ปชป.เสนอแนวทางเชิงยุทธศาสตร์ในการพัฒนาศักยภาพสุวรรณภูมิ-ดอนเมือง แนะทอท.กำหนดยุทธศาสตร์บูรณาการศักยภาพ ๒ สนามบินระบบ Dual Airport Strategy พร้อมกำหนดให้ดอนเมืองเป็น ฮับและฐานของโลว์คอสต์แอร์ไลน์ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ขณะที่ยกเครื่องสุวรรณภูมิใหม่เพื่อเป็นฮับของเอเชียอย่างแท้จริง “อลงกรณ์”ชี้แผนใหม่นี้จะช่วยชะลอการก่อหนี้ต่างประเทศไม่ต่ำกว่า ๓๐๐,๐๐๐ ล้านในช่วง ๕ปีข้างหน้า เตรียมเสนอแนวคิดต่อรัฐมนตรีคมนาคมและบอร์ดทอท.ในสัปดาห์หน้า
นายอลงกรณ์ พลบุตร รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์แถลงที่พรรคฯ.วันนี้(๒๑ ม.ค.)ว่า ตามที่บริษัทท่าอากาศยานไทยจำกัด(มหาชน)หรือ ทอท.มีนโยบายจะเปิดใช้สนามบินดอนเมืองสำหรับเที่ยวบินภายในประเทศและให้สายการบินโลว์คอสต์สมัครใช้ที่จะย้ายจากสนามบินสุวรรณภูมินั้น จากการปรึกษาหารือกับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์มีข้อเสนอแนวทางยุทธศาสตร์การพัฒนาสุวรรณภูมิ-ดอนเมืองแนวใหม่ให้ รัฐมนตรีคมนาคมและพล.อ.สพรั่ง กัลยาณมิตร ประธานคณะกรรมการทอท.พิจารณาดังนี้
๑. ทอท.ควรกำหนดยุทธศาสตร์ท่าอากาศยานใหม่โดยยึดแนวทาง ๒ สนามบิน (Dual airport base)โดยเปิดใช้ทั้งสนามบินสุวรรณภูมิและสนามบินดอนเมืองซึ่งจะทำให้ประเทศไทยมีขีดความสามารถในการรองรับผู้โดยสารทันที ๘๐ ล้านคนต่อปี (สุวรรณภูมิ ๔๕ ล้านคนและดอนเมือง ๓๕ ล้านคน) มีผลให้ศักยภาพความเป็นฮับแห่งเอเชียเพิ่มขึ้นเหนือกว่าสนามบินชางกีของสิงคโปร์และสนามบินใดๆในอาเซียนและเอเซีย
๒. ทอท.ควรกำหนดยุทธศาสตร์ใหม่สำหรับสนามบินดอนเมืองให้เป็น”ฮับและฐานที่ตั้งของโลว์คอสต์แอร์ไลน์ในเอเชียแปซิฟิก”(Asia-Pacific Hub and Bases for Lowcost Airline)เพราะยังไม่มีสนามบินใดๆในแถบเอเซียแปซิฟิกที่ตั้งเป้าหมายดังกล่าวและด้วยศักยภาพของดอนเมืองที่มีโครงสร้างพื้นฐานเพียงพอ หากทอท.สร้างแรงจูงใจในการให้บริษัทสายการบินต้นทุนต่ำที่มีอัตราการเติบโตอย่างมากในภาคพื้นเอเซียแปซิฟิกย้ายฐานปฏิบัติงานและสำนักงานใหญ่หรือสำนักงานภูมิภาคมาตั้งที่ดอนเมืองโดยเสนออัตราค่าธรรมเนียม, ค่าบริการและค่าเช่าในระดับต่ำด้วยระบบไอทีไฮเทคทันสมัยเพราะดอนเมืองผ่านจุดคุ้มทุนในการก่อสร้างต่อเติมมานานแล้ว เหลือเพียงค่าใช้จ่ายปฏิบัติการเดือนละ ๑๕๐ ล้านบาทเท่านั้นนอกจากนี้ควรเพิ่มศักยภาพดอนเมืองทางด้านธุรกิจเกี่ยวเนื่องเพิ่มมูลค่าต่อเนื่อง(Value chain) เช่น ปรับปรุงต่อเติมอาคารท่าอากาศยานหมายเลข ๒ บางส่วนให้เป็นศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมนานาชาติ(International Exhibition and Convention)และปรับปรุงอาคารเก็บเครื่องบินให้เป็นศูนย์ซ่อมเครื่องบินโลว์คอสต์แอร์ไลน์แบบครบวงจรก็จะเป็นการเพิ่มแรงจูงใจสู่การบรรลุเป้าหมายดังกล่าว
๓. ทอท.ควรศึกษาแนวทางให้การรถไฟแห่งประเทศไทยสร้างรถไฟฟ้า(Airport Rail Link)เชื่อมสุวรรณภูมิกับดอนเมืองซึ่งอยู่ห่างกันเพียง ๓๕ กิโลเมตรจะทำให้การเดินทางระหว่าง ๒ สนามบินใช้เวลาเพียง ๑๕ นาทีเท่านั้นหรือเชื่อมโยงกับเส้นทางแอร์พอร์ตลิงก์มักกะสันสุวรรณภูมิกับเส้นทางรถไฟฟ้ามักกะสัน-รังสิตก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งและเป็นการเสริมศักยภาพของยุทธศาสตร์ Dual Airports ในระยะยาว ส่วนระยะเฉพาะหน้าสามารถเปิดบริการ Shuttle bus ระหว่าง ๒ สนามบินได้โดยใช้เส้นทางวงแหวนตะวันออก-มอเตอร์เวย์ และเส้นทาง โทลเวย์-พระรามเก้ามอเตอร์เวย์ ซึ่งใช้เวลาเดินทางเพียง ๓๐ นาทีเท่านั้น
๔. ทอท.ควรกำหนดให้เที่ยวบินภายในประเทศ(domestic flight)และเที่ยวบินที่จะต่อเชื่อม(connecting flight)ซึ่งมีผู้โดยสารประมาณปีละ ๙-๑๐ ล้านคนใช้สนามบินดอนเมืองโดยเปิดใช้เฉพาะอาคารท่าอาศยานหมายเลข ๑ ซึ่งสามารถรองรับผู้โดยสารได้ปีละ ๑๕ ล้านคนและปัจจุบันก็เปิดใช้งานอยู่แล้วในการบริการเที่ยวบินเช่าเหมาลำ (charter flight)ซึ่งหากมีการสร้างแรงจูงใจต่างๆและเดินแผนยุทธศาสตร์ให้ดอนเมืองเป็นฮับและฐานของโลว์คอสต์แอร์ไลน์รวมทั้งการเพิ่มศักยภาพมูลค่าเพิ่มในธุรกิจต่อเนื่องอื่นๆตามที่กล่าวมาข้างต้นก็เชื่อว่า บรรดาสายการบินต้นทุนต่ำพร้อมจะย้ายมาใช้สนามบินดอนเมืองและยังประโยชน์ให้ผู้โดยสารมีโอกาสใช้บริการในราคาประหยัดได้เพราะค่าธรรมเนียมและค่าบริการต่างๆที่สนามบินดอนเมืองเก็บจากสายการบินจะอยู่ในเกณฑ์ต่ำกว่าสนามบินสุวรรณภูมิมากเนื่องจากดอนเมืองผ่านจุดคุ้มทุนมานานแล้ว
๕. การใช้ระบบ ๒ สนามบินเป็นการประกันการบริการทางการบินตลอด ๒๔ ชั่วโมงหากมีสนามบินใดเกิดปัญหาก็มีอีกสนามบินหนึ่งสำรองการบริการได้ตลอดเวลา
๖. การเปิดใช้สนามบินดอนเมืองจะช่วยชะลอไม่ให้ประเทศต้องก่อหนี้ผูกพันไม่น้อยกว่า ๓๐๐,๐๐๐ ล้านในระยะ ๕ ปีข้างหน้า(๒๐๐๗-๒๐๑๑)ในการต้องขยายสนามบินสุวรรณภูมิเพราะรวมศักยภาพการรองรับผู้โดยสารของทั้ง ๒ สนามบินเท่ากับปีละ ๘๐ ล้านคน แต่ถ้าใช้สุวรรณภูมิเพียงแห่งเดียวก็จะต้องลงทุนสร้างรันเวย์ใหม่อีก ๒ รันเวย์รวมทั้งอาคารท่าอากาศยานและอาคารท่าเทียบเครื่องบินใหม่เนื่องจากสุวรรณภูมิรับผู้โดยสารได้ปีละ ๔๕ ล้านคนและจะต้องเริ่มขยายอย่างช้าไม่เกินปี ๒๐๐๘ถ้าไม่เปิดใช้ดอนเมือง ขณะเดียวกันหากแบ่งผู้โดยสารไปดอนเมืองปีละ ๑๕ ล้านคนก็จะทำให้สุวรรณภูมิมีสำรองขีดความสามารถในการรองรับผู้โดยสารถึงปีละ ๑๕ ล้านคน ส่วนดอนเมืองก็มีสำรองขีดความสามารถในการรองรับผู้โดยสารอีก ๒๐ ล้านคนต่อปี รวม ๒ สนามบินจะมีกำลังสำรองในการรองรับผู้โดยสารถึง ๓๕ ล้านคน
๗. ทอท.สามารถยกเครื่อง(Re-engineering)สนามบินสุวรรณภูมิใหม่ด้วยการปรับปรุงแท็กซี่เวย์ที่มีปัญหาการทรุดตัวและทำการปรับปรุงรันเวย์ให้เป็นไปตามรูปแบบก่อสร้างที่วางไว้พร้อมกับปรับปรุงพื้นที่ใช้สอยและพื้นที่เชิงพาณิชย์ที่มีปัญหาแออัดและขาดความสะดวกสวยงามให้สมบูรณ์เพิ่มขึ้นรวมถึงการแก้ไขระบบปรับอากาศระบบไอที(AIMS)ระบบบริการอื่นๆที่มีปัญหาขณะนี้ให้มีสมรรถะภาพเพิ่มขึ้นซึ่งจะทำให้สุวรรณภูมิผงาดขึ้นสมกับเป้าหมายการเป็นฮับของเอเชีย( Hub of Asia)
“ การแยกใช้สุวรรณภูมิกับดอนเมืองแบบแยกส่วนจะทำให้ศักยภาพของทั้ง ๒ สนามบินลดลงแต่ถ้าปรับแนวคิดใหม่เป็นการใช้ ๒ สนามบินแบบเสริมศักยภาพกันและกันจะเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันทางด้านการบินพาณิชย์ของประเทศอย่างมาก ดังนั้นการที่ทอท.จะเปิดใช้สนามบินดอนเมืองเฉพาะการย้ายเที่ยวบินในประเทศและย้ายบางสายการบินแบบสมัครใจเพื่อแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าไม่น่าจะใช่แนวทางการบริหารที่เหมาะสม แต่ควรคิดเชิงยุทธศาสตร์แบบบูรณาการ ๒ สนามบินและเพิ่มเป้าหมายและเพิ่มศักยภาพของทั้ง ๒ สนามบินอย่างมีแบบแผนแน่นอนชัดเจนเพื่อให้พันธมิตรธุรกิจของทอท.สามารถมองเห็นอนาคตข้างหน้าและรู้สึกร่วมกับการเติบโตไปด้วยกันบนผลประโยชน์ร่วมกันที่มีแผนและเป้าหมายชัดเจน ก็จะเป็นประโยชน์ต่อธุรกิจการบินและอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของประเทศอย่างก้าวกระโดดทั้งในปัจจุบันและอนาคต พรรคประชาธิปัตย์จะเสนอแนวคิดนี้ต่อรมว.คมนาคมและประธานบอร์ดทอท.ในสัปดาห์หน้าเพื่อประกอบการพิจารณาอย่างจริงจังต่อไป”รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์กล่าวในท้ายที่สุด
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 21 ม.ค. 2550--จบ--
นายอลงกรณ์ พลบุตร รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์แถลงที่พรรคฯ.วันนี้(๒๑ ม.ค.)ว่า ตามที่บริษัทท่าอากาศยานไทยจำกัด(มหาชน)หรือ ทอท.มีนโยบายจะเปิดใช้สนามบินดอนเมืองสำหรับเที่ยวบินภายในประเทศและให้สายการบินโลว์คอสต์สมัครใช้ที่จะย้ายจากสนามบินสุวรรณภูมินั้น จากการปรึกษาหารือกับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์มีข้อเสนอแนวทางยุทธศาสตร์การพัฒนาสุวรรณภูมิ-ดอนเมืองแนวใหม่ให้ รัฐมนตรีคมนาคมและพล.อ.สพรั่ง กัลยาณมิตร ประธานคณะกรรมการทอท.พิจารณาดังนี้
๑. ทอท.ควรกำหนดยุทธศาสตร์ท่าอากาศยานใหม่โดยยึดแนวทาง ๒ สนามบิน (Dual airport base)โดยเปิดใช้ทั้งสนามบินสุวรรณภูมิและสนามบินดอนเมืองซึ่งจะทำให้ประเทศไทยมีขีดความสามารถในการรองรับผู้โดยสารทันที ๘๐ ล้านคนต่อปี (สุวรรณภูมิ ๔๕ ล้านคนและดอนเมือง ๓๕ ล้านคน) มีผลให้ศักยภาพความเป็นฮับแห่งเอเชียเพิ่มขึ้นเหนือกว่าสนามบินชางกีของสิงคโปร์และสนามบินใดๆในอาเซียนและเอเซีย
๒. ทอท.ควรกำหนดยุทธศาสตร์ใหม่สำหรับสนามบินดอนเมืองให้เป็น”ฮับและฐานที่ตั้งของโลว์คอสต์แอร์ไลน์ในเอเชียแปซิฟิก”(Asia-Pacific Hub and Bases for Lowcost Airline)เพราะยังไม่มีสนามบินใดๆในแถบเอเซียแปซิฟิกที่ตั้งเป้าหมายดังกล่าวและด้วยศักยภาพของดอนเมืองที่มีโครงสร้างพื้นฐานเพียงพอ หากทอท.สร้างแรงจูงใจในการให้บริษัทสายการบินต้นทุนต่ำที่มีอัตราการเติบโตอย่างมากในภาคพื้นเอเซียแปซิฟิกย้ายฐานปฏิบัติงานและสำนักงานใหญ่หรือสำนักงานภูมิภาคมาตั้งที่ดอนเมืองโดยเสนออัตราค่าธรรมเนียม, ค่าบริการและค่าเช่าในระดับต่ำด้วยระบบไอทีไฮเทคทันสมัยเพราะดอนเมืองผ่านจุดคุ้มทุนในการก่อสร้างต่อเติมมานานแล้ว เหลือเพียงค่าใช้จ่ายปฏิบัติการเดือนละ ๑๕๐ ล้านบาทเท่านั้นนอกจากนี้ควรเพิ่มศักยภาพดอนเมืองทางด้านธุรกิจเกี่ยวเนื่องเพิ่มมูลค่าต่อเนื่อง(Value chain) เช่น ปรับปรุงต่อเติมอาคารท่าอากาศยานหมายเลข ๒ บางส่วนให้เป็นศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมนานาชาติ(International Exhibition and Convention)และปรับปรุงอาคารเก็บเครื่องบินให้เป็นศูนย์ซ่อมเครื่องบินโลว์คอสต์แอร์ไลน์แบบครบวงจรก็จะเป็นการเพิ่มแรงจูงใจสู่การบรรลุเป้าหมายดังกล่าว
๓. ทอท.ควรศึกษาแนวทางให้การรถไฟแห่งประเทศไทยสร้างรถไฟฟ้า(Airport Rail Link)เชื่อมสุวรรณภูมิกับดอนเมืองซึ่งอยู่ห่างกันเพียง ๓๕ กิโลเมตรจะทำให้การเดินทางระหว่าง ๒ สนามบินใช้เวลาเพียง ๑๕ นาทีเท่านั้นหรือเชื่อมโยงกับเส้นทางแอร์พอร์ตลิงก์มักกะสันสุวรรณภูมิกับเส้นทางรถไฟฟ้ามักกะสัน-รังสิตก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งและเป็นการเสริมศักยภาพของยุทธศาสตร์ Dual Airports ในระยะยาว ส่วนระยะเฉพาะหน้าสามารถเปิดบริการ Shuttle bus ระหว่าง ๒ สนามบินได้โดยใช้เส้นทางวงแหวนตะวันออก-มอเตอร์เวย์ และเส้นทาง โทลเวย์-พระรามเก้ามอเตอร์เวย์ ซึ่งใช้เวลาเดินทางเพียง ๓๐ นาทีเท่านั้น
๔. ทอท.ควรกำหนดให้เที่ยวบินภายในประเทศ(domestic flight)และเที่ยวบินที่จะต่อเชื่อม(connecting flight)ซึ่งมีผู้โดยสารประมาณปีละ ๙-๑๐ ล้านคนใช้สนามบินดอนเมืองโดยเปิดใช้เฉพาะอาคารท่าอาศยานหมายเลข ๑ ซึ่งสามารถรองรับผู้โดยสารได้ปีละ ๑๕ ล้านคนและปัจจุบันก็เปิดใช้งานอยู่แล้วในการบริการเที่ยวบินเช่าเหมาลำ (charter flight)ซึ่งหากมีการสร้างแรงจูงใจต่างๆและเดินแผนยุทธศาสตร์ให้ดอนเมืองเป็นฮับและฐานของโลว์คอสต์แอร์ไลน์รวมทั้งการเพิ่มศักยภาพมูลค่าเพิ่มในธุรกิจต่อเนื่องอื่นๆตามที่กล่าวมาข้างต้นก็เชื่อว่า บรรดาสายการบินต้นทุนต่ำพร้อมจะย้ายมาใช้สนามบินดอนเมืองและยังประโยชน์ให้ผู้โดยสารมีโอกาสใช้บริการในราคาประหยัดได้เพราะค่าธรรมเนียมและค่าบริการต่างๆที่สนามบินดอนเมืองเก็บจากสายการบินจะอยู่ในเกณฑ์ต่ำกว่าสนามบินสุวรรณภูมิมากเนื่องจากดอนเมืองผ่านจุดคุ้มทุนมานานแล้ว
๕. การใช้ระบบ ๒ สนามบินเป็นการประกันการบริการทางการบินตลอด ๒๔ ชั่วโมงหากมีสนามบินใดเกิดปัญหาก็มีอีกสนามบินหนึ่งสำรองการบริการได้ตลอดเวลา
๖. การเปิดใช้สนามบินดอนเมืองจะช่วยชะลอไม่ให้ประเทศต้องก่อหนี้ผูกพันไม่น้อยกว่า ๓๐๐,๐๐๐ ล้านในระยะ ๕ ปีข้างหน้า(๒๐๐๗-๒๐๑๑)ในการต้องขยายสนามบินสุวรรณภูมิเพราะรวมศักยภาพการรองรับผู้โดยสารของทั้ง ๒ สนามบินเท่ากับปีละ ๘๐ ล้านคน แต่ถ้าใช้สุวรรณภูมิเพียงแห่งเดียวก็จะต้องลงทุนสร้างรันเวย์ใหม่อีก ๒ รันเวย์รวมทั้งอาคารท่าอากาศยานและอาคารท่าเทียบเครื่องบินใหม่เนื่องจากสุวรรณภูมิรับผู้โดยสารได้ปีละ ๔๕ ล้านคนและจะต้องเริ่มขยายอย่างช้าไม่เกินปี ๒๐๐๘ถ้าไม่เปิดใช้ดอนเมือง ขณะเดียวกันหากแบ่งผู้โดยสารไปดอนเมืองปีละ ๑๕ ล้านคนก็จะทำให้สุวรรณภูมิมีสำรองขีดความสามารถในการรองรับผู้โดยสารถึงปีละ ๑๕ ล้านคน ส่วนดอนเมืองก็มีสำรองขีดความสามารถในการรองรับผู้โดยสารอีก ๒๐ ล้านคนต่อปี รวม ๒ สนามบินจะมีกำลังสำรองในการรองรับผู้โดยสารถึง ๓๕ ล้านคน
๗. ทอท.สามารถยกเครื่อง(Re-engineering)สนามบินสุวรรณภูมิใหม่ด้วยการปรับปรุงแท็กซี่เวย์ที่มีปัญหาการทรุดตัวและทำการปรับปรุงรันเวย์ให้เป็นไปตามรูปแบบก่อสร้างที่วางไว้พร้อมกับปรับปรุงพื้นที่ใช้สอยและพื้นที่เชิงพาณิชย์ที่มีปัญหาแออัดและขาดความสะดวกสวยงามให้สมบูรณ์เพิ่มขึ้นรวมถึงการแก้ไขระบบปรับอากาศระบบไอที(AIMS)ระบบบริการอื่นๆที่มีปัญหาขณะนี้ให้มีสมรรถะภาพเพิ่มขึ้นซึ่งจะทำให้สุวรรณภูมิผงาดขึ้นสมกับเป้าหมายการเป็นฮับของเอเชีย( Hub of Asia)
“ การแยกใช้สุวรรณภูมิกับดอนเมืองแบบแยกส่วนจะทำให้ศักยภาพของทั้ง ๒ สนามบินลดลงแต่ถ้าปรับแนวคิดใหม่เป็นการใช้ ๒ สนามบินแบบเสริมศักยภาพกันและกันจะเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันทางด้านการบินพาณิชย์ของประเทศอย่างมาก ดังนั้นการที่ทอท.จะเปิดใช้สนามบินดอนเมืองเฉพาะการย้ายเที่ยวบินในประเทศและย้ายบางสายการบินแบบสมัครใจเพื่อแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าไม่น่าจะใช่แนวทางการบริหารที่เหมาะสม แต่ควรคิดเชิงยุทธศาสตร์แบบบูรณาการ ๒ สนามบินและเพิ่มเป้าหมายและเพิ่มศักยภาพของทั้ง ๒ สนามบินอย่างมีแบบแผนแน่นอนชัดเจนเพื่อให้พันธมิตรธุรกิจของทอท.สามารถมองเห็นอนาคตข้างหน้าและรู้สึกร่วมกับการเติบโตไปด้วยกันบนผลประโยชน์ร่วมกันที่มีแผนและเป้าหมายชัดเจน ก็จะเป็นประโยชน์ต่อธุรกิจการบินและอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของประเทศอย่างก้าวกระโดดทั้งในปัจจุบันและอนาคต พรรคประชาธิปัตย์จะเสนอแนวคิดนี้ต่อรมว.คมนาคมและประธานบอร์ดทอท.ในสัปดาห์หน้าเพื่อประกอบการพิจารณาอย่างจริงจังต่อไป”รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์กล่าวในท้ายที่สุด
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 21 ม.ค. 2550--จบ--