ข่าวเศรษฐกิจในประเทศ
1. การลดดอกเบี้ยอาจจะไม่ส่งผลให้เงินบาทอ่อนค่าลง ธปท. ระบุในรายงานแนวโน้มเงินเฟ้อฉบับเดือน เม.ย.50 ว่า
จากข้อมูลสถิติช่วง 5 ปีที่ผ่านมาชี้ให้เห็นว่า ส่วนต่างของดอกเบี้ยระหว่างไทยและต่างประเทศไม่ได้ส่งผลกระทบต่อระดับค่าเงินบาทมากนัก
การลดดอกเบี้ยนโยบายในช่วงที่ผ่านมาของ ธปท. จึงอาจจะไม่ส่งผลทำให้ค่าเงินบาทอ่อนค่าลงมากอย่างที่หลายฝ่ายคาดการณ์ไว้ ซึ่งในช่วง
ปี 2544 — 2546 แม้ ธปท. จะลดดอกเบี้ยนโยบายลงจากร้อยละ 2.5 เหลือร้อยละ 1.25 แต่เงินบาทยังคงแข็งค่าขึ้นจาก 45.62 บาท
ต่อดอลลาร์ สรอ. เป็น 41.78 บาท ต่อดอลลาร์ สรอ. นอกจากนี้ ส่วนต่างของดอกเบี้ยไทยกับ สรอ. ที่ปรับจากส่วนต่างเฉลี่ยร้อยละ 0.20
ในปี 2546 เป็นส่วนต่างติดลบสูงถึงร้อยละ 0.56 ในปี 2548 ตามอัตราดอกเบี้ยเฟดที่ปรับสูงขึ้น ก็ไม่ได้ทำให้มีเงินทุนไหลออกไป สรอ. มากขึ้น
แต่กลับมีเงินทุนไหลเข้ามาในไทยมากขึ้น สวนทางกับทฤษฎีส่วนต่างอัตราดอกเบี้ย สำหรับปัจจัยที่มีผลต่อการเคลื่อนย้ายเงินทุนคือ ปัจจัยเรื่อง
ความเชื่อมั่นและความเสี่ยงต่าง ๆ ที่มีผลต่อเศรษฐกิจ ซึ่งเห็นได้ชัดเจนจากการเคลื่อนย้ายเงินทุนออกจากตลาดเกิดใหม่กลับไปยังตลาดหลัก
ขนาดใหญ่ในช่วงกลางปี 2549 และต้นปี 2550 แม้ว่าส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยจะไม่แตกต่างกันมากนัก นอกจากนี้ การคาดการณ์แนวโน้มอัตรา
แลกเปลี่ยนก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่มีผลต่อการเคลื่อนย้ายเงินทุน เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของค่าเงินจะมีผลต่อการกำหนดอัตราผลตอบแทนของ
การลงทุนด้วย ทำให้ในบางครั้งแม้ว่าอัตราผลตอบแทนของการลงทุนในบางประเทศจะไม่ดีนัก แต่เมื่อนักลงทุนคาดว่าค่าเงินของประเทศนั้น
จะแข็งค่าขึ้นมากไม่ว่ามาจากพื้นฐานเศรษฐกิจดีหรือการเข้ามาเก็งกำไรค่าเงิน นักลงทุนก็จะยังคงนำเงินเข้ามาลงทุนในประเทศนั้น เพราะ
เมื่อรวมผลตอบแทนการลงทุนกับอัตราผลตอบแทนที่จะได้รับจากค่าเงินที่แข็งค่าขึ้นแล้วยังคงคุ้มค่ากับการลงทุน ในขณะที่การแข็งค่าขึ้นอย่าง
ต่อเนื่องของค่าเงินในภูมิภาคเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์ สรอ. ก็มีผลต่อค่าเงินบาทเช่นกัน โดยเป็นผลจากความเชื่อมั่นต่อภาวะเศรษฐกิจ สรอ.
ที่ปรับลดลง และการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดอย่างต่อเนื่องของไทย โดยเห็นได้จากการที่มีเงินทุนไหลออกรวม 200 ล้านดอลลาร์ สรอ. ใน
เดือน ธ.ค.49 และ ม.ค.50 หลังจาก ธปท. มีมาตรการกันสำรองเงินทุนไหลเข้าร้อยละ 30 แต่ดัชนีค่าเงินบาทในช่วง 2 เดือนดังกล่าว
ยังคงแข็งค่าขึ้น ซึ่งมีสาเหตุจากการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดรวม 2.8 พันล้านดอลลาร์ สรอ. ในเดือน ธ.ค. และ ม.ค.ที่ผ่านมา(กรุงเทพธุรกิจ,
ผู้จัดการรายวัน, บ้านเมือง, แนวหน้า)
2. ปัจจัยลบหลายอย่างอาจทำให้เศรษฐกิจปีนี้ขยายตัวต่ำกว่าร้อยละ 4 นายเชาวน์ เก่งชน รอง ผจก. ศูนย์วิจัยกสิกรไทย
กล่าวถึงแนวโน้มเศรษฐกิจในปีนี้ว่า จากการที่ ธปท. ปรับลดประมาณการอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจที่ระดับร้อยละ 3.8 — 4.8 นั้น
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยยังประมาณการอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจไว้ที่ร้อยละ 3.5 — 4.5 แต่จะต้องจับตาดูปัจจัยต่าง ๆ ว่ามีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น
อีกหรือไม่ หากมีก็ต้องทบทวนประมาณการที่ตั้งไว้ อย่างไรก็ตาม มีความเป็นไปได้เพิ่มขึ้นที่อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจปีนี้จะต่ำกว่าร้อยละ 4
เนื่องจากความเชื่อมั่นในภาคเอกชนที่ลดลงจากปัจจัยทางการเมืองที่ยังไม่มีความชัดเจน เห็นได้จากยอดการซื้อรถยนต์และการลงทุนของภาคเอกชน
ในประเทศที่ชะลอตัวลง ส่วนปัจจัยที่ต้องจับตาดูอย่างใกล้ชิดเป็นเรื่องการเมืองในกรณีการร่างรัฐธรรมนูญใหม่ การลงประชามติ และการเลือกตั้ง
ว่าจะเป็นไปตามที่กำหนดไว้หรือไม่ หากทำได้ก็จะสามารถดึงความเชื่อมั่นกลับมา รวมทั้งราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้นในช่วงนี้ด้วย ขณะที่ปัจจัยหนุน
ก็ยังมีส่วนของการส่งออกที่ไตรมาสแรกปีนี้ขยายตัวถึงร้อยละ 18 สูงกว่าที่ประมาณการไว้ และถ้าการส่งออกขยายตัวได้ดีต่อเนื่องก็จะเป็นปัจจัย
ที่ช่วงพยุงเศรษฐกิจได้ ด้าน นายบันลือศักดิ์ ปุสสะรังสี ผอ.ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจมหภาค ธ.กรุงเทพ กล่าวว่า ทิศทางเศรษฐกิจในขณะนี้มี
แนวโน้มว่าจะขยายตัวในระดับร้อยละ 3 — 4 และมีความเป็นไปได้ที่จะขยายตัวในระดับต่ำกว่าร้อยละ 3 เนื่องจากยังมีปัจจัยเสี่ยงอยู่ โดยเฉพาะ
ในช่วงครึ่งปีหลังที่เศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าสำคัญอย่าง สรอ. และจีนมีแนวโน้มชะลอตัวลงอย่างชัดเจน ดังนั้น ในช่วงเวลาที่เหลือของปี รัฐบาล
จะต้องหันมาเร่งกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศเพิ่มขึ้น รวมถึงการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอีก (ผู้จัดการรายวัน)
3. คาดว่ารัฐจะจัดเก็บภาษีปีนี้ต่ำกว่าเป้าที่ตั้งไว้ 3 หมื่นล้านบาท นายศานิต ร่างน้อย อธิบดีกรมสรรพากร เปิดเผยว่า
ยอดการเก็บภาษีของกรมสรรพากรในเดือน เม.ย.50 จะต่ำกว่าเป้าที่ตั้งไว้ 7.52 หมื่นล้านบาท ประมาณ 2 พันล้านบาท เนื่องจากภาษีสำคัญ
หลายตัวเก็บได้ต่ำกว่าที่ประมาณการไว้ ทั้งนี้ เพราะภาษีมูลค่าเพิ่มจากการนำเข้าลดลงอย่างมากเนื่องจากการบริโภคภายในประเทศลดลงและ
เงินบาทแข็งค่าขึ้น ขณะที่ภาษีเงินได้นิติบุคคลที่เก็บจากการส่งกำไรออกไปนอกประเทศไม่ดีเท่าที่ควร เนื่องจากกำไรและเงินปันผลที่บริษัท
ต่างประเทศเข้ามาลงทุนมีรายได้ไม่ดี เฉพาะภาษีทั้ง 2 รายการมียอดการจัดเก็บต่ำกว่าเป้าถึง 1.5 พันล้านบาท ภาษีธุรกิจเฉพาะก็ต่ำกว่า
เป้ามากเช่นเดียวกับหลายเดือนที่ผ่านมา โดยคาดว่าการจัดเก็บภาษีในปีนี้จะต่ำกว่าเป้าที่ตั้งไว้ 1.14 ล้านล้านบาท ประมาณร้อยละ 3 หรือ
ประมาณ 3 หมื่นล้านบาท ส่วนกรมสรรพสามิตและกรมศุลกากรนั้นคาดว่าจะเก็บรายได้เกินจากเป้า 400 ล้านบาท และ 200 ล้านบาท ตามลำดับ
(โพสต์ทูเดย์)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1. เศรษฐกิจ สรอ.ในไตรมาสแรกปี 50 ขยายตัวร้อยละ 1.3 ต่อปี ต่ำสุดในรอบ 4 ปี รายงานจากวอชิงตัน เมื่อ 27 เม.ย.50
ผลผลิตรวมในประเทศหรือ GDP ของ สรอ.ขยายตัวในอัตราร้อยละ 1.3 ต่อปี ต่ำสุดในรอบ 4 ปีนับตั้งแต่ขยายตัวร้อยละ 1.2 ต่อปีใน
ไตรมาสแรกปี 46 และต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้ว่าจะขยายตัวร้อยละ 1.8 ต่อปี หลังจากขยายตัวร้อยละ 2.5 ต่อปีในไตรมาสสุดท้ายปี 49
โดยส่วนใหญ่เป็นผลจากการชะลอตัวของตลาดบ้านที่อยู่อาศัยอันเป็นผลจากการผิดนัดชำระหนี้ของผู้ซื้อบ้านที่กำลังเพิ่มสูงขึ้นซึ่งส่งผลให้ผู้รับเหมา
ก่อสร้างชะลอการลงทุนออกไปจนกว่าบ้านที่สร้างเสร็จแล้วแต่ยังขายไม่ได้จะลดจำนวนลง โดยการใช้จ่ายเพื่อซื้อบ้านในไตรมาสแรกปี 50 ลดลง
ร้อยละ 17 นับเป็นการลดลงต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 6 ติดต่อกันหลังจากลดลงร้อยละ 19.8 ในไตรมาสสุดท้ายปี 49 และลดลงร้อยละ 18.7
ในไตรมาสที่ 3 ปี 49 นอกจากนี้ยังเป็นผลจากการส่งออกในไตรมาสแรกปี 50 ที่ลดลงร้อยละ 1.2 ตรงข้ามกับไตรมาสสุดท้ายปี 49 ซึ่งการ
ส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ 10.6 และนับเป็นการลดลงครั้งแรกนับตั้งแต่ไตรมาสที่ 2 ปี 46 ซึ่งลดลงร้อยละ 1.7 (รอยเตอร์)
2. ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภค สรอ.ในเดือน เม.ย.50 ลดลงต่ำสุดในรอบ 7 เดือน รายงานจากนิวยอร์กเมื่อ 27 เม.ย.50
The Reuters/University of Michigan เปิดเผยผลการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภค สรอ. ในเดือน เม.ย.50 ว่า ลดลงที่
ระดับ 87.1 จากระดับ 88.4 ในเดือนก่อนหน้า เป็นการลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 สู่ระดับต่ำสุดในรอบ 7 เดือนนับตั้งแต่เดือน ก.ย.49
ที่ดัชนีอยู่ที่ระดับ 85.4 แต่ยังคงสูงกว่าการคาดการณ์ของบรรดานักวิเคราะห์ซึ่งคาดว่าดัชนีจะอยู่ที่ระดับ 85.2 โดยดัชนีที่เป็นส่วนประกอบ
ได้แก่ ดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับสถานการณ์เศรษฐกิจปัจจุบัน เพิ่มขึ้นที่ระดับ 104.6 จากระดับ 103.5 ในเดือนก่อนหน้า ขณะที่ดัชนีความคาดหวัง
ของผู้บริโภคลดลงสู่ระดับต่ำในรอบ 8 เดือนที่ระดับ 75.9 จากระดับ 78.7 ในเดือนก่อนหน้า นอกจากนี้ ผลการสำรวจบ่งชี้ว่า ผู้บริโภคคาดหมาย
ว่าอัตราเงินเฟ้ออาจขยายตัว เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับการเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันเชื้อเพลิงและการชะลอตัวของตลาดบ้าน สรอ. โดยดัชนีชี้
วัดอัตราเงินเฟ้อในรอบ 1 ปีเพิ่มขึ้นที่ระดับร้อยละ 3.3 สูงสุดนับตั้งแต่เดือน ส.ค.49 ที่ดัชนีอยู่ที่ระดับร้อยละ 3.8 เช่นเดียวกับดัชนีชี้วัดอัตรา
เงินเฟ้อในรอบ 5 ปี เพิ่มขึ้นที่ระดับร้อยละ 3.1 จากระดับร้อยละ 2.9 ในช่วง 2 เดือนก่อนหน้า ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือน ต.ค.49
ที่ดัชนีอยู่ที่ระดับร้อยละ 3.1 (รอยเตอร์)
3. ดัชนี PMI ของเขตเศรษฐกิจยุโรปในเดือน เม.ย. 50 เพิ่มขึ้นสูงสุดในรอบ 10 เดือนที่ระดับ 54.6 รายงานจากเบอร์ลิน
เมื่อ 27 เม.ย.50 The Bloomberg/NTC เปิดเผยผลสำรวจผู้ประกอบการค้าปลีกกว่า 1,000 รายว่า Purchasing Managers’ Index
(PMI) ของเขตเศรษฐกิจยุโรปในเดือน เม.ย.50 เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วที่สุดในรอบ 10 เดือนที่ระดับ 54.6 จากระดับ 53.4 ในเดือน มี.ค.50
(ตัวเลขหลังปรับปัจจัยทางฤดูกาล) ซึ่งอยู่เหนือกว่าระดับ 50 แสดงถึงการขยายตัว (แต่หากต่ำกว่าระดับ 50 แสดงว่าหดตัว) ทั้งนี้ สาเหตุสำคัญ
ที่ส่งผลให้ดัชนี PMI ขยายตัวอย่างมากเนื่องจากดัชนี PMI ของประเทศฝรั่งเศสเพิ่มขึ้นสูงที่สุดในจำนวนกลุ่มประเทศที่มีระบบเศรษฐกิจใหญ่ที่สุด
3 ประเทศของเขตเศรษฐกิจยุโรป โดยอยู่ที่ระดับ 58.6 จากระดับ 56.8 ในเดือนก่อนหน้า ซึ่งอยู่ในระดับสูงสุดเป็นครั้งที่ 2 ตั้งแต่เริ่มมีการ
จัดทำผลสำรวจมา (ปี 47) และเพิ่มขึ้นติดต่อกันเป็นเดือนที่ 3 นอกจากนี้ ดัชนี PMI ของเยอรมนีก็ขยายตัวอย่างแข็งแกร่งด้วย โดยเพิ่มขึ้น
ต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 5 ที่ระดับ 55.6 จากระดับ 52.8 ในเดือน มี.ค.50 ขณะที่ดัชนี PMI ของประเทศอิตาลีลดลงอยู่ที่ระดับ 47.5 จาก
ระดับ 49.6 ทั้งนี้ ดัชนี PMI ของเขตเศรษฐกิจยุโรปเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ที่เคยอยู่ระดับต่ำสุดในรอบ 2 ปีในเดือน ม.ค.50 (รอยเตอร์)
4. ธ.กลางมาเลเซียคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับเดิมเนื่องจากไม่มีสัญญานที่จะต้องเร่งผ่อนปรนนโยบายการเงิน รายงาน
จากกัวลาลัมเปอร์เมื่อวันที่ 27 เม.ย. 50 ในการประชุมนโยบายการเงินของมาเลเซียเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมามีมติให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้
ที่ร้อยละ 3.50 ไม่เปลี่ยนแปลงเป็นครั้งที่ 8 ในการประชุมนโยบายการเงินที่ผ่านมา เนื่องจากอัตราเงินเฟ้ออยู่ในระดับต่ำ และเศรษฐกิจยังคง
เติบโตอย่างมีเสถียรภาพ สอดคล้องกับผลการสำรวจนักเศรษฐศาสตร์โดยรอยเตอร์ที่คาดว่ามาเลเซียจะยังไม่ปรับเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ยนโยบาย
โดยส่วนใหญ่คาดว่าธ.กลางมาเลเซียจะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายในระดับนี้ไปจนถึงสิ้นปี ทั้งนี้ ธ.กลางมาเลเซียเห็นว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบาย
ในปัจจุบันอยู่ในระดับที่เหมาะสมเนื่องจากมีแนวโน้มที่อัตราเงินเฟ้อค่อนข้างต่ำและเศรษฐกิจเติบโตอย่างมีเสถียรภาพ สำหรับแรงกดดันด้านเงินเฟ้อ
มีเพียงเล็กน้อยเท่านั้นและคาดว่าอัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยทั้งปีจะอยู่ระหว่างร้อยละ 2.0 — 2.5 ลดลงจากร้อยละ 3.6 เมื่อปีที่แล้ว ขณะเดียวกัน
ค่าเงินริงกิต และผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลระยะ 5 ปีไม่เปลี่ยนแปลงหลังจากได้รับข่าวการคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธ.กลาง ทั้งนี้มาเลเซีย
ได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายครั้งล่าสุดเมื่อเดือน พ.ค. 46 เป็นร้อยละ 4.5 ลดลงจากร้อยละ 5.0 เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบ
จากการแพร่ระบาดของโรค SARS (รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 30/4/2493 27/4/2550 29/12/2549 แหล่งข้อมูล
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 34.829 36.044 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 34.6207/34.9580 35.8601/36.2308 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 4.15328 5.12813 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 695.11/8.97 679.84/9.22 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 11,150/11,250 11,050/11,150 10,750/10,650 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 65.12 64.18 56.48 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล (บาท) 29.19*/25.34* 29.19*/25.34* 26.49/23.34 ปตท.
* ปรับเพิ่มลิตรละ 40 สตางค์เมื่อ 26 เม.ย. 50
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
1. การลดดอกเบี้ยอาจจะไม่ส่งผลให้เงินบาทอ่อนค่าลง ธปท. ระบุในรายงานแนวโน้มเงินเฟ้อฉบับเดือน เม.ย.50 ว่า
จากข้อมูลสถิติช่วง 5 ปีที่ผ่านมาชี้ให้เห็นว่า ส่วนต่างของดอกเบี้ยระหว่างไทยและต่างประเทศไม่ได้ส่งผลกระทบต่อระดับค่าเงินบาทมากนัก
การลดดอกเบี้ยนโยบายในช่วงที่ผ่านมาของ ธปท. จึงอาจจะไม่ส่งผลทำให้ค่าเงินบาทอ่อนค่าลงมากอย่างที่หลายฝ่ายคาดการณ์ไว้ ซึ่งในช่วง
ปี 2544 — 2546 แม้ ธปท. จะลดดอกเบี้ยนโยบายลงจากร้อยละ 2.5 เหลือร้อยละ 1.25 แต่เงินบาทยังคงแข็งค่าขึ้นจาก 45.62 บาท
ต่อดอลลาร์ สรอ. เป็น 41.78 บาท ต่อดอลลาร์ สรอ. นอกจากนี้ ส่วนต่างของดอกเบี้ยไทยกับ สรอ. ที่ปรับจากส่วนต่างเฉลี่ยร้อยละ 0.20
ในปี 2546 เป็นส่วนต่างติดลบสูงถึงร้อยละ 0.56 ในปี 2548 ตามอัตราดอกเบี้ยเฟดที่ปรับสูงขึ้น ก็ไม่ได้ทำให้มีเงินทุนไหลออกไป สรอ. มากขึ้น
แต่กลับมีเงินทุนไหลเข้ามาในไทยมากขึ้น สวนทางกับทฤษฎีส่วนต่างอัตราดอกเบี้ย สำหรับปัจจัยที่มีผลต่อการเคลื่อนย้ายเงินทุนคือ ปัจจัยเรื่อง
ความเชื่อมั่นและความเสี่ยงต่าง ๆ ที่มีผลต่อเศรษฐกิจ ซึ่งเห็นได้ชัดเจนจากการเคลื่อนย้ายเงินทุนออกจากตลาดเกิดใหม่กลับไปยังตลาดหลัก
ขนาดใหญ่ในช่วงกลางปี 2549 และต้นปี 2550 แม้ว่าส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยจะไม่แตกต่างกันมากนัก นอกจากนี้ การคาดการณ์แนวโน้มอัตรา
แลกเปลี่ยนก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่มีผลต่อการเคลื่อนย้ายเงินทุน เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของค่าเงินจะมีผลต่อการกำหนดอัตราผลตอบแทนของ
การลงทุนด้วย ทำให้ในบางครั้งแม้ว่าอัตราผลตอบแทนของการลงทุนในบางประเทศจะไม่ดีนัก แต่เมื่อนักลงทุนคาดว่าค่าเงินของประเทศนั้น
จะแข็งค่าขึ้นมากไม่ว่ามาจากพื้นฐานเศรษฐกิจดีหรือการเข้ามาเก็งกำไรค่าเงิน นักลงทุนก็จะยังคงนำเงินเข้ามาลงทุนในประเทศนั้น เพราะ
เมื่อรวมผลตอบแทนการลงทุนกับอัตราผลตอบแทนที่จะได้รับจากค่าเงินที่แข็งค่าขึ้นแล้วยังคงคุ้มค่ากับการลงทุน ในขณะที่การแข็งค่าขึ้นอย่าง
ต่อเนื่องของค่าเงินในภูมิภาคเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์ สรอ. ก็มีผลต่อค่าเงินบาทเช่นกัน โดยเป็นผลจากความเชื่อมั่นต่อภาวะเศรษฐกิจ สรอ.
ที่ปรับลดลง และการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดอย่างต่อเนื่องของไทย โดยเห็นได้จากการที่มีเงินทุนไหลออกรวม 200 ล้านดอลลาร์ สรอ. ใน
เดือน ธ.ค.49 และ ม.ค.50 หลังจาก ธปท. มีมาตรการกันสำรองเงินทุนไหลเข้าร้อยละ 30 แต่ดัชนีค่าเงินบาทในช่วง 2 เดือนดังกล่าว
ยังคงแข็งค่าขึ้น ซึ่งมีสาเหตุจากการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดรวม 2.8 พันล้านดอลลาร์ สรอ. ในเดือน ธ.ค. และ ม.ค.ที่ผ่านมา(กรุงเทพธุรกิจ,
ผู้จัดการรายวัน, บ้านเมือง, แนวหน้า)
2. ปัจจัยลบหลายอย่างอาจทำให้เศรษฐกิจปีนี้ขยายตัวต่ำกว่าร้อยละ 4 นายเชาวน์ เก่งชน รอง ผจก. ศูนย์วิจัยกสิกรไทย
กล่าวถึงแนวโน้มเศรษฐกิจในปีนี้ว่า จากการที่ ธปท. ปรับลดประมาณการอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจที่ระดับร้อยละ 3.8 — 4.8 นั้น
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยยังประมาณการอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจไว้ที่ร้อยละ 3.5 — 4.5 แต่จะต้องจับตาดูปัจจัยต่าง ๆ ว่ามีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น
อีกหรือไม่ หากมีก็ต้องทบทวนประมาณการที่ตั้งไว้ อย่างไรก็ตาม มีความเป็นไปได้เพิ่มขึ้นที่อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจปีนี้จะต่ำกว่าร้อยละ 4
เนื่องจากความเชื่อมั่นในภาคเอกชนที่ลดลงจากปัจจัยทางการเมืองที่ยังไม่มีความชัดเจน เห็นได้จากยอดการซื้อรถยนต์และการลงทุนของภาคเอกชน
ในประเทศที่ชะลอตัวลง ส่วนปัจจัยที่ต้องจับตาดูอย่างใกล้ชิดเป็นเรื่องการเมืองในกรณีการร่างรัฐธรรมนูญใหม่ การลงประชามติ และการเลือกตั้ง
ว่าจะเป็นไปตามที่กำหนดไว้หรือไม่ หากทำได้ก็จะสามารถดึงความเชื่อมั่นกลับมา รวมทั้งราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้นในช่วงนี้ด้วย ขณะที่ปัจจัยหนุน
ก็ยังมีส่วนของการส่งออกที่ไตรมาสแรกปีนี้ขยายตัวถึงร้อยละ 18 สูงกว่าที่ประมาณการไว้ และถ้าการส่งออกขยายตัวได้ดีต่อเนื่องก็จะเป็นปัจจัย
ที่ช่วงพยุงเศรษฐกิจได้ ด้าน นายบันลือศักดิ์ ปุสสะรังสี ผอ.ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจมหภาค ธ.กรุงเทพ กล่าวว่า ทิศทางเศรษฐกิจในขณะนี้มี
แนวโน้มว่าจะขยายตัวในระดับร้อยละ 3 — 4 และมีความเป็นไปได้ที่จะขยายตัวในระดับต่ำกว่าร้อยละ 3 เนื่องจากยังมีปัจจัยเสี่ยงอยู่ โดยเฉพาะ
ในช่วงครึ่งปีหลังที่เศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าสำคัญอย่าง สรอ. และจีนมีแนวโน้มชะลอตัวลงอย่างชัดเจน ดังนั้น ในช่วงเวลาที่เหลือของปี รัฐบาล
จะต้องหันมาเร่งกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศเพิ่มขึ้น รวมถึงการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอีก (ผู้จัดการรายวัน)
3. คาดว่ารัฐจะจัดเก็บภาษีปีนี้ต่ำกว่าเป้าที่ตั้งไว้ 3 หมื่นล้านบาท นายศานิต ร่างน้อย อธิบดีกรมสรรพากร เปิดเผยว่า
ยอดการเก็บภาษีของกรมสรรพากรในเดือน เม.ย.50 จะต่ำกว่าเป้าที่ตั้งไว้ 7.52 หมื่นล้านบาท ประมาณ 2 พันล้านบาท เนื่องจากภาษีสำคัญ
หลายตัวเก็บได้ต่ำกว่าที่ประมาณการไว้ ทั้งนี้ เพราะภาษีมูลค่าเพิ่มจากการนำเข้าลดลงอย่างมากเนื่องจากการบริโภคภายในประเทศลดลงและ
เงินบาทแข็งค่าขึ้น ขณะที่ภาษีเงินได้นิติบุคคลที่เก็บจากการส่งกำไรออกไปนอกประเทศไม่ดีเท่าที่ควร เนื่องจากกำไรและเงินปันผลที่บริษัท
ต่างประเทศเข้ามาลงทุนมีรายได้ไม่ดี เฉพาะภาษีทั้ง 2 รายการมียอดการจัดเก็บต่ำกว่าเป้าถึง 1.5 พันล้านบาท ภาษีธุรกิจเฉพาะก็ต่ำกว่า
เป้ามากเช่นเดียวกับหลายเดือนที่ผ่านมา โดยคาดว่าการจัดเก็บภาษีในปีนี้จะต่ำกว่าเป้าที่ตั้งไว้ 1.14 ล้านล้านบาท ประมาณร้อยละ 3 หรือ
ประมาณ 3 หมื่นล้านบาท ส่วนกรมสรรพสามิตและกรมศุลกากรนั้นคาดว่าจะเก็บรายได้เกินจากเป้า 400 ล้านบาท และ 200 ล้านบาท ตามลำดับ
(โพสต์ทูเดย์)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1. เศรษฐกิจ สรอ.ในไตรมาสแรกปี 50 ขยายตัวร้อยละ 1.3 ต่อปี ต่ำสุดในรอบ 4 ปี รายงานจากวอชิงตัน เมื่อ 27 เม.ย.50
ผลผลิตรวมในประเทศหรือ GDP ของ สรอ.ขยายตัวในอัตราร้อยละ 1.3 ต่อปี ต่ำสุดในรอบ 4 ปีนับตั้งแต่ขยายตัวร้อยละ 1.2 ต่อปีใน
ไตรมาสแรกปี 46 และต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้ว่าจะขยายตัวร้อยละ 1.8 ต่อปี หลังจากขยายตัวร้อยละ 2.5 ต่อปีในไตรมาสสุดท้ายปี 49
โดยส่วนใหญ่เป็นผลจากการชะลอตัวของตลาดบ้านที่อยู่อาศัยอันเป็นผลจากการผิดนัดชำระหนี้ของผู้ซื้อบ้านที่กำลังเพิ่มสูงขึ้นซึ่งส่งผลให้ผู้รับเหมา
ก่อสร้างชะลอการลงทุนออกไปจนกว่าบ้านที่สร้างเสร็จแล้วแต่ยังขายไม่ได้จะลดจำนวนลง โดยการใช้จ่ายเพื่อซื้อบ้านในไตรมาสแรกปี 50 ลดลง
ร้อยละ 17 นับเป็นการลดลงต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 6 ติดต่อกันหลังจากลดลงร้อยละ 19.8 ในไตรมาสสุดท้ายปี 49 และลดลงร้อยละ 18.7
ในไตรมาสที่ 3 ปี 49 นอกจากนี้ยังเป็นผลจากการส่งออกในไตรมาสแรกปี 50 ที่ลดลงร้อยละ 1.2 ตรงข้ามกับไตรมาสสุดท้ายปี 49 ซึ่งการ
ส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ 10.6 และนับเป็นการลดลงครั้งแรกนับตั้งแต่ไตรมาสที่ 2 ปี 46 ซึ่งลดลงร้อยละ 1.7 (รอยเตอร์)
2. ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภค สรอ.ในเดือน เม.ย.50 ลดลงต่ำสุดในรอบ 7 เดือน รายงานจากนิวยอร์กเมื่อ 27 เม.ย.50
The Reuters/University of Michigan เปิดเผยผลการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภค สรอ. ในเดือน เม.ย.50 ว่า ลดลงที่
ระดับ 87.1 จากระดับ 88.4 ในเดือนก่อนหน้า เป็นการลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 สู่ระดับต่ำสุดในรอบ 7 เดือนนับตั้งแต่เดือน ก.ย.49
ที่ดัชนีอยู่ที่ระดับ 85.4 แต่ยังคงสูงกว่าการคาดการณ์ของบรรดานักวิเคราะห์ซึ่งคาดว่าดัชนีจะอยู่ที่ระดับ 85.2 โดยดัชนีที่เป็นส่วนประกอบ
ได้แก่ ดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับสถานการณ์เศรษฐกิจปัจจุบัน เพิ่มขึ้นที่ระดับ 104.6 จากระดับ 103.5 ในเดือนก่อนหน้า ขณะที่ดัชนีความคาดหวัง
ของผู้บริโภคลดลงสู่ระดับต่ำในรอบ 8 เดือนที่ระดับ 75.9 จากระดับ 78.7 ในเดือนก่อนหน้า นอกจากนี้ ผลการสำรวจบ่งชี้ว่า ผู้บริโภคคาดหมาย
ว่าอัตราเงินเฟ้ออาจขยายตัว เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับการเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันเชื้อเพลิงและการชะลอตัวของตลาดบ้าน สรอ. โดยดัชนีชี้
วัดอัตราเงินเฟ้อในรอบ 1 ปีเพิ่มขึ้นที่ระดับร้อยละ 3.3 สูงสุดนับตั้งแต่เดือน ส.ค.49 ที่ดัชนีอยู่ที่ระดับร้อยละ 3.8 เช่นเดียวกับดัชนีชี้วัดอัตรา
เงินเฟ้อในรอบ 5 ปี เพิ่มขึ้นที่ระดับร้อยละ 3.1 จากระดับร้อยละ 2.9 ในช่วง 2 เดือนก่อนหน้า ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือน ต.ค.49
ที่ดัชนีอยู่ที่ระดับร้อยละ 3.1 (รอยเตอร์)
3. ดัชนี PMI ของเขตเศรษฐกิจยุโรปในเดือน เม.ย. 50 เพิ่มขึ้นสูงสุดในรอบ 10 เดือนที่ระดับ 54.6 รายงานจากเบอร์ลิน
เมื่อ 27 เม.ย.50 The Bloomberg/NTC เปิดเผยผลสำรวจผู้ประกอบการค้าปลีกกว่า 1,000 รายว่า Purchasing Managers’ Index
(PMI) ของเขตเศรษฐกิจยุโรปในเดือน เม.ย.50 เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วที่สุดในรอบ 10 เดือนที่ระดับ 54.6 จากระดับ 53.4 ในเดือน มี.ค.50
(ตัวเลขหลังปรับปัจจัยทางฤดูกาล) ซึ่งอยู่เหนือกว่าระดับ 50 แสดงถึงการขยายตัว (แต่หากต่ำกว่าระดับ 50 แสดงว่าหดตัว) ทั้งนี้ สาเหตุสำคัญ
ที่ส่งผลให้ดัชนี PMI ขยายตัวอย่างมากเนื่องจากดัชนี PMI ของประเทศฝรั่งเศสเพิ่มขึ้นสูงที่สุดในจำนวนกลุ่มประเทศที่มีระบบเศรษฐกิจใหญ่ที่สุด
3 ประเทศของเขตเศรษฐกิจยุโรป โดยอยู่ที่ระดับ 58.6 จากระดับ 56.8 ในเดือนก่อนหน้า ซึ่งอยู่ในระดับสูงสุดเป็นครั้งที่ 2 ตั้งแต่เริ่มมีการ
จัดทำผลสำรวจมา (ปี 47) และเพิ่มขึ้นติดต่อกันเป็นเดือนที่ 3 นอกจากนี้ ดัชนี PMI ของเยอรมนีก็ขยายตัวอย่างแข็งแกร่งด้วย โดยเพิ่มขึ้น
ต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 5 ที่ระดับ 55.6 จากระดับ 52.8 ในเดือน มี.ค.50 ขณะที่ดัชนี PMI ของประเทศอิตาลีลดลงอยู่ที่ระดับ 47.5 จาก
ระดับ 49.6 ทั้งนี้ ดัชนี PMI ของเขตเศรษฐกิจยุโรปเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ที่เคยอยู่ระดับต่ำสุดในรอบ 2 ปีในเดือน ม.ค.50 (รอยเตอร์)
4. ธ.กลางมาเลเซียคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับเดิมเนื่องจากไม่มีสัญญานที่จะต้องเร่งผ่อนปรนนโยบายการเงิน รายงาน
จากกัวลาลัมเปอร์เมื่อวันที่ 27 เม.ย. 50 ในการประชุมนโยบายการเงินของมาเลเซียเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมามีมติให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้
ที่ร้อยละ 3.50 ไม่เปลี่ยนแปลงเป็นครั้งที่ 8 ในการประชุมนโยบายการเงินที่ผ่านมา เนื่องจากอัตราเงินเฟ้ออยู่ในระดับต่ำ และเศรษฐกิจยังคง
เติบโตอย่างมีเสถียรภาพ สอดคล้องกับผลการสำรวจนักเศรษฐศาสตร์โดยรอยเตอร์ที่คาดว่ามาเลเซียจะยังไม่ปรับเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ยนโยบาย
โดยส่วนใหญ่คาดว่าธ.กลางมาเลเซียจะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายในระดับนี้ไปจนถึงสิ้นปี ทั้งนี้ ธ.กลางมาเลเซียเห็นว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบาย
ในปัจจุบันอยู่ในระดับที่เหมาะสมเนื่องจากมีแนวโน้มที่อัตราเงินเฟ้อค่อนข้างต่ำและเศรษฐกิจเติบโตอย่างมีเสถียรภาพ สำหรับแรงกดดันด้านเงินเฟ้อ
มีเพียงเล็กน้อยเท่านั้นและคาดว่าอัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยทั้งปีจะอยู่ระหว่างร้อยละ 2.0 — 2.5 ลดลงจากร้อยละ 3.6 เมื่อปีที่แล้ว ขณะเดียวกัน
ค่าเงินริงกิต และผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลระยะ 5 ปีไม่เปลี่ยนแปลงหลังจากได้รับข่าวการคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธ.กลาง ทั้งนี้มาเลเซีย
ได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายครั้งล่าสุดเมื่อเดือน พ.ค. 46 เป็นร้อยละ 4.5 ลดลงจากร้อยละ 5.0 เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบ
จากการแพร่ระบาดของโรค SARS (รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 30/4/2493 27/4/2550 29/12/2549 แหล่งข้อมูล
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 34.829 36.044 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 34.6207/34.9580 35.8601/36.2308 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 4.15328 5.12813 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 695.11/8.97 679.84/9.22 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 11,150/11,250 11,050/11,150 10,750/10,650 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 65.12 64.18 56.48 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล (บาท) 29.19*/25.34* 29.19*/25.34* 26.49/23.34 ปตท.
* ปรับเพิ่มลิตรละ 40 สตางค์เมื่อ 26 เม.ย. 50
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--