภาคใต้ในเดือน พ.ค.50 ว่า
การใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคบริโภคของภาคใต้โดยรวมชะลอตัว โดยมีปัจจัยลบจากปัญหาการเมือง ราคาน้ำมันที่อยู่ในระดับสูง ตลอดจนสถานการณ์
ความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ยังมีอยู่ต่อเนื่อง ส่งผลต่อความเชื่อมั่นในการใช้จ่ายทั้งที่ราคาพืชผลที่สำคัญ ได้แก่ ยาง และปาล์มน้ำมัน
จะอยู่ในระดับสูงก็ตาม โดยสะท้อนได้จากการจดทะเบียนรถยนต์และรถจักรยานยนต์ที่ปรับลดลงร้อยละ 11.9 และ 27.7 ตามลำดับ ขณะที่
การจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มและปริมาณการใช้ไฟฟ้าในครัวเรือนยังเพิ่มขึ้นร้อยละ 14.8 และ 0.6 ตามลำดับ ส่วนการลงทุนภาคเอกชนยัง
ชะลอตัวเนื่องจากภาวะเศรษฐกิจแม้ว่าทิศทางอัตราดอกเบี้ยจะอยู่ในช่วงขาลง นอกจากนี้ สถานการณ์การเมืองที่ยังไม่นิ่งทำให้นักลงทุนขาด
ความมั่นใจ อีกทั้ง ธ.พาณิชย์ระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อมากขึ้น ขณะที่ในเดือนนี้มีโครงการที่ได้รับอนุมัติส่งเสริมการลงทุน 4 โครงการ
เท่ากับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยทุกโครงการอยู่ในภาคใต้ตอนบนทั้งสิ้น แต่วงเงินส่งเสริมการลงทุนลดลงร้อยละ 33.6 จากช่วงเดียวกัน
ของปีก่อน ด้านการจดทะเบียนธุรกิจนิติบุคคลลดลงทั้งจำนวนรายและเงินลงทุน ร้อยละ 43 และ 26.3 ตามลำดับ ขณะเดียวกันพื้นที่ก่อสร้าง
ในเขตเทศบาลลดลงร้อยละ 14.4 ส่วนภาคการท่องเที่ยวยังคงขยายตัว โดยมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองใน
ภาคใต้ประมาณ 193,420 คน เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 4.1 ซึ่งเป็นผลจากนักท่องเที่ยวทางฝั่งอันดามันโดยเฉพาะที่ จ.ภูเก็ต
เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 49.4 แม้ว่าจะเข้าสู่ช่วงนอกฤดูการท่องเที่ยว (มติชน)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1. ดัชนี PMI ของ Euro zone ในเดือน มิ.ย.50 ขยายตัวเพิ่มขึ้น รายงานจากปารีส เมื่อ 4 ก.ค.50 ผลสำรวจความเห็น
ของผู้บริหารด้านจัดซื้อของธุรกิจหลายพันแห่งใน Euro zone โดย NTC Research หรือที่เรียกว่า PMI ปรากฎว่าภาคธุรกิจโดยรวมขยายตัว
ดีขึ้นในเดือน มิ.ย.50 ที่ผ่านมา โดยดัชนี PMI โดยรวมเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 57.8 จากระดับ 56.8 ในเดือน พ.ค.50 เช่นเดียวกับดัชนี
ในส่วนที่ชี้วัดภาคบริการที่เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 58.3 จากระดับ 57.3 ในเดือนพ.ค.50 สูงสุดนับตั้งแต่เดือน มิ.ย.49 ในขณะที่ดัชนีในส่วน
ที่ชี้วัดภาคการผลิตแม้ว่าไม่ได้เพิ่มขึ้นมากเท่าภาคบริการแต่ก็ดีขึ้นเกินความคาดหมายโดยเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 55.6 จากระดับ 55.0 ใน
เดือน พ.ค.50 สูงสุดนับตั้งแต่เดือน ก.พ.50 โดยดัชนีดังกล่าวที่ระดับ 50 เป็นจุดแบ่งระหว่างการขยายตัวและหดตัว ทั้งนี้ ฝรั่งเศส อิตาลี
และเยอรมนีมีส่วนช่วยให้ภาคบริการของ Euro zone ขยายตัวดีขึ้น และช่วยให้การจ้างงานในภาคบริการในเดือน มิ.ย.50 ขยายตัวใน
อัตราสูงสุดในรอบ 1 ปี ในขณะที่สเปน เยอรมนีและเนเธอร์แลนด์มีส่วนช่วยให้ภาคการผลิตของ Euro zone ขยายตัวสูงขึ้น แต่อย่างไรก็ดี
นักวิเคราะห์ยังคาดว่า ธ.กลางยุโรปหรือ ECB จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้เท่าเดิมในการประชุมในวันที่ 5 ก.ค.50 นี้ก่อนที่จะมีการ
ขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือน ก.ย.50(รอยเตอร์)
2. คณะรัฐมนตรีเยอรมนีอนุมัติงบประมาณการใช้จ่ายภาครัฐประจำปี 51 รายงานจากเบอร์ลิน เมื่อวันที่ 4 ก.ค. 50 รมว.คลัง
เยอรมนีเปิดเผยว่า คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติงบประมาณการคลังสำหรับปี 51 และแผนงบประมาณระยะกลางซึ่งจะมีแผนงบประมาณสมดุลเป็นครั้งแรก
ในรอบ 4 ทศวรรษในปี 2554 ทั้งนี้ตามแผนดังกล่าวการกู้ยืมภาครัฐจะลดลงอยู่ที่ 12.9 พัน ล. ยูโร (17.6 พัน ล. ดอลลาร์ สรอ.) อยู่ใน
ระดับต่ำที่สุดนับตั้งแต่ปี 32 ขณะที่การใช้จ่ายส่วนกลางตั้งไว้ว่าจะเพิ่มขึ้นราวร้อยละ 4.7 อยู่ที่ 283.2 พัน ล. ยูโร เพิ่มขึ้นจาก 270.5 พัน ล.
ยูโรในปี 50 สำหรับการใช้จ่ายรายปีที่นับรวมต้นทุนกองทุนสวัสดิการแรงงาน 6.1 พัน ล. ยูโร เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.9 โดยงบประมาณดังกล่าว
จำเป็นต้องผ่านการอนุมัติจากทั้งคณะรัฐมนตรี และสภานิติบัญญัติโดยมีกำหนดที่จะนำเสนอในวันที่ 11-14 ก.ย. และวันที่ 20 ธ.ค. ตามลำดับ
โดยรมว.คลังเยอรมนีคาดว่าในปีนี้การขาดดุลงบประมาณในภาครัฐทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาครวมทั้งระบบประกันสังคมจะลดลงอยู่ที่ร้อยละ 0.5
ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) และจะเข้าสู่งบประมาณสมดุลในปี 53 เป็นอย่างช้า และงบประมาณขาดดุลจะเป็นศูนย์ในปี 54 ทั้งนี้
ในปีนี้การกู้ยืมใหม่กำหนดไว้ไม่ให้เกิน 19.6 พัน ล. ยูโร ลดลงจาก 27.9 พัน ล. ยูโร ในปี 49 อย่างไรก็ตามเจ้าหน้าที่ระดับสูงบางคน
ของเยอรมนีเชื่อว่า งปม.จะสมดุลเร็วกว่าปี 54 และมีความเป็นไปได้ว่าจะเป็นต้นปีหน้า (รอยเตอร์)
3. คาดว่า ธ.กลางอังกฤษจะปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีกร้อยละ 0.25 ในการประชุมครั้งนี้ รายงานจากลอนดอน
เมื่อ 5 ก.ค.50 ผลสำรวจของนักวิเคราะห์โดยรอยเตอร์เมื่อสัปดาห์ก่อนจำนวน 56 คน จากทั้งสิ้น 70 คนคาดการณ์ว่า ในการประชุม
คณะกรรมการนโยบายการเงินของ ธ.กลางอังกฤษในวันพฤหัสบดีที่ 5 ก.ค.นี้ จะมีการปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีกร้อยละ 0.25 อยู่ที่
ร้อยละ 5.75 ต่อเนื่องเป็นครั้งที่ 5 นับตั้งแต่เดือน ส.ค.49 และนับเป็นอัตราสูงสุดในรอบ 6 ปี ทั้งนี้ ในการประชุมคณะกรรมการนโยบาย
การเงินในเดือน มิ.ย.50 มี 4 เสียง จากทั้งหมด 9 เสียง (รวมถึงผู้ว่าการ ธ.กลาง) มีความเห็นให้ปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ขณะที่
อีก 5 เสียงยังคงยืนยันว่ายังควรคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับเดิม ทั้งนี้ 1 เสียงที่มีความเห็นแตกต่างคือ เสียงของ Paul Tucker (ซึ่งเป็น
ผู้อำนวยการของ ธ.กลาง) :ซึ่งมีความเป็นไปได้ที่อาจเปลี่ยนความเห็นให้ปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนนี้ (รอยเตอร์)
4. ภาคบริการของอังกฤษปรับตัวดีขึ้นในเดือน มิ.ย.50 รายงานจากลอนดอนเมื่อ 4 ก.ค.50 The Chartered Institute
of Purchasing and Supply / NTC เปิดเผยผลการสำรวจดัชนีชี้วัดกาคบริการของอังกฤษในเดือน มิ.ย.50 ว่าเพิ่มขึ้นที่ระดับ 57.7
จากระดับ 57.2 ในเดือนก่อนหน้า สูงสุดนับตั้งแต่เดือน ม.ค.50 และสูงกว่าความคาดหมายของบรรดานักวิเคราะห์ซึ่งคาดว่าดัชนีจะอยู่ที่
ระดับ 57.0 โดยดัชนีชี้วัดการเติบโตของธุรกิจขยายตัวสู่ระดับสูงในรอบ 7 เดือน ได้แก่ The new business index เพิ่มขึ้นที่ระดับ 59.6
สูงสุดนับตั้งแต่เดือน พ.ย.49 The outstanding business index เพิ่มขึ้นที่ระดับ 52.0 สูงสุดนับตั้งแต่เดือน ธ.ค.49 และ The
employment index เพิ่มขึ้นที่ระดับ 54.5 สูงสุดนับตั้งแต่เดือน ก.พ.50 ซึ่งบ่งชี้ว่าเป็นไปได้ที่ภาคธุรกิจของอังกฤษจะเติบโตในช่วงครึ่งหลัง
ของปี ขณะที่ The input price index เพิ่มขึ้นที่ระดับ 58.8 จากระดับ 58.3 สูงสุดนับตั้งแต่เดือน มี.ค.50 และ The output price
index เพิ่มขึ้นอย่างแข็งแกร่งที่ระดับ 53.3 จากระดับ 52.5 สร้างความกังวลเกี่ยวกับการเกิดภาวะเงินเฟ้อให้กับ ธ.กลางอังกฤษไม่น้อย
ทำให้มีการคาดการณ์ว่า ธ.กลางอังกฤษอาจปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบายขึ้นอีก อนึ่ง ภาคบริการของอังกฤษมีสัดส่วนเป็น 3 ใน 4 ของระบบ
เศรษฐกิจโดยรวม (รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 5 ก.ค. 50 4 ก.ค. 50 29 ธ.ค. 49 แหล่งข้อมูล
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 34.204 36.044 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 34.0052/34.3323 35.8601/36.2308 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 3.68125 5.12813 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 825.45/40.04 679.84/9.22 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 10,550/10,650 10,550/10,650 10,750/10,650 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 68.32 68.21 56.48 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล (บาท) 29.99*/25.34** 29.99*/25.34** 26.49/23.34 ปตท.
* ปรับเลดเมื่อ 2 มิ.ย. 50 , ** ปรับเพิ่มเมื่อ 26 เม.ย. 50
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--