เมื่อวันที่ 3 มกราคม 2550 นายสาธิต ปิตุเตชะ รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ส่งจดหมายแก้ข้อกล่าวหาการวางระเบิดทั่วกรุงบเทพฯในวันที่ 31 มกราคม 2550 ว่าจดหมายดังกล่าวมีเนื้อหามากกว่าการปฏิเสธ กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งตนเห็นว่าหาก พ.ต.ท.ทักษิณ จะปฏิเสธในเหตุการณ์นั้นถือว่าเป็นสิทธิอันชอบธรรม แต่จดหมายฉบับดังกล่าวนั้น เป็นจดหมายฉวยโอกาส และเป็นจดหมายของบุคคลที่สูญเสียอำนาจ และมีความเคียดแค้นต่อคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ ที่สำคัญจดหมายดังกล่าวยังมีถ้อยคำที่มีลักษณะเป็นการปลุกระดมประชาชนในประเทศ
“ถึงแม้ว่าพ.ต.ท.ทักษิณ พยามยามพูดเสนอว่ายินยอมเพื่อประโยชน์ ของประเทศชาติ เพื่อความสมานฉันท์ เพื่อความสงบของบ้านเมือง พร้อมทั้งพยายามสร้างภาพและบอกว่าวางมือทางการเมือง เห็นได้ชัดเจนว่านั่นเป็น
เพียงคำพูด เพราะโดยพฤติกรรมจะเห็นได้ชัด เช่นเนื้อหาในจดหมายฉบับนี้ ถือว่าเป็นหัวขบวนของคลื่นใต้น้ำ เพราะมีลักษณะการปลุกระดม คนที่นิยมชมชอบตนเองอยู่นั้นเอง” นายสาธิต กล่าว
รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวต่ออีกว่า อีกทั้งพฤติกรรมของพ.ต.ท.ทักษิณที่แสดงออกทางกลไกลตัวแทน เช่นผ่านพรรคไทยรักไทย หรือกลุ่มที่ออกมาเคลื่อนไหว โดยการเคลื่อนไหวดังกล่าวเป็นไปเพื่อทำลายความน่าเชื่อถือของรัฐบาลและคมช. เป็นหลัก ดูจากเนื้อหาในจดหมายถือว่าพ.ต.ท.ทักษิณ ยังไม่มีความจริงใจ ในการให้ความร่วมมือกับคมช.และรัฐบาล
นายสาธิต กล่าวถึงกรณีที่นายนพดล ปัทมะ ทนายความส่วนตัวของพ.ต.ท.ทักษิณ ออกมารับรองความบริสุทธิ์ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ว่าเป็นนายกฯที่ไม่เคยใช้ความรุนแรงนั้น ตนอยากตั้งคำถามถึงนายนพดล ว่า เอาอะไรมารับรองว่า พ.ต.ท.ทักษิณ บริหารประเทศโดยไม่ใช้ความรุนแรง เพราะภายใต้การบริหารงานของพ.ต.ท.ทักษิร ตลอดระยะเวลา 5 ปี ต้องยอมรับว่ามีเหตุการณ์ เกิดขึ้นหลายเหตุการณ์ ที่ต้องเสียชีวิตผู้บริสุทธิ์ ภายใต้นโยบายและการบริหารงานของการนำของพ.ต.ท.ทักษิณ
“อยากฝากเรียนถึงคุณนพดล ว่า การเป็นทนายความต้องมีจรรยาบรรณ ที่ต้องแก้ต่างในเนื้อคดี เนื้อความ แต่ความประพฤติส่วนตัว ทนายความไม่สามารถที่จะไปค้ำประกัน หรือการันตีผู้ใดได้ ในทางกระบวนการศาล ทนายความมีหน้าที่ในการแก้ต่าง แต่ทนายไม่มีหน้าที่ไปค้ำประกัน หรือการันตี ความประพฤติของลูกความในคดีนั้น”นายสาธิตกล่าว
ด้านนายเทพไท เสนพงศ์ อดีตส.ส.นครศรีธรรมราช แถลงว่า จากรายละเอียด ของ จดหมายมิใช่เป็นการชี้แจงถึงความบริสุทธิ์ของพ.ต.ท.ทักษิณแต่เพียงอย่างเดียว แต่เป็นการปลุกระดมมวลสมาชิกของพรรคไทยรักไทยให้ลุกขึ้นสู้กับอำนาจของ คมช.และ รัฐบาลทางอ้อม อยากให้ คมช.และรัฐบาลจับตามองการเคลื่อนไหวของ พ.ต.ท.ทักษิณ และสมุนอย่างใกล้ชิด เพราะจดหมายฉบับดังกล่าว เป็นการส่งสัญญานให้ลุกขึ้นสู้ ไม่ยอมเป็นฝ่ายตั้งรับอีกต่อไป
นายเทพไท กล่าวว่า อยากจะตั้งข้อสังเกตว่านับตั้งแต่วันที่ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ เดินทางไปพบกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่กรุงปักกิ่ง ประเทศจีน ความเคลื่อนไหวทางการเมืองในประเทศก็นับวันแต่จะมีความเข้ม ข้นขึ้นเรื่อย ๆ จนถึงเหตุการณ์ลอบวางระเบิดในกรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 31 ธันวาคม 2549 ดังนั้น คมช. และรัฐบาล ไม่ควรประมาทต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้น เพราะ นับจากนี้ไป กลุ่มผู้สูญเสียอำนาจทางการเมืองก็จะสร้างสถานการณ์ ก่อความวุ่นวายอยู่เรื่อยไปเพื่อแสดงให้เห็นว่ารัฐบาลชุดนี้ไม่ สามารถที่จะบริหารประเทศ ทำให้ประชาชนเกิดการเปรียบเทียบและคิดถึงรัฐบาลชุด ก่อน คมช.และรัฐบาล ควรที่จะสั่งการให้ ผบ.ตร.นำตัวผู้ที่ก่อเหตุมาลงโทษโดยเร็วที่สุด
“ถ้าหาก สตช. ไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ตามนโยบายที่มอบหมายได้ ก็ควรต้องยกเครื่องและเปลี่ยนแปลงโครงสร้างและบุคลากรในองค์กรนี้ทันที เพราะในองค์กรนี้ยังคงมีซากเดนของระบอบทักษิณหลงเหลืออยู่มากอย่างที่ทราบอยู่ หากไม่ปรับเปลี่ยนจะเป็นอุปสรรคต่อการทำงานในการรักษาความสงบของประเทศชาติได้” นายเทพไท กล่าว
นายเทพไท กล่าวต่อไปว่า การออกมาปฏิเสธของพ.ต.ท.ทักษิณ ว่าเป็นผู้ไม่นิยมใช้ความรุนแรงในการแก้ปัญหานั้น อยากจะให้กลับไปพิจารณาดูว่าตลอด 5 ปีที่ผ่านมา รัฐบาลพ.ต.ท.ทักษิณ ได้ใช้ความรุนแรงในการแก้ปัญหามาแล้วกี่ครั้ง จนองค์กรสิทธิมนุษยชนขององค์การสหประชาชาติมีหนังสือมาท้วงติง และขอเข้ามาตรวจสอบข้อเท็จจริงในหลายกรณี และการออกมาปฏิเสธเรื่องการไม่ใช้ความรุนแรงของพ.ต.ท.ทักษิณ จากการแถลงข่าวของ นายนพดล ปัทมะ ที่ปรึกษาฝ่ายกฎหมายของ พ.ต.ท.ทักษิณ อยากทราบว่า นายนพดล ปัทมะ รู้จักตัวตนของ พ.ต.ท.ทักษิณ มากน้อยเพียงใด เพราะนายนภดลเองก็เพิ่งได้มีโอกาสเข้าไปอยู่ได้ไม่นานนัก และอาจจะไม่ทันโดน พ.ต.ท.ทักษิณ ใช้ความรุนแรงกับตนเอง จึงออกมาการันตีให้โดยไม่รู้ข้อเท็จจริงหรือโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ก็เป็นไปได้
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 3 ม.ค. 2550--จบ--
“ถึงแม้ว่าพ.ต.ท.ทักษิณ พยามยามพูดเสนอว่ายินยอมเพื่อประโยชน์ ของประเทศชาติ เพื่อความสมานฉันท์ เพื่อความสงบของบ้านเมือง พร้อมทั้งพยายามสร้างภาพและบอกว่าวางมือทางการเมือง เห็นได้ชัดเจนว่านั่นเป็น
เพียงคำพูด เพราะโดยพฤติกรรมจะเห็นได้ชัด เช่นเนื้อหาในจดหมายฉบับนี้ ถือว่าเป็นหัวขบวนของคลื่นใต้น้ำ เพราะมีลักษณะการปลุกระดม คนที่นิยมชมชอบตนเองอยู่นั้นเอง” นายสาธิต กล่าว
รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวต่ออีกว่า อีกทั้งพฤติกรรมของพ.ต.ท.ทักษิณที่แสดงออกทางกลไกลตัวแทน เช่นผ่านพรรคไทยรักไทย หรือกลุ่มที่ออกมาเคลื่อนไหว โดยการเคลื่อนไหวดังกล่าวเป็นไปเพื่อทำลายความน่าเชื่อถือของรัฐบาลและคมช. เป็นหลัก ดูจากเนื้อหาในจดหมายถือว่าพ.ต.ท.ทักษิณ ยังไม่มีความจริงใจ ในการให้ความร่วมมือกับคมช.และรัฐบาล
นายสาธิต กล่าวถึงกรณีที่นายนพดล ปัทมะ ทนายความส่วนตัวของพ.ต.ท.ทักษิณ ออกมารับรองความบริสุทธิ์ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ว่าเป็นนายกฯที่ไม่เคยใช้ความรุนแรงนั้น ตนอยากตั้งคำถามถึงนายนพดล ว่า เอาอะไรมารับรองว่า พ.ต.ท.ทักษิณ บริหารประเทศโดยไม่ใช้ความรุนแรง เพราะภายใต้การบริหารงานของพ.ต.ท.ทักษิร ตลอดระยะเวลา 5 ปี ต้องยอมรับว่ามีเหตุการณ์ เกิดขึ้นหลายเหตุการณ์ ที่ต้องเสียชีวิตผู้บริสุทธิ์ ภายใต้นโยบายและการบริหารงานของการนำของพ.ต.ท.ทักษิณ
“อยากฝากเรียนถึงคุณนพดล ว่า การเป็นทนายความต้องมีจรรยาบรรณ ที่ต้องแก้ต่างในเนื้อคดี เนื้อความ แต่ความประพฤติส่วนตัว ทนายความไม่สามารถที่จะไปค้ำประกัน หรือการันตีผู้ใดได้ ในทางกระบวนการศาล ทนายความมีหน้าที่ในการแก้ต่าง แต่ทนายไม่มีหน้าที่ไปค้ำประกัน หรือการันตี ความประพฤติของลูกความในคดีนั้น”นายสาธิตกล่าว
ด้านนายเทพไท เสนพงศ์ อดีตส.ส.นครศรีธรรมราช แถลงว่า จากรายละเอียด ของ จดหมายมิใช่เป็นการชี้แจงถึงความบริสุทธิ์ของพ.ต.ท.ทักษิณแต่เพียงอย่างเดียว แต่เป็นการปลุกระดมมวลสมาชิกของพรรคไทยรักไทยให้ลุกขึ้นสู้กับอำนาจของ คมช.และ รัฐบาลทางอ้อม อยากให้ คมช.และรัฐบาลจับตามองการเคลื่อนไหวของ พ.ต.ท.ทักษิณ และสมุนอย่างใกล้ชิด เพราะจดหมายฉบับดังกล่าว เป็นการส่งสัญญานให้ลุกขึ้นสู้ ไม่ยอมเป็นฝ่ายตั้งรับอีกต่อไป
นายเทพไท กล่าวว่า อยากจะตั้งข้อสังเกตว่านับตั้งแต่วันที่ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ เดินทางไปพบกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่กรุงปักกิ่ง ประเทศจีน ความเคลื่อนไหวทางการเมืองในประเทศก็นับวันแต่จะมีความเข้ม ข้นขึ้นเรื่อย ๆ จนถึงเหตุการณ์ลอบวางระเบิดในกรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 31 ธันวาคม 2549 ดังนั้น คมช. และรัฐบาล ไม่ควรประมาทต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้น เพราะ นับจากนี้ไป กลุ่มผู้สูญเสียอำนาจทางการเมืองก็จะสร้างสถานการณ์ ก่อความวุ่นวายอยู่เรื่อยไปเพื่อแสดงให้เห็นว่ารัฐบาลชุดนี้ไม่ สามารถที่จะบริหารประเทศ ทำให้ประชาชนเกิดการเปรียบเทียบและคิดถึงรัฐบาลชุด ก่อน คมช.และรัฐบาล ควรที่จะสั่งการให้ ผบ.ตร.นำตัวผู้ที่ก่อเหตุมาลงโทษโดยเร็วที่สุด
“ถ้าหาก สตช. ไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ตามนโยบายที่มอบหมายได้ ก็ควรต้องยกเครื่องและเปลี่ยนแปลงโครงสร้างและบุคลากรในองค์กรนี้ทันที เพราะในองค์กรนี้ยังคงมีซากเดนของระบอบทักษิณหลงเหลืออยู่มากอย่างที่ทราบอยู่ หากไม่ปรับเปลี่ยนจะเป็นอุปสรรคต่อการทำงานในการรักษาความสงบของประเทศชาติได้” นายเทพไท กล่าว
นายเทพไท กล่าวต่อไปว่า การออกมาปฏิเสธของพ.ต.ท.ทักษิณ ว่าเป็นผู้ไม่นิยมใช้ความรุนแรงในการแก้ปัญหานั้น อยากจะให้กลับไปพิจารณาดูว่าตลอด 5 ปีที่ผ่านมา รัฐบาลพ.ต.ท.ทักษิณ ได้ใช้ความรุนแรงในการแก้ปัญหามาแล้วกี่ครั้ง จนองค์กรสิทธิมนุษยชนขององค์การสหประชาชาติมีหนังสือมาท้วงติง และขอเข้ามาตรวจสอบข้อเท็จจริงในหลายกรณี และการออกมาปฏิเสธเรื่องการไม่ใช้ความรุนแรงของพ.ต.ท.ทักษิณ จากการแถลงข่าวของ นายนพดล ปัทมะ ที่ปรึกษาฝ่ายกฎหมายของ พ.ต.ท.ทักษิณ อยากทราบว่า นายนพดล ปัทมะ รู้จักตัวตนของ พ.ต.ท.ทักษิณ มากน้อยเพียงใด เพราะนายนภดลเองก็เพิ่งได้มีโอกาสเข้าไปอยู่ได้ไม่นานนัก และอาจจะไม่ทันโดน พ.ต.ท.ทักษิณ ใช้ความรุนแรงกับตนเอง จึงออกมาการันตีให้โดยไม่รู้ข้อเท็จจริงหรือโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ก็เป็นไปได้
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 3 ม.ค. 2550--จบ--