รายการตรงไปตรงมากับอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
ทางสถานีวิทยุ 101 ช่วงเวลา 08.00 — 08.30 น.
วันศุกร์ที่12 มกราคม 2550
คลิ๊กฟังเสียง
ผู้ดำเนินรายการ: ช่วงนี้อยากคุยเรื่องอะไร
นายอภิสิทธิ์ : ที่จริงตั้งใจจะคุยเรื่องของกฎหมายการประกอบธุรกิจของคนคนต่างด้าว เพราะถือเป็นเรื่องใหญ่ในเรื่องเศรษฐกิจ แต่ว่าก็มีช่วง 2 -3 วัน การเมืองก็ร้อนขึ้นมา การเมืองก็สั้นว่าเป็นเรื่องดี ที่นายกฯ และพล.อ.สนธิ ได้ออกมายืนยันว่าในเรื่องของการจะไปควบคุมหรือใช้อำนาจ เกี่ยวข้องกับสื่อ ตกลงเป็นเพียงแต่การขอความร่วมมือ หรือการเตือน เพราะผมเห็นว่า การที่จะไปใช้อำนาจที่เกี่ยวข้องกับสื่อ จะเป็นเรื่องอันตรายพอสมควร ใจผมจริงๆแล้ว
สิ่งที่อยากให้ทำคือให้คมช. และรัฐบาล เวลาเห็นการนำเสนอข้อมูล หรือความเห็นที่มองว่าไม่ถูกต้องกับข้อเท็จจริง ก็สมารถที่จะชี้แจง ซึ่งจริงๆอยากให้ดำเนินการในทางรุกมากขึ้นด้วยซ้ำ มากกว่าจะไปเริ่มว่าคนนั้นคนนี้ จะให้ออกโทรทัศน์ อย่างนั้นไม่ได้ เพราะว่าคิดว่าถ้าทำอย่างนั้น ปัญหาจะไม่จบ และหลักการสำคัญที่เราต้องช่วยกันสร้างสังคมให้เป็นประชาธิปไตย ก็จะได้รับผลกระทบไปด้วย เพราะฉะนั้นเมื่อวานฟังดูก็รู้สึกว่า เสียงของ พล.อ.สนธิ และพล.อ.สุรยุทธ ก็ชัดเจนยิ่งขึ้น ว่าไม่ไปใช้อำนาจ ซึ่งก่อนนี้ พล.อ.วินัย ที่ออกมาพูดว่าจะใช้วิธีการ ที่เป็นเรื่องของการใช้กฎอัยการศึก คือว่าประกาศฉบับนั้น ๆตรงนั้นก็คงเบาลงไป
ส่วนเรื่องของการเพิกถอนพาสปอตร์ อยากให้ชี้แจงให้ชัดเจนยิ่งขึ้นว่า เหตุผล คือ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ไปทำอะไร เป็นเหตุ เพราว่าเรืองนี้จะได้ความชัดเจนว่าความจำเป็นคืออะไร
ส่วนเรื่องกฎหมายธุรกิจ ก็เป็นเรื่องที่มีความสับสนมากพอสมควร เพราะที่มาหลายที่ ผสมผสานกัน ระหว่างอันที่ 1 กฎหมายฉบับนี้ เป็นกฎหมายที่ต้องทบทวนเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาอยู่แล้ว ในตัวกฎหมายเองออกมาตั้งแต่ปี 2542 ซึ่งเป็นการยกเลิกเปลี่ยนแปลงเดิมสิ่งที่เป็นประกาศของคณะปฏิวัติ ที่บอกว่าคนต่างด้าว เป็นใคร นิยามให้ชัดว่าเป็นใคร แล้วสามารถประกอบธุรกิจอะไรได้บ้าง ในกฎหมายนั้นเองก็มีกรรมการ ที่ต้องคอยรายงานสถานการณ์การประกอบเศรษฐกิจของคนต่างด้าวทุกปี รวมกระทั้งบรรดา บัญชีธุรกิจที่บอกว่าอะไรที่คนต่างด้าว ทำได้ หรือต้องขออนุญาตและทำไม่ได้ ก็ให้มีการทบทวนเป็นระยะนั้นส่วนหนึ่งที่มีการเสนอให้มีการแก้ไขก็เป็นผลสืบเนื่องมาจากตัวกลไลรายงานต่างๆ ที่อยู่ในตัวกฎหมายเอง
ประเด็นที่สองคือการมีการตัดสินใจในเชิงนโยบาย พูดง่ายๆคือว่ามองว่าเวลาเราพูดถึงธุรกิจของคนต่างด้าว เดิมเราใช้การนิยามเฉพาะเรื่องหุ้น แต่ว่าความสำคัญของหุ้นที่เรื่องหนึ่งที่เราปฏิเสธไม่ได้คือ ความสามารถในการที่จะเป็นเจ้าของ ในเชิงการมีอำนาจในการบริหารจัดการ เพราะฉะนั้นหากนิยามเฉพาะเรื่องหุ้น แต่ว่าคนไทยถือหุ้นมาก แต่ไม่มีอำนาจในการบริหารจัดการ ไม่มีสิทธิออกเสียงลงคะแนน ตรงนี้ผมว่ามันก็กระไรอยู่ อันนี้ก็เป็นเรื่องของการตัดสินใจในเชิงนโยบาย
ประเด็นที่สาม ที่ปฏิเสธไม่ได้คือว่า มีผลทำให้เกิดการแก้ไขให้ต้องกฎหมายในครั้งนี้ คือ สืบเนื่องมาจากเรื่องของกุหลาบแก้ว คือหลังจากที่มีการร้องเรียนไป ซึ่งพรรคประชาธิปัตย์ ก็ได้ร้องเรียนไปว่ากรณีบริษัทกุหลาบแก้ว เป็นการละเมิดกฎหมาย กระทรวงพาณิชย์ ก็ได้ไปสอบ ในที่สุดกระทรวงพาณิชย์สอบออกมาแล้ว ก็ชี้ว่ามีการละเมิดกฎหมายจริง แต่ว่าหลังจากนั้นก็มีการพูดว่าถ้ากรณีนี้ผิด มีคนที่ผิดอีกเยอะแยะ จะก่อให้เกิดความโกลาหล จำเป็นต้องแก้กฎหมาย หรือจำเป็นที่จะต้องทำความชัดเจน เพราะฉะนั้นนี่ก้เป็นสาเหตุหนึ่งที่มีการเสนอให้มีการแก้ไขกฎหมายครั้งนี้ แต่พอนำมาผสมผสานก็นตรงนี้ก็ก่อให้เกิดความสับสน และผมจะอธิบายให้เข้าใจว่าว่าทำไมถึงสับสน แต่ว่าผนวกกับจังหวะ เวลาตรงนี้ ก็อาจจะเป็นเรื่องที่ทำให้ยาก ต่อการชี้แจง บริหารจัดการ เพราะมาหลังจากที่เกิดเหตุ 3 เหตุ ในช่วง 4 เดือนที่ผ่านมา 1. เรื่องรัฐประหาร 2.การไปใช้มาตรการของธนาคารแห่งประเทศไทย 3. ระเบิดที่เกิดขึ้น ทั้ง 3เหตุการณ์ ไปสร้างผลกระทบต่อบรรยากาศการลงทุนอยู่แล้ว คือทำให้เกิดความไม่มั่นใจของเสถียรภาพบรรยาการทางการเมืองด้วย
ส่วนมาตรการธนาคารแห่งประเทศไทย ทำให้เกิดความรู้สึกว่า ผู้บริหารไม่ค่อยเข้าใจไม่ค่อยยอมรับบรรยากาศ ความเป็นจริง ของการเคลื่อนไหวของทุนในโลกปัจจุบัน พอมาเจอเรื่องนี้เข้าไปอีกก็เลยเป็นเรื่องการทำให้เกิดความแตกตื่น และผมคิดว่าความแตกตื่นส่วนหนึ่งก็เป็นทั้งความไม่เข้าใจด้วย หรือคนที่อยู่ห่างๆ ก็จะมีความรู้สึกว่า กำลังจะมีการเปลี่ยนแปลงทิศทางเศรษฐกิจครั้งใหญ่หรือเปล่า ว่าประเทศไทยไม่ต้องการให้เกิดการลงทุนจากต่างประเทศ
ที่นี้ผมจะพยายามชี้ให้เห็นว่ามีความสับสนอย่างไร และปัญหาเรื่องนี้อยู่ตรงไหน ประเด็นแรก ที่ผมคิดว่าเป็นความสับสนที่จะต้องทบทวน คือปัญหาเรื่องกุหลาบแก้ว กับประเด็นการแก้ไขนิยามครั้งนี้ที่จริงแล้ว เป็นคนละเรื่องกัน คือขอให้แยกแยะ ปัญหา คนชอบใช้คำหลวมๆ ว่า "นอมินี" พูดง่ายๆคือการถือหุ้นแทนกันกับปัญหาการมีสิทธิ์การลงคะแนนหรือไม่
เอาง่ายๆ การถือหุ้นแทนกัน สมมุติว่าผมเป็นชาวต่างชาติ อยากมาทำธุรกิจ ผมไม่อยากแสดงตัว ว่าธุรกิจนี้เป็นของต่างประเทศ ผมก็เอาเงินมาให้คุณเติมศักดิ์ คุณอวัศดา ท่านทั้ง 2 ก็เอาเงินไปซื้อหุ้น ทำตัวเหมือนว่าเป็นหุ้นของตนเอง เสร็จแล้วก็อาจจะมีข้อตกลง เพิ่มเติมร่วมไปถึงการออกสิทธิลงคะแนน อย่างนี้ที่เรียกว่าถือหุ้นแทน กรณีนี้ถือว่าผิดกฎหมายชัดเจน ไม่ต้องแก้ ไม่ต้องเลี่ยงนิยามใดๆเลย และกรณีของกุหลาบแก้ว ที่กระทรวงพาณิชย์สอบก็ผิดอย่างนี้
ซึ่งอันนี้เป็นการถือหุ้นแทนกันที่ผิดอยู่แล้ว แต่ขณะเดียวกันก็มีอีกหลายกรณี ที่คนไทยใช้เงินของตนเองมาถือหุ้น แต่ว่าไม่มีความสนใจที่อยากเข้ามีส่วนร่วมในการบริหาร ก็มาเลือกถือหุ้นประเภทบุริมสิทธิ์ หุ้นด้อยสิทธิ์ มีผลตอบแทนชัดเจน สมเหตุผล ในการลงทุน แต่ไม่สนใจที่จะบริหารจัดการธุรกิจนี้ ก็เข้ามาถือหุ้นลักษณะนี้ อันนี้เดิมถือว่าไม่ผิดกฎหมาย ถ้าแก้อย่างที่รัฐบาลเสนอ สนช.ผิดกฎหมาย เพราะกลายเป็นเรื่องบริษัทต่างด้าว
อันนี้ผมอยากให้รัฐบาลบต้องรีบกลับไปสะสางก่อนว่า ชัดเจนหรือยัง ว่าการที่มีหุ้นด้อยสิทธิ์ ที่กำลังนิยาม ไม่ใช่เรื่องเดียวกันทั้งหมด ถ้าจะพูดถึงประเด็นที่สืบเนื่องมาจากบริษัทกุหลาบแก้ว เพราะฉะนั้นสิ่งแรกที่อยากจะทำความชัดเจน ที่นี้ก็กลับมาดูว่าในเชิงนโยบาย ในเชิงทบทวนติดตามปัญหาต่างๆ ที่ผ่านมา มีประเด็นใดที่เราจะมาติดตามทำความเข้าใจ
อันแรกต้องบอกก่อนว่าเวลาเราพูดว่าบริษัทต่างด้าวที่มาทำธุรกิจในประเทศไทยได้ไหมกฎหมายนี้ห้ามหรือไม่อย่างไร ที่จริงมันต้องแบ่ง ธุรกิจบางประเภทตามกฎหมาย เขาห้ามเด็ดขาด อันนี้เรียกบัญชี1 ประเภททำนา ทำไร่ ทำสวน สมุนไพรไทย หล่อพระพุทธรูป ไม่ให้ต่างชาติทำเลย อันนี้ต่างชาติไม่ค่อยเข้ามาทำอยู่แล้ว มีที่ก่ำกึ่งอาจจะมีเรื่องค้าที่ดิน
แต่เรื่องที่ต้องเป็นปัญหาอยู่แล้วคือหนังสือพิมพ์ วิทยุ โทรทัศน์ ความ เห็นผมกรณีอย่างนี้ว่า อันนี้คงชัดเจนว่า เราไม่ต้องการให้ต่างชาติถือหุ้นข้างมาก หรือมีอำนาจในการบริหารจัดการ เพราะฉะนั้นกรณีเช่นนี้ จะมาในรูปแบบใดก็ตามก็ไม่ควรเปิดโอกาสอยู่แล้ว
บัญชี 2 บัญชี 3 ในบัญชี 2 ซึ่งเป็นเรื่องความปลอดภัยความมั่นคง ผลกระทบต่อสังคม วัฒนธรรม สิ่งแวดล้อม ส่วนบัญชี 3 คือคนไทยยังไม่พร้อมที่จะแข่งขัน 2 บัญชีนี้ ต่างด้าวเข้ามาทำได้ ไม่ได้ห้าม แต่ว่าต้องขออนุญาต บัญชี 2 ก็ขอจากรัฐมนตรี บัญชี 3 ก็ขอจากอธิบดี ประเด็นก็คือว่า ในบัญชี 2 3 คนต่างด้าวเข้ามาทำเยอะ แต่แทนที่จะเข้ามา ทำแบขออนุญาต กลับมาใช้วิธีแสดงตัวเป็นบริษัทไทย
คำถามว่าทำไม คำตอบคือว่า 1. หลายคนบอกว่าไม่อยากยุ่งยากเรื่องการขออนุญาต เพราะเป็นที่ทราบกันดีว่าเรื่องการขออนุญาต มีขึ้นตอนมีการเสียเวลา และอาจมีการทุจริตคอรัปชั่นตามมาด้วย อันนี้ก็เป็นเหตุผลหนึ่งที่หลายบริษัทก็เลยบอกว่า ปลอมตัวเป็นบริษัทไทยดีกว่า 2.คือว่าการประกอบธุรกิจ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับกฎหมายฉบับนี้ ฉบับเดียว สมมุติว่าเป็นคนต่างด้าว อยากจะมาขออนุญาติถูกต้องทุกอย่าง คำถามตามมาอีกว่าถึงได้รับการอนุญาต ให้ประกอบธุรกิจตรงนี้แล้ว ถือที่ดินได้ไหม มีสำนักงาน มีโรงงาน ก็ต้องไปดูกฎหมายที่ดิน อะไรอีก เพราะฉะนั้นตรงจึงบอกว่าปลอมตัวเป็นบริษัทไทยดีกว่าช่องทางในการถือที่ดินก็มีเหมือนกัน คือการไปขอส่งเสริมการลงทุน แต่จะยุ่งยาก อันนี้จึงเป็นปัญหาว่าในเชิงนโยบาย พยายามจะบอกว่าธุรกิจ ถ้าเราอยากจะบอกว่าต่างด้าวนิยาม ในเรื่องสิทธิ์ การออกเสียงลงคะแนน ผมว่าโดยแนวคิดแล้วไม่ผิด
แต่ปัญหาไปบอกว่าคุณไปปรับตัวเสีย ในช่วงที่ผ่านมา ถ้าบัญชี 3 ไม่เป็นไร แต่บัญชี 2 ตามกฎหมายที่จะแก้ไขเสนอมา บอกว่าทำได้แค่ 2 ปี มันจะเกิดปัญหาแล้วที่นี้ ปัญหาก็คือว่าจะแก้ไขอย่างไร และถ้าสมมติว่าใช้วธีเลือกแก้ไข คือว่ายิมรับไปเลยว่าเขาเป็นต่างด้าว ก็จะเกิดปัญหาตามมาว่าเรื่องความไม่สะดวก เกี่ยวกับเรื่องการใช้ที่ดิน หรือสิทธิอื่นตามกฎหมายจะทำอย่างไร แต่ถ้าเขาไม่แสดงตัวเป็นต่างชาติ เขาก็ต้องหาทางให้คนไทยมาถือหุ้น และมีสิทธิ์ออกเสียงเหมือนเสียงข้างมาก
ก็จะมีผลกระทบได้ คือกระทบต่อความเชื่อมั่น ในแง่ของเวลาที่ให้ กับจำนวนคนไทยที่จะต้องมาถือหุ้นตรงนี้และมีเสียงข้างมากจะกระทบต่อราคาหุ้นหรือไม่ อย่างไร อันนี้ยังไม่พูดถึงกฎหมายที่จะเข้ามาเลย ตรงนี้ก็กระทบ
ผู้ดำเนินรายการ: เพราะฉะนั้นหากจะจัดการให้ตรงประเด็น กับทางที่พรรคประชาธิปัตย์ เสนอมาแต่ต้น ก็คือเรื่องของกุหลาบแก้ว ใช่ไหม
นายอภิสิทธิ์ : ถ้าจะถามว่าจะทำอย่างไร 1. แยกเรื่องของกุหลาบแก้ว เรื่องการถือหุ้นแทนกัน โดยหลีกเลี่ยงกฎหมาย ผมว่าตรงนี้อย่างไรก็ผิด และผมไม่อยากให้มีการนิรโทษกรรมตรงนี้ด้วยซ้ำ ขณะที่กฎหมายกำลังนิรโทษกรรม อันนี้ที่ร่างไว้คือบอกว่ายกเว้นบริษัทที่ถูกสอบสวนอยู่ ซึ่งผมไม่แน่ใจว่าในทางกฏหมายเขียนได้อย่างนี้หรือไม่ ใจผมคิดว่าประเด็นอย่างนี้ หลีกเลี่ยงกฎหมายนิรโทษกรรมไม่ได้ แต่ว่าจะทำเรื่องสิทธิ์การออกเสียงลงคะแนน ก็ต้องไปดูแลรับรองให้กับบริษัทที่เขาทำอยู่ ให้ปรับตัว แก้ไขให้ถูกต้องอย่างไร แต่ผมเห็นว่าน่าจะดูกันทั้งระบบเลย เช่น จะวางกฎเกณฑ์ กันหรือไม่ ว่าในเรื่องของที่ดินอย่างนี้ ใช้หลักเดียวกับบีโอไอ ว่าถ้าเขามาก็ให้เขาสามารถถือครองที่ดินได้แต่เฉพาะเพื่อประโยชน์ในการประกอบธุรกิจ เมื่อเลิกกิจการแล้วต้องกลับมาเป็นของคนไทยเหมือนเดิม และการอนุญาตผมว่าหน้าที่การวางหลักเกณฑ์เป็นของรัฐ แต่ว่าถ้าธุรกิจใดเข้าหลักเกณฑ์แล้ว ผมว่าน่าจะอนุญาต ไม่ใช่ต้องขึ้นไปดุลพินิจอีกว่าจะให้หรือไม่ให้ แต่ละหลักเกณฑ์ต้องชัดเจน ละเอียดว่าแต่ละธุรกิจนั้น เราอยากระมัดระวังในเรื่องใดบ้าง ในการที่บริษัทต่างด้าวจะมาประกอบธุรกิจ ซึ่งทั้งหมดนั้นผมคิดว่าน่าจะระดมสภาพข้อเท็จจริงจากทุกฝ่ายมา และถ้าไปเกี่ยวข้องกับกฎหมายอื่นๆจะได้แก้ไขไปพร้อมกัน และเป็นการแสดงให้เห็นว่าจริงๆไม่มีเจตนาไปปิดกั้นทุนต่างชาติ แต่เมื่อเข้ามาแล้วต้องอยู่ภายใต้กฎหมายของไทย
ตรงนี้ผมคิดว่าหากมีการระดมกันเป็นเรื่องเป็นราว อาจจะ 2-3 เดือน แต่น่าจะดีกว่า ที่จะออกไปในสภาพซึ่งมีปัญหาตามมาอีกเยอะ และอาจจะส่งสัญญาณที่ผิด และถ้าเราทำอีกแบบหนึ่งผมว่าสัญญาณจะไม่ผิดอย่างนี้ มันจะเป็นเรื่องที่ชัดว่าเราเพียงต้องการจัดระเบียบที่เกิดขึ้น เป็นหลักการสากลว่าหลักการออกเสียงลงคะแนนเป็นอย่างไร
และอันนี้คือ ข้อเสนอของผมว่าน่าจะทำอันนี้ด้วยวิธีนี้ ซึ่งน่าจะเป็นแนวทางแกไขปัญหาคลี่คลายสถานการณ์ได้
ผู้ดำเนินรายการ: แต่ก็มีอีกแนวความคิดหนึ่งที่คิดว่าแม้จะทำตามแนวทางที่รัฐบาลกำลังทำ แต่ว่าต่างชาติก็อาจแค่เป็นการขู่ว่าจะถอนการลงทุน
นายอภิสิทธิ์ : แต่ผมก็เชื่อว่าคงไม่ถึงขึ้นที่ต้องมีการขนเงินออกไป หรือเลิกประกอบธุรกิจนั้นคงไม่ใช่ แต่น่าจะมีผลกระทบ ต่อการตัดสินใจเข้ามาเพิ่มเติม และอาจจะมีบางรายออกไปบ้าง และที่สำคัญคือ ยังมีวิธีการที่จะหลีกเลี่ยง ออกไปอีก นี่ผมยกตัวอย่างง่ายๆว่ามันมีความเป็นไปได้ที่ว่า มาแก้ในเรื่องสิทธิ์ การลงคะแนน ให้ถูกต้องตามกฎหมายใหม่ แต่ว่าคนที่อยากหลีกเลี่ยงก็คงแอบไปทำสัญญาระหว่างกันเองอีก ฉบับหนึ่ง นั้นก็ไม่สมประโยชน์กับสิ่งที่เราต้องการจะทำ เพราะฉะนั้นผมคิดว่าน่าจะจับให้เป็นเรื่องเป็นราว เป็นระบบ อย่างบางกรณียังมีการชี้แจงสับสนมาก เช่นเรื่องโทรคมนาคม
ผู้ดำเนินรายการ: สำหรับอาทิตย์นี้..ขอบคุณค่ะ
นายอภิสิทธิ์ : สวัสดีครับ
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 12 ม.ค. 2550--จบ--
ทางสถานีวิทยุ 101 ช่วงเวลา 08.00 — 08.30 น.
วันศุกร์ที่12 มกราคม 2550
คลิ๊กฟังเสียง
ผู้ดำเนินรายการ: ช่วงนี้อยากคุยเรื่องอะไร
นายอภิสิทธิ์ : ที่จริงตั้งใจจะคุยเรื่องของกฎหมายการประกอบธุรกิจของคนคนต่างด้าว เพราะถือเป็นเรื่องใหญ่ในเรื่องเศรษฐกิจ แต่ว่าก็มีช่วง 2 -3 วัน การเมืองก็ร้อนขึ้นมา การเมืองก็สั้นว่าเป็นเรื่องดี ที่นายกฯ และพล.อ.สนธิ ได้ออกมายืนยันว่าในเรื่องของการจะไปควบคุมหรือใช้อำนาจ เกี่ยวข้องกับสื่อ ตกลงเป็นเพียงแต่การขอความร่วมมือ หรือการเตือน เพราะผมเห็นว่า การที่จะไปใช้อำนาจที่เกี่ยวข้องกับสื่อ จะเป็นเรื่องอันตรายพอสมควร ใจผมจริงๆแล้ว
สิ่งที่อยากให้ทำคือให้คมช. และรัฐบาล เวลาเห็นการนำเสนอข้อมูล หรือความเห็นที่มองว่าไม่ถูกต้องกับข้อเท็จจริง ก็สมารถที่จะชี้แจง ซึ่งจริงๆอยากให้ดำเนินการในทางรุกมากขึ้นด้วยซ้ำ มากกว่าจะไปเริ่มว่าคนนั้นคนนี้ จะให้ออกโทรทัศน์ อย่างนั้นไม่ได้ เพราะว่าคิดว่าถ้าทำอย่างนั้น ปัญหาจะไม่จบ และหลักการสำคัญที่เราต้องช่วยกันสร้างสังคมให้เป็นประชาธิปไตย ก็จะได้รับผลกระทบไปด้วย เพราะฉะนั้นเมื่อวานฟังดูก็รู้สึกว่า เสียงของ พล.อ.สนธิ และพล.อ.สุรยุทธ ก็ชัดเจนยิ่งขึ้น ว่าไม่ไปใช้อำนาจ ซึ่งก่อนนี้ พล.อ.วินัย ที่ออกมาพูดว่าจะใช้วิธีการ ที่เป็นเรื่องของการใช้กฎอัยการศึก คือว่าประกาศฉบับนั้น ๆตรงนั้นก็คงเบาลงไป
ส่วนเรื่องของการเพิกถอนพาสปอตร์ อยากให้ชี้แจงให้ชัดเจนยิ่งขึ้นว่า เหตุผล คือ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ไปทำอะไร เป็นเหตุ เพราว่าเรืองนี้จะได้ความชัดเจนว่าความจำเป็นคืออะไร
ส่วนเรื่องกฎหมายธุรกิจ ก็เป็นเรื่องที่มีความสับสนมากพอสมควร เพราะที่มาหลายที่ ผสมผสานกัน ระหว่างอันที่ 1 กฎหมายฉบับนี้ เป็นกฎหมายที่ต้องทบทวนเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาอยู่แล้ว ในตัวกฎหมายเองออกมาตั้งแต่ปี 2542 ซึ่งเป็นการยกเลิกเปลี่ยนแปลงเดิมสิ่งที่เป็นประกาศของคณะปฏิวัติ ที่บอกว่าคนต่างด้าว เป็นใคร นิยามให้ชัดว่าเป็นใคร แล้วสามารถประกอบธุรกิจอะไรได้บ้าง ในกฎหมายนั้นเองก็มีกรรมการ ที่ต้องคอยรายงานสถานการณ์การประกอบเศรษฐกิจของคนต่างด้าวทุกปี รวมกระทั้งบรรดา บัญชีธุรกิจที่บอกว่าอะไรที่คนต่างด้าว ทำได้ หรือต้องขออนุญาตและทำไม่ได้ ก็ให้มีการทบทวนเป็นระยะนั้นส่วนหนึ่งที่มีการเสนอให้มีการแก้ไขก็เป็นผลสืบเนื่องมาจากตัวกลไลรายงานต่างๆ ที่อยู่ในตัวกฎหมายเอง
ประเด็นที่สองคือการมีการตัดสินใจในเชิงนโยบาย พูดง่ายๆคือว่ามองว่าเวลาเราพูดถึงธุรกิจของคนต่างด้าว เดิมเราใช้การนิยามเฉพาะเรื่องหุ้น แต่ว่าความสำคัญของหุ้นที่เรื่องหนึ่งที่เราปฏิเสธไม่ได้คือ ความสามารถในการที่จะเป็นเจ้าของ ในเชิงการมีอำนาจในการบริหารจัดการ เพราะฉะนั้นหากนิยามเฉพาะเรื่องหุ้น แต่ว่าคนไทยถือหุ้นมาก แต่ไม่มีอำนาจในการบริหารจัดการ ไม่มีสิทธิออกเสียงลงคะแนน ตรงนี้ผมว่ามันก็กระไรอยู่ อันนี้ก็เป็นเรื่องของการตัดสินใจในเชิงนโยบาย
ประเด็นที่สาม ที่ปฏิเสธไม่ได้คือว่า มีผลทำให้เกิดการแก้ไขให้ต้องกฎหมายในครั้งนี้ คือ สืบเนื่องมาจากเรื่องของกุหลาบแก้ว คือหลังจากที่มีการร้องเรียนไป ซึ่งพรรคประชาธิปัตย์ ก็ได้ร้องเรียนไปว่ากรณีบริษัทกุหลาบแก้ว เป็นการละเมิดกฎหมาย กระทรวงพาณิชย์ ก็ได้ไปสอบ ในที่สุดกระทรวงพาณิชย์สอบออกมาแล้ว ก็ชี้ว่ามีการละเมิดกฎหมายจริง แต่ว่าหลังจากนั้นก็มีการพูดว่าถ้ากรณีนี้ผิด มีคนที่ผิดอีกเยอะแยะ จะก่อให้เกิดความโกลาหล จำเป็นต้องแก้กฎหมาย หรือจำเป็นที่จะต้องทำความชัดเจน เพราะฉะนั้นนี่ก้เป็นสาเหตุหนึ่งที่มีการเสนอให้มีการแก้ไขกฎหมายครั้งนี้ แต่พอนำมาผสมผสานก็นตรงนี้ก็ก่อให้เกิดความสับสน และผมจะอธิบายให้เข้าใจว่าว่าทำไมถึงสับสน แต่ว่าผนวกกับจังหวะ เวลาตรงนี้ ก็อาจจะเป็นเรื่องที่ทำให้ยาก ต่อการชี้แจง บริหารจัดการ เพราะมาหลังจากที่เกิดเหตุ 3 เหตุ ในช่วง 4 เดือนที่ผ่านมา 1. เรื่องรัฐประหาร 2.การไปใช้มาตรการของธนาคารแห่งประเทศไทย 3. ระเบิดที่เกิดขึ้น ทั้ง 3เหตุการณ์ ไปสร้างผลกระทบต่อบรรยากาศการลงทุนอยู่แล้ว คือทำให้เกิดความไม่มั่นใจของเสถียรภาพบรรยาการทางการเมืองด้วย
ส่วนมาตรการธนาคารแห่งประเทศไทย ทำให้เกิดความรู้สึกว่า ผู้บริหารไม่ค่อยเข้าใจไม่ค่อยยอมรับบรรยากาศ ความเป็นจริง ของการเคลื่อนไหวของทุนในโลกปัจจุบัน พอมาเจอเรื่องนี้เข้าไปอีกก็เลยเป็นเรื่องการทำให้เกิดความแตกตื่น และผมคิดว่าความแตกตื่นส่วนหนึ่งก็เป็นทั้งความไม่เข้าใจด้วย หรือคนที่อยู่ห่างๆ ก็จะมีความรู้สึกว่า กำลังจะมีการเปลี่ยนแปลงทิศทางเศรษฐกิจครั้งใหญ่หรือเปล่า ว่าประเทศไทยไม่ต้องการให้เกิดการลงทุนจากต่างประเทศ
ที่นี้ผมจะพยายามชี้ให้เห็นว่ามีความสับสนอย่างไร และปัญหาเรื่องนี้อยู่ตรงไหน ประเด็นแรก ที่ผมคิดว่าเป็นความสับสนที่จะต้องทบทวน คือปัญหาเรื่องกุหลาบแก้ว กับประเด็นการแก้ไขนิยามครั้งนี้ที่จริงแล้ว เป็นคนละเรื่องกัน คือขอให้แยกแยะ ปัญหา คนชอบใช้คำหลวมๆ ว่า "นอมินี" พูดง่ายๆคือการถือหุ้นแทนกันกับปัญหาการมีสิทธิ์การลงคะแนนหรือไม่
เอาง่ายๆ การถือหุ้นแทนกัน สมมุติว่าผมเป็นชาวต่างชาติ อยากมาทำธุรกิจ ผมไม่อยากแสดงตัว ว่าธุรกิจนี้เป็นของต่างประเทศ ผมก็เอาเงินมาให้คุณเติมศักดิ์ คุณอวัศดา ท่านทั้ง 2 ก็เอาเงินไปซื้อหุ้น ทำตัวเหมือนว่าเป็นหุ้นของตนเอง เสร็จแล้วก็อาจจะมีข้อตกลง เพิ่มเติมร่วมไปถึงการออกสิทธิลงคะแนน อย่างนี้ที่เรียกว่าถือหุ้นแทน กรณีนี้ถือว่าผิดกฎหมายชัดเจน ไม่ต้องแก้ ไม่ต้องเลี่ยงนิยามใดๆเลย และกรณีของกุหลาบแก้ว ที่กระทรวงพาณิชย์สอบก็ผิดอย่างนี้
ซึ่งอันนี้เป็นการถือหุ้นแทนกันที่ผิดอยู่แล้ว แต่ขณะเดียวกันก็มีอีกหลายกรณี ที่คนไทยใช้เงินของตนเองมาถือหุ้น แต่ว่าไม่มีความสนใจที่อยากเข้ามีส่วนร่วมในการบริหาร ก็มาเลือกถือหุ้นประเภทบุริมสิทธิ์ หุ้นด้อยสิทธิ์ มีผลตอบแทนชัดเจน สมเหตุผล ในการลงทุน แต่ไม่สนใจที่จะบริหารจัดการธุรกิจนี้ ก็เข้ามาถือหุ้นลักษณะนี้ อันนี้เดิมถือว่าไม่ผิดกฎหมาย ถ้าแก้อย่างที่รัฐบาลเสนอ สนช.ผิดกฎหมาย เพราะกลายเป็นเรื่องบริษัทต่างด้าว
อันนี้ผมอยากให้รัฐบาลบต้องรีบกลับไปสะสางก่อนว่า ชัดเจนหรือยัง ว่าการที่มีหุ้นด้อยสิทธิ์ ที่กำลังนิยาม ไม่ใช่เรื่องเดียวกันทั้งหมด ถ้าจะพูดถึงประเด็นที่สืบเนื่องมาจากบริษัทกุหลาบแก้ว เพราะฉะนั้นสิ่งแรกที่อยากจะทำความชัดเจน ที่นี้ก็กลับมาดูว่าในเชิงนโยบาย ในเชิงทบทวนติดตามปัญหาต่างๆ ที่ผ่านมา มีประเด็นใดที่เราจะมาติดตามทำความเข้าใจ
อันแรกต้องบอกก่อนว่าเวลาเราพูดว่าบริษัทต่างด้าวที่มาทำธุรกิจในประเทศไทยได้ไหมกฎหมายนี้ห้ามหรือไม่อย่างไร ที่จริงมันต้องแบ่ง ธุรกิจบางประเภทตามกฎหมาย เขาห้ามเด็ดขาด อันนี้เรียกบัญชี1 ประเภททำนา ทำไร่ ทำสวน สมุนไพรไทย หล่อพระพุทธรูป ไม่ให้ต่างชาติทำเลย อันนี้ต่างชาติไม่ค่อยเข้ามาทำอยู่แล้ว มีที่ก่ำกึ่งอาจจะมีเรื่องค้าที่ดิน
แต่เรื่องที่ต้องเป็นปัญหาอยู่แล้วคือหนังสือพิมพ์ วิทยุ โทรทัศน์ ความ เห็นผมกรณีอย่างนี้ว่า อันนี้คงชัดเจนว่า เราไม่ต้องการให้ต่างชาติถือหุ้นข้างมาก หรือมีอำนาจในการบริหารจัดการ เพราะฉะนั้นกรณีเช่นนี้ จะมาในรูปแบบใดก็ตามก็ไม่ควรเปิดโอกาสอยู่แล้ว
บัญชี 2 บัญชี 3 ในบัญชี 2 ซึ่งเป็นเรื่องความปลอดภัยความมั่นคง ผลกระทบต่อสังคม วัฒนธรรม สิ่งแวดล้อม ส่วนบัญชี 3 คือคนไทยยังไม่พร้อมที่จะแข่งขัน 2 บัญชีนี้ ต่างด้าวเข้ามาทำได้ ไม่ได้ห้าม แต่ว่าต้องขออนุญาต บัญชี 2 ก็ขอจากรัฐมนตรี บัญชี 3 ก็ขอจากอธิบดี ประเด็นก็คือว่า ในบัญชี 2 3 คนต่างด้าวเข้ามาทำเยอะ แต่แทนที่จะเข้ามา ทำแบขออนุญาต กลับมาใช้วิธีแสดงตัวเป็นบริษัทไทย
คำถามว่าทำไม คำตอบคือว่า 1. หลายคนบอกว่าไม่อยากยุ่งยากเรื่องการขออนุญาต เพราะเป็นที่ทราบกันดีว่าเรื่องการขออนุญาต มีขึ้นตอนมีการเสียเวลา และอาจมีการทุจริตคอรัปชั่นตามมาด้วย อันนี้ก็เป็นเหตุผลหนึ่งที่หลายบริษัทก็เลยบอกว่า ปลอมตัวเป็นบริษัทไทยดีกว่า 2.คือว่าการประกอบธุรกิจ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับกฎหมายฉบับนี้ ฉบับเดียว สมมุติว่าเป็นคนต่างด้าว อยากจะมาขออนุญาติถูกต้องทุกอย่าง คำถามตามมาอีกว่าถึงได้รับการอนุญาต ให้ประกอบธุรกิจตรงนี้แล้ว ถือที่ดินได้ไหม มีสำนักงาน มีโรงงาน ก็ต้องไปดูกฎหมายที่ดิน อะไรอีก เพราะฉะนั้นตรงจึงบอกว่าปลอมตัวเป็นบริษัทไทยดีกว่าช่องทางในการถือที่ดินก็มีเหมือนกัน คือการไปขอส่งเสริมการลงทุน แต่จะยุ่งยาก อันนี้จึงเป็นปัญหาว่าในเชิงนโยบาย พยายามจะบอกว่าธุรกิจ ถ้าเราอยากจะบอกว่าต่างด้าวนิยาม ในเรื่องสิทธิ์ การออกเสียงลงคะแนน ผมว่าโดยแนวคิดแล้วไม่ผิด
แต่ปัญหาไปบอกว่าคุณไปปรับตัวเสีย ในช่วงที่ผ่านมา ถ้าบัญชี 3 ไม่เป็นไร แต่บัญชี 2 ตามกฎหมายที่จะแก้ไขเสนอมา บอกว่าทำได้แค่ 2 ปี มันจะเกิดปัญหาแล้วที่นี้ ปัญหาก็คือว่าจะแก้ไขอย่างไร และถ้าสมมติว่าใช้วธีเลือกแก้ไข คือว่ายิมรับไปเลยว่าเขาเป็นต่างด้าว ก็จะเกิดปัญหาตามมาว่าเรื่องความไม่สะดวก เกี่ยวกับเรื่องการใช้ที่ดิน หรือสิทธิอื่นตามกฎหมายจะทำอย่างไร แต่ถ้าเขาไม่แสดงตัวเป็นต่างชาติ เขาก็ต้องหาทางให้คนไทยมาถือหุ้น และมีสิทธิ์ออกเสียงเหมือนเสียงข้างมาก
ก็จะมีผลกระทบได้ คือกระทบต่อความเชื่อมั่น ในแง่ของเวลาที่ให้ กับจำนวนคนไทยที่จะต้องมาถือหุ้นตรงนี้และมีเสียงข้างมากจะกระทบต่อราคาหุ้นหรือไม่ อย่างไร อันนี้ยังไม่พูดถึงกฎหมายที่จะเข้ามาเลย ตรงนี้ก็กระทบ
ผู้ดำเนินรายการ: เพราะฉะนั้นหากจะจัดการให้ตรงประเด็น กับทางที่พรรคประชาธิปัตย์ เสนอมาแต่ต้น ก็คือเรื่องของกุหลาบแก้ว ใช่ไหม
นายอภิสิทธิ์ : ถ้าจะถามว่าจะทำอย่างไร 1. แยกเรื่องของกุหลาบแก้ว เรื่องการถือหุ้นแทนกัน โดยหลีกเลี่ยงกฎหมาย ผมว่าตรงนี้อย่างไรก็ผิด และผมไม่อยากให้มีการนิรโทษกรรมตรงนี้ด้วยซ้ำ ขณะที่กฎหมายกำลังนิรโทษกรรม อันนี้ที่ร่างไว้คือบอกว่ายกเว้นบริษัทที่ถูกสอบสวนอยู่ ซึ่งผมไม่แน่ใจว่าในทางกฏหมายเขียนได้อย่างนี้หรือไม่ ใจผมคิดว่าประเด็นอย่างนี้ หลีกเลี่ยงกฎหมายนิรโทษกรรมไม่ได้ แต่ว่าจะทำเรื่องสิทธิ์การออกเสียงลงคะแนน ก็ต้องไปดูแลรับรองให้กับบริษัทที่เขาทำอยู่ ให้ปรับตัว แก้ไขให้ถูกต้องอย่างไร แต่ผมเห็นว่าน่าจะดูกันทั้งระบบเลย เช่น จะวางกฎเกณฑ์ กันหรือไม่ ว่าในเรื่องของที่ดินอย่างนี้ ใช้หลักเดียวกับบีโอไอ ว่าถ้าเขามาก็ให้เขาสามารถถือครองที่ดินได้แต่เฉพาะเพื่อประโยชน์ในการประกอบธุรกิจ เมื่อเลิกกิจการแล้วต้องกลับมาเป็นของคนไทยเหมือนเดิม และการอนุญาตผมว่าหน้าที่การวางหลักเกณฑ์เป็นของรัฐ แต่ว่าถ้าธุรกิจใดเข้าหลักเกณฑ์แล้ว ผมว่าน่าจะอนุญาต ไม่ใช่ต้องขึ้นไปดุลพินิจอีกว่าจะให้หรือไม่ให้ แต่ละหลักเกณฑ์ต้องชัดเจน ละเอียดว่าแต่ละธุรกิจนั้น เราอยากระมัดระวังในเรื่องใดบ้าง ในการที่บริษัทต่างด้าวจะมาประกอบธุรกิจ ซึ่งทั้งหมดนั้นผมคิดว่าน่าจะระดมสภาพข้อเท็จจริงจากทุกฝ่ายมา และถ้าไปเกี่ยวข้องกับกฎหมายอื่นๆจะได้แก้ไขไปพร้อมกัน และเป็นการแสดงให้เห็นว่าจริงๆไม่มีเจตนาไปปิดกั้นทุนต่างชาติ แต่เมื่อเข้ามาแล้วต้องอยู่ภายใต้กฎหมายของไทย
ตรงนี้ผมคิดว่าหากมีการระดมกันเป็นเรื่องเป็นราว อาจจะ 2-3 เดือน แต่น่าจะดีกว่า ที่จะออกไปในสภาพซึ่งมีปัญหาตามมาอีกเยอะ และอาจจะส่งสัญญาณที่ผิด และถ้าเราทำอีกแบบหนึ่งผมว่าสัญญาณจะไม่ผิดอย่างนี้ มันจะเป็นเรื่องที่ชัดว่าเราเพียงต้องการจัดระเบียบที่เกิดขึ้น เป็นหลักการสากลว่าหลักการออกเสียงลงคะแนนเป็นอย่างไร
และอันนี้คือ ข้อเสนอของผมว่าน่าจะทำอันนี้ด้วยวิธีนี้ ซึ่งน่าจะเป็นแนวทางแกไขปัญหาคลี่คลายสถานการณ์ได้
ผู้ดำเนินรายการ: แต่ก็มีอีกแนวความคิดหนึ่งที่คิดว่าแม้จะทำตามแนวทางที่รัฐบาลกำลังทำ แต่ว่าต่างชาติก็อาจแค่เป็นการขู่ว่าจะถอนการลงทุน
นายอภิสิทธิ์ : แต่ผมก็เชื่อว่าคงไม่ถึงขึ้นที่ต้องมีการขนเงินออกไป หรือเลิกประกอบธุรกิจนั้นคงไม่ใช่ แต่น่าจะมีผลกระทบ ต่อการตัดสินใจเข้ามาเพิ่มเติม และอาจจะมีบางรายออกไปบ้าง และที่สำคัญคือ ยังมีวิธีการที่จะหลีกเลี่ยง ออกไปอีก นี่ผมยกตัวอย่างง่ายๆว่ามันมีความเป็นไปได้ที่ว่า มาแก้ในเรื่องสิทธิ์ การลงคะแนน ให้ถูกต้องตามกฎหมายใหม่ แต่ว่าคนที่อยากหลีกเลี่ยงก็คงแอบไปทำสัญญาระหว่างกันเองอีก ฉบับหนึ่ง นั้นก็ไม่สมประโยชน์กับสิ่งที่เราต้องการจะทำ เพราะฉะนั้นผมคิดว่าน่าจะจับให้เป็นเรื่องเป็นราว เป็นระบบ อย่างบางกรณียังมีการชี้แจงสับสนมาก เช่นเรื่องโทรคมนาคม
ผู้ดำเนินรายการ: สำหรับอาทิตย์นี้..ขอบคุณค่ะ
นายอภิสิทธิ์ : สวัสดีครับ
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 12 ม.ค. 2550--จบ--