คนเราถ้ามีหัวทางศิลปะก็สามารถสร้างสรรค์สิ่งต่างๆ ให้กลายธุรกิจได้ไม่ยาก เพราะข้าวของเครื่องใช้ทุกอย่างในสมัยนี้ ต่างก็ต้องใช้ศิลปะการออกแบบเข้ามาช่วยให้สินค้าดูโดดเด่นขึ้น ทั้งนี้ ก็เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มและสร้างความแตกต่าง อันเป็นการทำให้สินค้าเหล่านั้นเป็นที่สนใจของผู้บริโภคนั่นเอง
ธีรยุทธ สถิรากร เจ้าของผลิตภัณฑ์กระดาษสานูนต่ำ “Mulberri” เปิดเผยว่า ก่อนหน้านี้ครอบครัวทำธุรกิจด้านหินอ่อน หินแกรนิต ตกแต่งบ้าน จนประมาณ 3 ปีที่แล้ว เมื่อน้องสาวจะแต่งงาน ก็คิดประดิษฐ์การ์ดและของชำร่วยจากกระดาษสากันเอง เพราะพอมีฝีมือด้านศิลปะกันบ้าง แล้วก็เห็นพ้องกันว่าทำงานด้านนี้ได้ ประกอบกับเป็นช่วงที่ตลาดของธุรกิจเดิมไม่ค่อยดี จึงตัดสินใจลองขยายธุรกิจมาทำงานนี้ดู
“งานแรกๆ เป็นอัลบั้มรูป สมุดโน้ต ฯลฯ ที่ใช้กระดาษสามาทำเป็นปก โดยรูปแบบก็เป็นซีรี่ส์ต่างๆ เช่น ทะเล สัตว์ คริสมาสต์ ฯลฯ เป็นลายนูนทั้งหมด เพราะต้องการให้ภาพมีมิติ แตกต่างจากสินค้าที่มีในตลาด เราเริ่มจากศูนย์เลย เพราะไม่รู้เลยว่าเขาทำกันยังไง ต้องค้นหาวิธีทำให้มันเป็นตัวนูน ลองผิดลองถูกอยู่นานเหมือนกัน”
สีสันสดใสคือหัวใจดึงดูด
เมื่อเริ่มทำตลาดแรกๆ “Mulberri” ออกบูทตามงานแสดงสินค้าต่างๆ โดยแบ่งเช่าพื้นที่กับเพื่อนของน้องสาว จนเมื่อแสดงสินค้าไปประมาณ 2-3 ครั้ง ก็รู้ว่าผลตอบรับไม่ดี ถึงแม้จะมีออเดอร์มาบ้าง แต่ก็ไม่คุ้มกับเงินที่ลงทุนไป จึงปรับเปลี่ยนแบบใหม่ หาเอกลักษณ์ของตัวเอง จนได้เป็นงานดอกไม้ เช่น ลั่นทม ชบา กล้วยไม้ต่างๆ ฯลฯ มีสีสันสดใส เป็นภาพตกแต่งประดับบ้าน
“ของเดิมถ้าเขาซื้อเขาก็ใช้ 2-3 ปี ไม่ได้เปลี่ยนเลย แต่ถ้าเป็นพวกของตกแต่งบ้าน เขาจะเปลี่ยนไปตามเทรนด์ ซึ่งถ้าเทรนด์ไหนมา เราก็ปรับเปลี่ยนรูปแบบของเราไปตามเทรนด์ด้วย แต่ก็ยังคงความเป็นดอกไม้สีสันไว้ และลูกค้าก็กว้างกว่า มีกำลังซื้อมาก เพราะคนไทยเดี๋ยวนี้จะชอบแต่งบ้าน”
เมื่อคิดแบบใหม่ได้แล้ว “Mulberri” ก็ออกงานเองแบบเต็มตัวงานแรกที่ BIG&BIH เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา ตั้งใจให้เป็นการเปิดตัวให้ทั้งคนไทยและต่างประเทศได้เห็น ซึ่งผลตอบรับที่ได้ก็อยู่ในขั้นน่าพอใจทีเดียว โดยมีลูกค้าทั้งจากต่างประเทศ เช่น สเปน มาเลเซีย และส่วนลูกค้าคนไทยที่ซื้อไปตกแต่งบ้าน และโรงแรมหนึ่งซึ่งกำลังปรับปรุงก็ซื้อไปตกแต่งภายในด้วย ทั้งนี้ ลูกค้าส่วนใหญ่ชอบที่สินค้ากระดาษสานูนต่ำของ “Mulberri” แปลกจากตลาดทั่วไป ที่เรียบๆ ไม่มีมิติ
“อีกอย่างหนึ่ง เราค่อนข้างเน้นสีสันให้ดึงดูด บูทในงานเราก็เล่นสีสด เพื่อให้งานเราดูเด่นขึ้น ส่วนเรื่องลูกค้า ตอนนี้เราอยากเน้นตลาดเมืองไทยให้แข็งแรงก่อน เพราะเรายังไม่รู้ว่าถ้ามีออเดอร์เยอะๆ แล้วจะเจอปัญหาอะไรบ้าง ไม่ใช่อยู่ๆ ก็ไปรับงานนอกเลย แล้วเกิดปัญหาขึ้นมา ปรับตัวไม่ทันแล้วจะแย่”
ยินดีรับคำติเพื่อลูกค้าได้สิ่งที่ถูกใจที่สุด
ธีรยุทธ กล่าวต่อว่า การไปออกงาน BIG ก็เหมือนเป็นการสำรวจความต้องการของลูกค้าด้วย โดยยินดีรับฟังข้อติชมทั้งหลาย เพื่อนำมาแก้ไขปรับปรุงงานให้ถูกใจลูกค้ามากที่สุด โดยยึดหลักว่า เมื่อลูกค้าเสียเงินให้เราแล้ว ก็ต้องได้รับสิ่งที่เขาพอใจมากที่สุดเช่นกัน
“งานกระดาษมีข้อเสียตรงที่ลูกค้าจะมองว่าราคาถูก แต่ขั้นตอนการทำของเรามันยากกว่าจะออกมาได้แต่ละชิ้น การลงสีก็ยาก เพราะกระดาษสาถ้าลงสีไปมันจะซึม ความเข้มของสีก็จะหายในระดับนึง ต้องคอนโทรลดีๆ สีถึงจะได้ตามแบบที่เราต้องการ ซึ่งสีที่เราใช้เป็นสีอะคริลิก แล้วก็เคลือบกันน้ำ ถ้าโดนน้ำมันก็จะหน่วงการซึมไว้ระยะหนึ่ง ถ้าเรารีบเช็ดออกมันก็ไม่ซึม ไม่เสียหาย แต่ส่วนใหญ่งานกระดาษจะเป็นการตกแต่งภายใน ไม่โดนแดด โดนฝน”
แต่ในด้านการผลิตนั้น ต้องอาศัยแสงแดดในการตากแห้งผลิตภัณฑ์ให้แข็งคงตัวอยู่ได้ ทำให้การผลิตมักเจอปัญหาที่ช่วงหน้าฝนจะผลิตงานได้ไม่มาก แม้ว่าชิ้นงานเล็กๆ จะพอใช้วิธีอื่นช่วยได้บ้าง แต่ชิ้นงานใหญ่ๆ ก็ยังต้องใช้แดดจัดๆ ประมาณ 3-4 วัน งานแต่ละชิ้นจึงต้องใช้เวลาเป็นสัปดาห์กว่าจะเสร็จสิ้นกระบวนการ
“ถ้ามีออเดอร์เยอะๆ ก็คิดว่าจะใช้เครื่องจักรเข้ามาช่วยในการอบแห้งเหมือนกัน จะได้ผลิตได้ตามออเดอร์โดยไม่ต้องรอแดด แต่ก็ต้องควบคุมให้ดีๆ เพราะกระดาษถ้าโดนความร้อนมากมันก็ไหม้ได้”
ช่วยสร้างอาชีพให้คนหูหนวก
ทั้งนี้ พนักงานของ “Mulberri” ส่วนหนึ่งมาจากสมาคมคนหูหนวก โดยธีรยุทธ กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า ต้องการช่วยให้พวกเขามีอาชีพ ซึ่งในช่วงแรกๆ ก็มีพนักงานเพ้นท์จากสมาคมคนหูหนวกเกือบ 10 คน แต่ช่วงหลังงานเบาลงจึงต้องขอพักชั่วคราว ถ้ามีงานเมื่อไหร่ก็จะเรียกมาทำ ซึ่งปัจจุบันมีพนักงานทั้งหมดประมาณ 7-8 คน โดยมีคนออกแบบ ทำต้นแบบอยู่ 2 คน
ขณะนี้ “Mulberri” ยังไม่มีหน้าร้านของตัวเอง โดยอยู่ระหว่างการมองหาทำเลที่เหมาะ นอกจากนี้ก็มีลูกค้าหลายรายที่สนใจจะนำสินค้าไปขาย แต่ยังอยู่ระหว่างการเจรจาตกลง โดยขณะนี้สินค้า “Mulberri” มีวางฝากขายที่ห้างสรรพสินค้า เดอะ มอลล์ บางกะปิ และเอ็มโพเรี่ยมแล้ว ส่วนออเดอร์จากต่างประเทศนั้น อยู่ในขั้นเจรจาเช่นกัน
นอกจากงานกระดาษสานูนต่ำแล้ว สินค้าของ “Mulberri” ก็มีโคมไฟ, สินค้าเดิมเช่น อัลบั้มรูป สมุดโน้ต และกล่อง ที่หากลูกค้าต้องการก็สามารถสั่งทำได้ และงานใหม่เป็นงานเพ้นท์บนแผ่นไม้ โดยสินค้าทั้งหมดมีราคาขายปลีกอยู่ที่ 380-3,500 บาท
“การตลาดตอนนี้เราอยากดูตัวนี้ก่อนว่าผลตอบรับจะมีมากน้อยแค่ไหน เพราะถือว่ายังอยู่ในช่วงเริ่มต้น ถ้าผลตอบรับดีเราก็จะออกแบบใหม่ๆ ออกมาอีก งานหน้าก็จะออกงานบ้านและสวนแฟร์ เพราะตรงกับกลุ่มเป้าหมายของเรา ซึ่งตอนนี้ก็กำลังคิดชิ้นงานใหม่ๆ ออกมาด้วย” ธีรยุทธ กล่าว
--กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม--
-พห-
ธีรยุทธ สถิรากร เจ้าของผลิตภัณฑ์กระดาษสานูนต่ำ “Mulberri” เปิดเผยว่า ก่อนหน้านี้ครอบครัวทำธุรกิจด้านหินอ่อน หินแกรนิต ตกแต่งบ้าน จนประมาณ 3 ปีที่แล้ว เมื่อน้องสาวจะแต่งงาน ก็คิดประดิษฐ์การ์ดและของชำร่วยจากกระดาษสากันเอง เพราะพอมีฝีมือด้านศิลปะกันบ้าง แล้วก็เห็นพ้องกันว่าทำงานด้านนี้ได้ ประกอบกับเป็นช่วงที่ตลาดของธุรกิจเดิมไม่ค่อยดี จึงตัดสินใจลองขยายธุรกิจมาทำงานนี้ดู
“งานแรกๆ เป็นอัลบั้มรูป สมุดโน้ต ฯลฯ ที่ใช้กระดาษสามาทำเป็นปก โดยรูปแบบก็เป็นซีรี่ส์ต่างๆ เช่น ทะเล สัตว์ คริสมาสต์ ฯลฯ เป็นลายนูนทั้งหมด เพราะต้องการให้ภาพมีมิติ แตกต่างจากสินค้าที่มีในตลาด เราเริ่มจากศูนย์เลย เพราะไม่รู้เลยว่าเขาทำกันยังไง ต้องค้นหาวิธีทำให้มันเป็นตัวนูน ลองผิดลองถูกอยู่นานเหมือนกัน”
สีสันสดใสคือหัวใจดึงดูด
เมื่อเริ่มทำตลาดแรกๆ “Mulberri” ออกบูทตามงานแสดงสินค้าต่างๆ โดยแบ่งเช่าพื้นที่กับเพื่อนของน้องสาว จนเมื่อแสดงสินค้าไปประมาณ 2-3 ครั้ง ก็รู้ว่าผลตอบรับไม่ดี ถึงแม้จะมีออเดอร์มาบ้าง แต่ก็ไม่คุ้มกับเงินที่ลงทุนไป จึงปรับเปลี่ยนแบบใหม่ หาเอกลักษณ์ของตัวเอง จนได้เป็นงานดอกไม้ เช่น ลั่นทม ชบา กล้วยไม้ต่างๆ ฯลฯ มีสีสันสดใส เป็นภาพตกแต่งประดับบ้าน
“ของเดิมถ้าเขาซื้อเขาก็ใช้ 2-3 ปี ไม่ได้เปลี่ยนเลย แต่ถ้าเป็นพวกของตกแต่งบ้าน เขาจะเปลี่ยนไปตามเทรนด์ ซึ่งถ้าเทรนด์ไหนมา เราก็ปรับเปลี่ยนรูปแบบของเราไปตามเทรนด์ด้วย แต่ก็ยังคงความเป็นดอกไม้สีสันไว้ และลูกค้าก็กว้างกว่า มีกำลังซื้อมาก เพราะคนไทยเดี๋ยวนี้จะชอบแต่งบ้าน”
เมื่อคิดแบบใหม่ได้แล้ว “Mulberri” ก็ออกงานเองแบบเต็มตัวงานแรกที่ BIG&BIH เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา ตั้งใจให้เป็นการเปิดตัวให้ทั้งคนไทยและต่างประเทศได้เห็น ซึ่งผลตอบรับที่ได้ก็อยู่ในขั้นน่าพอใจทีเดียว โดยมีลูกค้าทั้งจากต่างประเทศ เช่น สเปน มาเลเซีย และส่วนลูกค้าคนไทยที่ซื้อไปตกแต่งบ้าน และโรงแรมหนึ่งซึ่งกำลังปรับปรุงก็ซื้อไปตกแต่งภายในด้วย ทั้งนี้ ลูกค้าส่วนใหญ่ชอบที่สินค้ากระดาษสานูนต่ำของ “Mulberri” แปลกจากตลาดทั่วไป ที่เรียบๆ ไม่มีมิติ
“อีกอย่างหนึ่ง เราค่อนข้างเน้นสีสันให้ดึงดูด บูทในงานเราก็เล่นสีสด เพื่อให้งานเราดูเด่นขึ้น ส่วนเรื่องลูกค้า ตอนนี้เราอยากเน้นตลาดเมืองไทยให้แข็งแรงก่อน เพราะเรายังไม่รู้ว่าถ้ามีออเดอร์เยอะๆ แล้วจะเจอปัญหาอะไรบ้าง ไม่ใช่อยู่ๆ ก็ไปรับงานนอกเลย แล้วเกิดปัญหาขึ้นมา ปรับตัวไม่ทันแล้วจะแย่”
ยินดีรับคำติเพื่อลูกค้าได้สิ่งที่ถูกใจที่สุด
ธีรยุทธ กล่าวต่อว่า การไปออกงาน BIG ก็เหมือนเป็นการสำรวจความต้องการของลูกค้าด้วย โดยยินดีรับฟังข้อติชมทั้งหลาย เพื่อนำมาแก้ไขปรับปรุงงานให้ถูกใจลูกค้ามากที่สุด โดยยึดหลักว่า เมื่อลูกค้าเสียเงินให้เราแล้ว ก็ต้องได้รับสิ่งที่เขาพอใจมากที่สุดเช่นกัน
“งานกระดาษมีข้อเสียตรงที่ลูกค้าจะมองว่าราคาถูก แต่ขั้นตอนการทำของเรามันยากกว่าจะออกมาได้แต่ละชิ้น การลงสีก็ยาก เพราะกระดาษสาถ้าลงสีไปมันจะซึม ความเข้มของสีก็จะหายในระดับนึง ต้องคอนโทรลดีๆ สีถึงจะได้ตามแบบที่เราต้องการ ซึ่งสีที่เราใช้เป็นสีอะคริลิก แล้วก็เคลือบกันน้ำ ถ้าโดนน้ำมันก็จะหน่วงการซึมไว้ระยะหนึ่ง ถ้าเรารีบเช็ดออกมันก็ไม่ซึม ไม่เสียหาย แต่ส่วนใหญ่งานกระดาษจะเป็นการตกแต่งภายใน ไม่โดนแดด โดนฝน”
แต่ในด้านการผลิตนั้น ต้องอาศัยแสงแดดในการตากแห้งผลิตภัณฑ์ให้แข็งคงตัวอยู่ได้ ทำให้การผลิตมักเจอปัญหาที่ช่วงหน้าฝนจะผลิตงานได้ไม่มาก แม้ว่าชิ้นงานเล็กๆ จะพอใช้วิธีอื่นช่วยได้บ้าง แต่ชิ้นงานใหญ่ๆ ก็ยังต้องใช้แดดจัดๆ ประมาณ 3-4 วัน งานแต่ละชิ้นจึงต้องใช้เวลาเป็นสัปดาห์กว่าจะเสร็จสิ้นกระบวนการ
“ถ้ามีออเดอร์เยอะๆ ก็คิดว่าจะใช้เครื่องจักรเข้ามาช่วยในการอบแห้งเหมือนกัน จะได้ผลิตได้ตามออเดอร์โดยไม่ต้องรอแดด แต่ก็ต้องควบคุมให้ดีๆ เพราะกระดาษถ้าโดนความร้อนมากมันก็ไหม้ได้”
ช่วยสร้างอาชีพให้คนหูหนวก
ทั้งนี้ พนักงานของ “Mulberri” ส่วนหนึ่งมาจากสมาคมคนหูหนวก โดยธีรยุทธ กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า ต้องการช่วยให้พวกเขามีอาชีพ ซึ่งในช่วงแรกๆ ก็มีพนักงานเพ้นท์จากสมาคมคนหูหนวกเกือบ 10 คน แต่ช่วงหลังงานเบาลงจึงต้องขอพักชั่วคราว ถ้ามีงานเมื่อไหร่ก็จะเรียกมาทำ ซึ่งปัจจุบันมีพนักงานทั้งหมดประมาณ 7-8 คน โดยมีคนออกแบบ ทำต้นแบบอยู่ 2 คน
ขณะนี้ “Mulberri” ยังไม่มีหน้าร้านของตัวเอง โดยอยู่ระหว่างการมองหาทำเลที่เหมาะ นอกจากนี้ก็มีลูกค้าหลายรายที่สนใจจะนำสินค้าไปขาย แต่ยังอยู่ระหว่างการเจรจาตกลง โดยขณะนี้สินค้า “Mulberri” มีวางฝากขายที่ห้างสรรพสินค้า เดอะ มอลล์ บางกะปิ และเอ็มโพเรี่ยมแล้ว ส่วนออเดอร์จากต่างประเทศนั้น อยู่ในขั้นเจรจาเช่นกัน
นอกจากงานกระดาษสานูนต่ำแล้ว สินค้าของ “Mulberri” ก็มีโคมไฟ, สินค้าเดิมเช่น อัลบั้มรูป สมุดโน้ต และกล่อง ที่หากลูกค้าต้องการก็สามารถสั่งทำได้ และงานใหม่เป็นงานเพ้นท์บนแผ่นไม้ โดยสินค้าทั้งหมดมีราคาขายปลีกอยู่ที่ 380-3,500 บาท
“การตลาดตอนนี้เราอยากดูตัวนี้ก่อนว่าผลตอบรับจะมีมากน้อยแค่ไหน เพราะถือว่ายังอยู่ในช่วงเริ่มต้น ถ้าผลตอบรับดีเราก็จะออกแบบใหม่ๆ ออกมาอีก งานหน้าก็จะออกงานบ้านและสวนแฟร์ เพราะตรงกับกลุ่มเป้าหมายของเรา ซึ่งตอนนี้ก็กำลังคิดชิ้นงานใหม่ๆ ออกมาด้วย” ธีรยุทธ กล่าว
--กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม--
-พห-