ข่าวเศรษฐกิจในประเทศ
1. ดัชนีความเชื่อมั่นทางธุรกิจในเดือน เม.ย.50 ปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง รายงานจากสายนโยบายการเงิน ธนาคาร
แห่งประเทศไทย (ธปท.) แจ้งว่า ธปท.รายงานผลสำรวจความคิดเห็นของภาคธุรกิจในการจัดทำดัชนีความเชื่อมั่นทางธุรกิจล่าสุดประจำเดือน
เม.ย.50 พบว่า ความเชื่อมั่นของนักธุรกิจในเดือน เม.ย.ยังคงลดลงต่อเนื่อง โดยนักธุรกิจในภาคอุตสาหกรรม ภาคการค้า และภาคก่อสร้าง
มีความเชื่อมั่นทางธุรกิจลดลงมาก ส่วนนักธุรกิจภาคขนส่งและคลังสินค้ามีความเชื่อมั่นทางธุรกิจทรงตัว แต่ธุรกิจที่เกี่ยวกับการสาธารณูปโภค
การเงิน และภาคการบริการเริ่มมีความเชื่อมั่นทางธุรกิจเพิ่มขึ้น ทั้งนี้ เป็นผลมาจากธุรกรรมทางเศรษฐกิจชะลอลง ความไม่แน่นอนทางการเมือง
ยังมีสูง ส่งผลให้ผู้บริโภคยังขาดความเชื่อมั่นจนทำให้อุปสงค์ในประเทศชะลอตัวลง นอกจากนี้ ผลของเงินบาทแข็งค่าส่งผลกระทบต่อการส่งออก
ในแง่ของการแข่งขันในตลาดต่างประเทศ รวมทั้งแนวโน้มราคาน้ำมันที่สูงขึ้น ส่งผลมายังต้นทุนพลังงานปรับเพิ่มขึ้นด้วย และทำให้ยอดจำหน่าย
สินค้าและคำสั่งซื้อทั้งจากในประเทศและต่างประเทศปรับลดลงต่อเนื่อง ทำให้ระดับสินค้าคงคลังยังเหลือจำนวนมากส่งผลให้การผลิตสินค้ามี
แนวโน้มลดลง นอกจากนี้ จากการสำรวจนักธุรกิจส่วนใหญ่ยังพบว่า สภาพคล่องทางการเงินของผู้ประกอบการลดลงเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า
จากสาเหตุ 2 ประการ คือ 1) ยอดจำหน่ายและปริมาณการค้าที่ลดลง และ 2) สินเชื่อที่ผู้ประกอบการได้รับจากสถาบันการเงินเริ่มลดลง
(ผู้จัดการรายวัน, โลกวันนี้, ไทยรัฐ, แนวหน้า)
2. ธปท.ส่งหนังสือเตือน ธพ.และนอนแบงก์ให้ระมัดระวังในการทำโปรโมชั่นกับลูกค้าให้มากขึ้น ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายกำกับสถาบัน
การเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ขณะนี้ ธปท.ได้สั่งการให้สถาบันการเงินที่ประกอบธุรกิจการเงินทั้ง ธพ. และสถาบัน
การเงินที่ไม่ใช่ ธพ. (นอนแบงก์) ให้ระมัดระวังในการทำโปรโมชั่นกับลูกค้ามากขึ้น โดยเฉพาะกรณีที่ให้ลูกค้าส่งชิงโชคเพื่อแจกรางวัลต้อง
ตรวจสอบให้ดีว่าขัดต่อ พ.ร.บ.การพนันหรือไม่ เนื่องจาก ธปท.จะดูแลเฉพาะ พ.ร.บ.ธนาคารพาณิชย์เท่านั้น ไม่มีอำนาจในการพิจารณาชี้ชัด
ได้ว่าขัดหรือไม่ต่อ พ.ร.บ.การพนัน ทั้งนี้ ปัญหาที่เกิดขึ้นกับบัตรกรุงศรี จีอี นั้นได้สอบถามผู้บริหารไปแล้วและกำชับให้ระมัดระวัง เพราะเหตุการณ์
เช่นนี้เคยเกิดกับธนาคารอื่น ๆ มาแล้ว และ ธปท.ก็เคยออกหนังสือเตือนไปแล้วว่า หากสถาบันการเงินใดจะมีการจับรางวัลต้องพิจารณาอย่าง
รอบคอบไม่ให้ผิดกฎหมาย เพราะกรมการปกครองหรือเจ้าหน้าที่ที่ดูแลตาม พ.ร.บ.การพนันก็สามารถเอาผิดได้ อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ยังไม่มี
ความจำเป็นที่ ธปท.ต้องออกเกณฑ์การกำกับดูแลในเรื่องนี้เพิ่มเติม (โพสต์ทูเดย์)
3. ครม.เห็นชอบขาดดุล งปม.ปี 51 เพิ่มขึ้นเป็น 1.65 แสนล้านบาท รอง ผอ.สำนักงบประมาณ เปิดเผยว่า ที่ประชุม ครม.
มีมติเห็นชอบกรอบการขาดดุล งปม.ปี 51 ที่ 1.65 แสนล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 1.8 ต่อผลิตภัณฑ์ในประเทศ (จีดีพี) สูงขึ้นจากเดิม
ที่ตั้งไว้ที่ 1.2 แสนล้านบาท เพื่อให้สอดคล้องกับการปรับเพิ่มวงเงิน งปม.รายจ่ายเป็น 1.66 ล้านล้านบาท และคาดการณ์ว่าในด้านรายรับ
จะลดลงจากประมาณการมาอยู่ที่ 1.495 ล้านล้านบาท ทั้งนี้ กรอบ งปม.ปี 51 แบ่งเป็นงบลงทุน 400,168 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 24.1
ของวงเงิน งปม.รายจ่ายรวม เป็นรายจ่ายประจำ 1,214,056 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 73.1 ส่วนรายจ่ายเพื่อชำระคืนต้นเงินกู้
จำนวน 45,775 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 2.8 ของ งปม.รายจ่ายรวม (ผู้จัดการรายวัน, สยามรัฐ)
4. ครม.มีมติอนุมัติภาษีอีโคคาร์เหลือร้อยละ 17 เริ่ม 1 ต.ค.52 รมว.คลัง เปิดเผยว่า ครม.มีมติให้ลดอัตราภาษีสรรพาสามิต
ในรถยนต์ประหยัดพลังงาน (อีโคคาร์) จากร้อยละ 30 มาอยู่ที่ร้อยละ 17 ทั้งนี้ต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไข คือ 1) รถยนต์จะต้องมีกระบอกสูบ
ไม่เกิน 1,300 ซีซี เครื่องยนต์เบนซิน และไม่เกิน 1,400 ซีซี ในเครื่องยนต์ดีเซล 2) จะต้องเป็นรถยนต์ที่กินน้ำมันไม่เกิน 20 กม./ลิตร
ตามมาตรฐานยูโร 4 และ 3) มีปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ไม่เกิน 120 กรัม/กม.ทั้งนี้ การปรับลดอัตราภาษีสรรพสามิตอีโคคาร์มาอยู่ที่
ร้อยละ 17 นั้นจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.52 อย่างไรก็ตาม ทาง ก.คลังจะประกาศกำหนดอัตราภาษีรถยนต์อีโคคาร์ก็ต่อเมื่อได้รับ
หนังสือยืนยันจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ก.อุตสาหกรรม ว่ามีผู้ได้รับการส่งเสริมการลงทุนผลิตรถยนต์อีโคคาร์
และมีการลงทุนเพื่อผลิตและจำหน่ายอย่างเป็นรูปธรรมแล้วเท่านั้น (บ้านเมือง, ไทยรัฐ, โลกวันนี้, เดลินิวส์, มติชน, แนวหน้า, ข่าวสด)
5. ก.คลังเตรียมขอให้ บ.ทริส เรทติ้ง พิจารณาทบทวนเกณฑ์ชี้วัดด้านรายได้ ปลัด ก.คลัง เปิดเผยว่า ก.คลังจะขอให้
บ.ทริส เรทติ้ง จำกัด พิจารณาทบทวนเกณฑ์ชี้วัดด้านรายได้ เนื่องจากปัจจุบันสถานการณ์เศรษฐกิจได้เปลี่ยนแปลงไปมาก โดยผลิตภัณฑ์ในประเทศ
(จีดีพี) ต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ในเดือน พ.ค.ที่ผ่านมา ก.คลังได้ปรับลดประมาณการเศรษฐกิจปีนี้ลงเหลือร้อยละ 4 โดยมีช่วงคาดการณ์อยู่ที่
ร้อยละ 3.8-4.3 จากเดิมร้อยละ 4.2 สำหรับภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงส่งผลให้การจัดเก็บรายได้ของกรมภาษี โดยเฉพาะกรมสรรพากร
ต่ำกว่าเป้าหมาย ซึ่งจะทำให้ผลการจัดเก็บรายได้สุทธิต่ำกว่าประมาณตามเอกสารงบประมาณตามเอกสาร งปม. แต่กรอบ งปม.รายจ่าย
ที่ตั้งไว้ 1.56 ล้านล้านบาทนั้น คาดว่าหน่วยงานและส่วนราชการต่าง ๆ จะเบิกจ่ายได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ร้อยละ 93 ของกรอบ งปม.
ปี 50 ซึ่งอาจจะทำให้ขาดดุล งปม.มากกว่า 1,462 แสนล้านบาท แต่ยืนยันว่าจะขาดดุลไม่เกินร้อยละ 10 ของ งปม.รายจ่ายและไม่เกิน
ร้อยละ 2 ของจีดีพี (โลกวันนี้)
6. ก.ล.ต.เตือนให้ระมัดระวังในการเข้าไปลงทุนในกองทุนรวม ผอ.ฝ่ายเลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์
และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) แจ้งเตือนต่อประชาชนทั่วไปว่า ให้ระมัดระวังการเข้าไปลงทุนในกองทุนรวม เพราะในปัจจุบันมีกองทุนรวม
เถื่อนระบาดจำนวนมากสูงถึง 20 แห่ง มีประชาชนหลงเชื่อเข้าไปลงทุนแล้วกว่า 30 ราย ทำให้ได้รับความเสียหายจำนวนมาก บางราย
ความเสียหายสูงถึง 6 ล้านบาท จึงเตือนต่อประชาชนให้ตรวจสอบการเข้าไปลงทุนในกองทุนรวมต่าง ๆ อย่างละเอียด และอย่าหลงเชื่อ
เข้าไปลงทุนในกองทุนรวมที่ประกาศว่าจะให้ผลตอบแทนสูงเกิน หรือ โทรศัพท์เข้ามาสอบถามข้อมูลกับ ก.ล.ต.ก่อนตัดสินใจ (เดลินิวส์,
มติชน, แนวหน้า)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1. ยอดค้าปลีกของ Euro zone ในเดือน เม.ย.50 ขยายตัวต่ำกว่าที่คาดไว้ รายงานจากบรัสเซลส์ เมื่อ 5 มิ.ย.50
Eurostat ซึ่งเป็น สนง.สถิติกลางของยุโรปรายงานยอดค้าปลีกใน 13 ประเทศที่ใช้เงินยูโรเป็นเงินสกุลหลักเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.2 เทียบต่อเดือน
และร้อยละ 1.6 เทียบต่อปีในเดือน เม.ย.50 ต่ำกว่าที่ผลสำรวจรอยเตอร์คาดไว้ว่าจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.5 ต่อเดือนและร้อยละ 2.0 ต่อปี
ชี้ให้เห็นว่าผู้บริโภคในหลายประเทศยังระมัดระวังที่จะเพิ่มการใช้จ่ายแม้ว่าตลาดแรงงานดีขึ้นและความเชื่อมั่นของผู้บริโภคเพิ่มสูงขึ้นอยู่ในระดับ
สูงสุดในรอบ 6 ปีในเดือน พ.ค.50 ที่ผ่านมาก็ตาม โดยยอดค้าปลีกในเยอรมนีซึ่งมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดใน Euro zone เพิ่มขึ้นร้อยละ
0.6 ต่อปีในเดือน เม.ย.50 ในขณะที่ฝรั่งเศสซึ่งเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับที่ 2 ยอดค้าปลีกขยายตัวถึงร้อยละ 5.0 ต่อปี แต่ในสเปนยอดค้าปลีก
ขยายตัวเพียงร้อยละ 1.6 ต่อปี หลังจากพุ่งสูงขึ้นถึงร้อยละ 5.2 ต่อปีในเดือนก่อน แต่อย่างไรก็ดี นักวิเคราะห์คาดว่าเศรษฐกิจของ Euro zone
จะยังคงขยายตัวอย่างแข็งแกร่งต่อไป และคาดว่า ธ.กลางยุโรปจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีกร้อยละ 0.25 เป็นร้อยละ 4.0 ต่อปีใน
วันที่ 6 มิ.ย.50 นี้ และมีความเป็นไปได้สูงที่จะขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกครั้งเป็นร้อยละ 4.25 ต่อปีในเดือน ก.ย.50 (รอยเตอร์)
2. คาดว่ายอดค้าปลีกของจีนจะขยายตัวประมาณร้อยละ 14 ในปี 50 รายงานจากปักกิ่ง เมื่อ 6 มิ.ย.50 ก.พาณิชย์ของจีน
คาดว่ายอดค้าปลีกในปี 50 จะขยายตัวประมาณร้อยละ 14 ต่อปี เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 13.7 ต่อปีในปี 49 โดยคาดว่ายอดค้าปลีกในปีนี้จะมีมูลค่า
ถึง 8.7 ล้านล้านหยวนหรือประมาณ 1.1 ล้านล้านดอลลาร์ สรอ. ทั้งนี้ รัฐบาลจีนพยายามที่จะกระตุ้นการบริโภคในประเทศโดยเฉพาะใน
ภาคครัวเรือน เพื่อลดการพึ่งพาการส่งออกและการลงทุน แต่อย่างไรก็ดี การบริโภคยังคงขยายตัวในอัตราต่ำกว่าการลงทุนและการส่งออก
ซึ่งรัฐบาลอ้างว่าเป็นผลมาจากการขาดแคลนมืออาชีพด้านสินเชื่อเพื่อผู้บริโภคซึ่งคาดว่าจะยังคงเป็นปัญหาต่อไปในอนาคตอันใกล้นี้ (รอยเตอร์)
3. PMI ของสิงคโปร์ในเดือน พ.ค.50 เพิ่มขึ้นที่ระดับ 50 สูงขึ้นเล็กน้อยจากเดือนก่อนหน้า รายงานจากสิงคโปร์เมื่อ 5 มิ.ย.50
The Singapore Institute of Purchasing & Materials เปิดเผยผลการสำรวจ Purchasing Managers’ Index (PMI) ซึ่ง
เป็นดัชนีสำหรับชี้วัดการเติบโตของภาคการผลิตสิงคโปร์ว่า เพิ่มขึ้นที่ระดับ 50.0 ในเดือน พ.ค.50 หลังจากที่ในเดือนก่อนหน้าดัชนีฯ ลดลง
เป็นครั้งแรกในรอบปีที่ระดับ 49.7 โดยดัชนีที่อยู่เหนือระดับ 50 บ่งชี้การขยายตัวของภาคการผลิต ขณะที่ดัชนีต่ำกว่าระดับ 50 สะท้อนการ
ชะลอตัวของภาคการผลิต ทั้งนี้ การที่ PMI ขยายตัวเพียงเล็กน้อย เป็นผลจากส่วนประกอบหลักปรับตัวลดลง โดย New orders index
และ New export orders ชะลอลงที่ระดับ 51.1 และ 50.8 ขณะที่ Imports index และ Stocks of finished goods ชะลอลง
ที่ระดับ 50.3 และ 50.5 Electronics sector index ทรงตัวที่ระดับ 51.1 และ Electronic new export orders index
ชะลอลงที่ระดับ 52.9 สำหรับตัวเลขผลผลิตโรงงานของสิงคโปร์ในเดือน เม.ย.50 ขยายตัวอย่างแข็งแกร่งที่ระดับร้อยละ 7.9 เป็นผล
จากการเพิ่มขึ้นของผลผลิตยา และมีการคาดการณ์ว่าภาคการผลิตของสิงคโปร์ในปี 50 จะขยายตัวร้อยละ 5-7 ซึ่งเป็นประมาณครึ่งหนึ่ง
ของการขยายตัวเมื่อปี 49 ซึ่งเป็นช่วงที่เศรษฐกิจโลกขยายตัวอย่างแข็งแกร่งและส่งผลต่อความต้องการสินค้าของสิงคโปร์ อาทิเช่น น้ำมัน
เคมีภัณฑ์ และสินค้าไฮเทค อย่างไรก็ตาม บรรดานักวิเคราะห์ต่างคาดหมายว่า การส่งออกของสิงคโปร์ในช่วงครึ่งหลังปี 50 จะฟื้นตัวขึ้น
จากภาวะชะลอตัวในช่วงครึ่งแรกของปี (รอยเตอร์)
4. ความเชื่อมั่นผู้บริโภคชาวอังกฤษเดือน พ.ค.50 เพิ่มขึ้นสูงสุดในรอบ 1 ปีครึ่ง รายงานจากกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ
เมื่อวันที่ 6 มิ.ย.50 Mortgage Lender Nationwide เปิดเผยผลสำรวจความคิดเห็นประชาชนทั่วไปว่า ความเชื่อมั่นผู้บริโภคชาวอังกฤษ
ในเดือน พ.ค.50 เพิ่มขึ้นอยู่ที่ระดับ 99 จากระดับ 90 ในเดือน เม.ย.50 ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 18 เดือน นับตั้งแต่เดือน พ.ย.49
โดยผลสำรวจเพิ่มขึ้นในช่วงสัปดาห์ที่ Tony Blair นรม. ของอังกฤษประกาศวันที่จะลาออกจากตำแหน่ง และ ธ.กลางอังกฤษปรับขึ้นอัตรา
ดอกเบี้ยนโยบายไปอยู่ที่ระดับร้อยละ 5.5 นอกจากนี้ ผู้บริโภคยังมีความเชื่อมั่นเพิ่มขึ้นเกี่ยวกับตลาดที่อยู่อาศัยแม้ว่าจะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย
ร้อยละ 1 นับตั้งแต่เดือน ส.ค.49 เป็นต้นมา และคาดว่าจะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกในปีนี้ (รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 6 มิ.ย. 50 5 มิ.ย. 50 29 ธ.ค. 49 แหล่งข้อมูล
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 34.491 36.044 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 34.2800/34.6259 35.8601/36.2308 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 3.68469 5.12813 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 760.59/29.95 679.84/9.22 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 10,900/11,000 10,900/11,000 10,750/10,650 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 65.07 64.89 56.48 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล (บาท) 29.99*/25.34** 29.99*/25.34** 26.49/23.34 ปตท.
* ปรับเลดเมื่อ 2 มิ.ย. 50 , ** ปรับเพิ่มเมื่อ 26 เม.ย. 50
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
1. ดัชนีความเชื่อมั่นทางธุรกิจในเดือน เม.ย.50 ปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง รายงานจากสายนโยบายการเงิน ธนาคาร
แห่งประเทศไทย (ธปท.) แจ้งว่า ธปท.รายงานผลสำรวจความคิดเห็นของภาคธุรกิจในการจัดทำดัชนีความเชื่อมั่นทางธุรกิจล่าสุดประจำเดือน
เม.ย.50 พบว่า ความเชื่อมั่นของนักธุรกิจในเดือน เม.ย.ยังคงลดลงต่อเนื่อง โดยนักธุรกิจในภาคอุตสาหกรรม ภาคการค้า และภาคก่อสร้าง
มีความเชื่อมั่นทางธุรกิจลดลงมาก ส่วนนักธุรกิจภาคขนส่งและคลังสินค้ามีความเชื่อมั่นทางธุรกิจทรงตัว แต่ธุรกิจที่เกี่ยวกับการสาธารณูปโภค
การเงิน และภาคการบริการเริ่มมีความเชื่อมั่นทางธุรกิจเพิ่มขึ้น ทั้งนี้ เป็นผลมาจากธุรกรรมทางเศรษฐกิจชะลอลง ความไม่แน่นอนทางการเมือง
ยังมีสูง ส่งผลให้ผู้บริโภคยังขาดความเชื่อมั่นจนทำให้อุปสงค์ในประเทศชะลอตัวลง นอกจากนี้ ผลของเงินบาทแข็งค่าส่งผลกระทบต่อการส่งออก
ในแง่ของการแข่งขันในตลาดต่างประเทศ รวมทั้งแนวโน้มราคาน้ำมันที่สูงขึ้น ส่งผลมายังต้นทุนพลังงานปรับเพิ่มขึ้นด้วย และทำให้ยอดจำหน่าย
สินค้าและคำสั่งซื้อทั้งจากในประเทศและต่างประเทศปรับลดลงต่อเนื่อง ทำให้ระดับสินค้าคงคลังยังเหลือจำนวนมากส่งผลให้การผลิตสินค้ามี
แนวโน้มลดลง นอกจากนี้ จากการสำรวจนักธุรกิจส่วนใหญ่ยังพบว่า สภาพคล่องทางการเงินของผู้ประกอบการลดลงเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า
จากสาเหตุ 2 ประการ คือ 1) ยอดจำหน่ายและปริมาณการค้าที่ลดลง และ 2) สินเชื่อที่ผู้ประกอบการได้รับจากสถาบันการเงินเริ่มลดลง
(ผู้จัดการรายวัน, โลกวันนี้, ไทยรัฐ, แนวหน้า)
2. ธปท.ส่งหนังสือเตือน ธพ.และนอนแบงก์ให้ระมัดระวังในการทำโปรโมชั่นกับลูกค้าให้มากขึ้น ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายกำกับสถาบัน
การเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ขณะนี้ ธปท.ได้สั่งการให้สถาบันการเงินที่ประกอบธุรกิจการเงินทั้ง ธพ. และสถาบัน
การเงินที่ไม่ใช่ ธพ. (นอนแบงก์) ให้ระมัดระวังในการทำโปรโมชั่นกับลูกค้ามากขึ้น โดยเฉพาะกรณีที่ให้ลูกค้าส่งชิงโชคเพื่อแจกรางวัลต้อง
ตรวจสอบให้ดีว่าขัดต่อ พ.ร.บ.การพนันหรือไม่ เนื่องจาก ธปท.จะดูแลเฉพาะ พ.ร.บ.ธนาคารพาณิชย์เท่านั้น ไม่มีอำนาจในการพิจารณาชี้ชัด
ได้ว่าขัดหรือไม่ต่อ พ.ร.บ.การพนัน ทั้งนี้ ปัญหาที่เกิดขึ้นกับบัตรกรุงศรี จีอี นั้นได้สอบถามผู้บริหารไปแล้วและกำชับให้ระมัดระวัง เพราะเหตุการณ์
เช่นนี้เคยเกิดกับธนาคารอื่น ๆ มาแล้ว และ ธปท.ก็เคยออกหนังสือเตือนไปแล้วว่า หากสถาบันการเงินใดจะมีการจับรางวัลต้องพิจารณาอย่าง
รอบคอบไม่ให้ผิดกฎหมาย เพราะกรมการปกครองหรือเจ้าหน้าที่ที่ดูแลตาม พ.ร.บ.การพนันก็สามารถเอาผิดได้ อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ยังไม่มี
ความจำเป็นที่ ธปท.ต้องออกเกณฑ์การกำกับดูแลในเรื่องนี้เพิ่มเติม (โพสต์ทูเดย์)
3. ครม.เห็นชอบขาดดุล งปม.ปี 51 เพิ่มขึ้นเป็น 1.65 แสนล้านบาท รอง ผอ.สำนักงบประมาณ เปิดเผยว่า ที่ประชุม ครม.
มีมติเห็นชอบกรอบการขาดดุล งปม.ปี 51 ที่ 1.65 แสนล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 1.8 ต่อผลิตภัณฑ์ในประเทศ (จีดีพี) สูงขึ้นจากเดิม
ที่ตั้งไว้ที่ 1.2 แสนล้านบาท เพื่อให้สอดคล้องกับการปรับเพิ่มวงเงิน งปม.รายจ่ายเป็น 1.66 ล้านล้านบาท และคาดการณ์ว่าในด้านรายรับ
จะลดลงจากประมาณการมาอยู่ที่ 1.495 ล้านล้านบาท ทั้งนี้ กรอบ งปม.ปี 51 แบ่งเป็นงบลงทุน 400,168 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 24.1
ของวงเงิน งปม.รายจ่ายรวม เป็นรายจ่ายประจำ 1,214,056 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 73.1 ส่วนรายจ่ายเพื่อชำระคืนต้นเงินกู้
จำนวน 45,775 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 2.8 ของ งปม.รายจ่ายรวม (ผู้จัดการรายวัน, สยามรัฐ)
4. ครม.มีมติอนุมัติภาษีอีโคคาร์เหลือร้อยละ 17 เริ่ม 1 ต.ค.52 รมว.คลัง เปิดเผยว่า ครม.มีมติให้ลดอัตราภาษีสรรพาสามิต
ในรถยนต์ประหยัดพลังงาน (อีโคคาร์) จากร้อยละ 30 มาอยู่ที่ร้อยละ 17 ทั้งนี้ต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไข คือ 1) รถยนต์จะต้องมีกระบอกสูบ
ไม่เกิน 1,300 ซีซี เครื่องยนต์เบนซิน และไม่เกิน 1,400 ซีซี ในเครื่องยนต์ดีเซล 2) จะต้องเป็นรถยนต์ที่กินน้ำมันไม่เกิน 20 กม./ลิตร
ตามมาตรฐานยูโร 4 และ 3) มีปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ไม่เกิน 120 กรัม/กม.ทั้งนี้ การปรับลดอัตราภาษีสรรพสามิตอีโคคาร์มาอยู่ที่
ร้อยละ 17 นั้นจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.52 อย่างไรก็ตาม ทาง ก.คลังจะประกาศกำหนดอัตราภาษีรถยนต์อีโคคาร์ก็ต่อเมื่อได้รับ
หนังสือยืนยันจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ก.อุตสาหกรรม ว่ามีผู้ได้รับการส่งเสริมการลงทุนผลิตรถยนต์อีโคคาร์
และมีการลงทุนเพื่อผลิตและจำหน่ายอย่างเป็นรูปธรรมแล้วเท่านั้น (บ้านเมือง, ไทยรัฐ, โลกวันนี้, เดลินิวส์, มติชน, แนวหน้า, ข่าวสด)
5. ก.คลังเตรียมขอให้ บ.ทริส เรทติ้ง พิจารณาทบทวนเกณฑ์ชี้วัดด้านรายได้ ปลัด ก.คลัง เปิดเผยว่า ก.คลังจะขอให้
บ.ทริส เรทติ้ง จำกัด พิจารณาทบทวนเกณฑ์ชี้วัดด้านรายได้ เนื่องจากปัจจุบันสถานการณ์เศรษฐกิจได้เปลี่ยนแปลงไปมาก โดยผลิตภัณฑ์ในประเทศ
(จีดีพี) ต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ในเดือน พ.ค.ที่ผ่านมา ก.คลังได้ปรับลดประมาณการเศรษฐกิจปีนี้ลงเหลือร้อยละ 4 โดยมีช่วงคาดการณ์อยู่ที่
ร้อยละ 3.8-4.3 จากเดิมร้อยละ 4.2 สำหรับภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงส่งผลให้การจัดเก็บรายได้ของกรมภาษี โดยเฉพาะกรมสรรพากร
ต่ำกว่าเป้าหมาย ซึ่งจะทำให้ผลการจัดเก็บรายได้สุทธิต่ำกว่าประมาณตามเอกสารงบประมาณตามเอกสาร งปม. แต่กรอบ งปม.รายจ่าย
ที่ตั้งไว้ 1.56 ล้านล้านบาทนั้น คาดว่าหน่วยงานและส่วนราชการต่าง ๆ จะเบิกจ่ายได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ร้อยละ 93 ของกรอบ งปม.
ปี 50 ซึ่งอาจจะทำให้ขาดดุล งปม.มากกว่า 1,462 แสนล้านบาท แต่ยืนยันว่าจะขาดดุลไม่เกินร้อยละ 10 ของ งปม.รายจ่ายและไม่เกิน
ร้อยละ 2 ของจีดีพี (โลกวันนี้)
6. ก.ล.ต.เตือนให้ระมัดระวังในการเข้าไปลงทุนในกองทุนรวม ผอ.ฝ่ายเลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์
และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) แจ้งเตือนต่อประชาชนทั่วไปว่า ให้ระมัดระวังการเข้าไปลงทุนในกองทุนรวม เพราะในปัจจุบันมีกองทุนรวม
เถื่อนระบาดจำนวนมากสูงถึง 20 แห่ง มีประชาชนหลงเชื่อเข้าไปลงทุนแล้วกว่า 30 ราย ทำให้ได้รับความเสียหายจำนวนมาก บางราย
ความเสียหายสูงถึง 6 ล้านบาท จึงเตือนต่อประชาชนให้ตรวจสอบการเข้าไปลงทุนในกองทุนรวมต่าง ๆ อย่างละเอียด และอย่าหลงเชื่อ
เข้าไปลงทุนในกองทุนรวมที่ประกาศว่าจะให้ผลตอบแทนสูงเกิน หรือ โทรศัพท์เข้ามาสอบถามข้อมูลกับ ก.ล.ต.ก่อนตัดสินใจ (เดลินิวส์,
มติชน, แนวหน้า)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1. ยอดค้าปลีกของ Euro zone ในเดือน เม.ย.50 ขยายตัวต่ำกว่าที่คาดไว้ รายงานจากบรัสเซลส์ เมื่อ 5 มิ.ย.50
Eurostat ซึ่งเป็น สนง.สถิติกลางของยุโรปรายงานยอดค้าปลีกใน 13 ประเทศที่ใช้เงินยูโรเป็นเงินสกุลหลักเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.2 เทียบต่อเดือน
และร้อยละ 1.6 เทียบต่อปีในเดือน เม.ย.50 ต่ำกว่าที่ผลสำรวจรอยเตอร์คาดไว้ว่าจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.5 ต่อเดือนและร้อยละ 2.0 ต่อปี
ชี้ให้เห็นว่าผู้บริโภคในหลายประเทศยังระมัดระวังที่จะเพิ่มการใช้จ่ายแม้ว่าตลาดแรงงานดีขึ้นและความเชื่อมั่นของผู้บริโภคเพิ่มสูงขึ้นอยู่ในระดับ
สูงสุดในรอบ 6 ปีในเดือน พ.ค.50 ที่ผ่านมาก็ตาม โดยยอดค้าปลีกในเยอรมนีซึ่งมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดใน Euro zone เพิ่มขึ้นร้อยละ
0.6 ต่อปีในเดือน เม.ย.50 ในขณะที่ฝรั่งเศสซึ่งเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับที่ 2 ยอดค้าปลีกขยายตัวถึงร้อยละ 5.0 ต่อปี แต่ในสเปนยอดค้าปลีก
ขยายตัวเพียงร้อยละ 1.6 ต่อปี หลังจากพุ่งสูงขึ้นถึงร้อยละ 5.2 ต่อปีในเดือนก่อน แต่อย่างไรก็ดี นักวิเคราะห์คาดว่าเศรษฐกิจของ Euro zone
จะยังคงขยายตัวอย่างแข็งแกร่งต่อไป และคาดว่า ธ.กลางยุโรปจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีกร้อยละ 0.25 เป็นร้อยละ 4.0 ต่อปีใน
วันที่ 6 มิ.ย.50 นี้ และมีความเป็นไปได้สูงที่จะขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกครั้งเป็นร้อยละ 4.25 ต่อปีในเดือน ก.ย.50 (รอยเตอร์)
2. คาดว่ายอดค้าปลีกของจีนจะขยายตัวประมาณร้อยละ 14 ในปี 50 รายงานจากปักกิ่ง เมื่อ 6 มิ.ย.50 ก.พาณิชย์ของจีน
คาดว่ายอดค้าปลีกในปี 50 จะขยายตัวประมาณร้อยละ 14 ต่อปี เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 13.7 ต่อปีในปี 49 โดยคาดว่ายอดค้าปลีกในปีนี้จะมีมูลค่า
ถึง 8.7 ล้านล้านหยวนหรือประมาณ 1.1 ล้านล้านดอลลาร์ สรอ. ทั้งนี้ รัฐบาลจีนพยายามที่จะกระตุ้นการบริโภคในประเทศโดยเฉพาะใน
ภาคครัวเรือน เพื่อลดการพึ่งพาการส่งออกและการลงทุน แต่อย่างไรก็ดี การบริโภคยังคงขยายตัวในอัตราต่ำกว่าการลงทุนและการส่งออก
ซึ่งรัฐบาลอ้างว่าเป็นผลมาจากการขาดแคลนมืออาชีพด้านสินเชื่อเพื่อผู้บริโภคซึ่งคาดว่าจะยังคงเป็นปัญหาต่อไปในอนาคตอันใกล้นี้ (รอยเตอร์)
3. PMI ของสิงคโปร์ในเดือน พ.ค.50 เพิ่มขึ้นที่ระดับ 50 สูงขึ้นเล็กน้อยจากเดือนก่อนหน้า รายงานจากสิงคโปร์เมื่อ 5 มิ.ย.50
The Singapore Institute of Purchasing & Materials เปิดเผยผลการสำรวจ Purchasing Managers’ Index (PMI) ซึ่ง
เป็นดัชนีสำหรับชี้วัดการเติบโตของภาคการผลิตสิงคโปร์ว่า เพิ่มขึ้นที่ระดับ 50.0 ในเดือน พ.ค.50 หลังจากที่ในเดือนก่อนหน้าดัชนีฯ ลดลง
เป็นครั้งแรกในรอบปีที่ระดับ 49.7 โดยดัชนีที่อยู่เหนือระดับ 50 บ่งชี้การขยายตัวของภาคการผลิต ขณะที่ดัชนีต่ำกว่าระดับ 50 สะท้อนการ
ชะลอตัวของภาคการผลิต ทั้งนี้ การที่ PMI ขยายตัวเพียงเล็กน้อย เป็นผลจากส่วนประกอบหลักปรับตัวลดลง โดย New orders index
และ New export orders ชะลอลงที่ระดับ 51.1 และ 50.8 ขณะที่ Imports index และ Stocks of finished goods ชะลอลง
ที่ระดับ 50.3 และ 50.5 Electronics sector index ทรงตัวที่ระดับ 51.1 และ Electronic new export orders index
ชะลอลงที่ระดับ 52.9 สำหรับตัวเลขผลผลิตโรงงานของสิงคโปร์ในเดือน เม.ย.50 ขยายตัวอย่างแข็งแกร่งที่ระดับร้อยละ 7.9 เป็นผล
จากการเพิ่มขึ้นของผลผลิตยา และมีการคาดการณ์ว่าภาคการผลิตของสิงคโปร์ในปี 50 จะขยายตัวร้อยละ 5-7 ซึ่งเป็นประมาณครึ่งหนึ่ง
ของการขยายตัวเมื่อปี 49 ซึ่งเป็นช่วงที่เศรษฐกิจโลกขยายตัวอย่างแข็งแกร่งและส่งผลต่อความต้องการสินค้าของสิงคโปร์ อาทิเช่น น้ำมัน
เคมีภัณฑ์ และสินค้าไฮเทค อย่างไรก็ตาม บรรดานักวิเคราะห์ต่างคาดหมายว่า การส่งออกของสิงคโปร์ในช่วงครึ่งหลังปี 50 จะฟื้นตัวขึ้น
จากภาวะชะลอตัวในช่วงครึ่งแรกของปี (รอยเตอร์)
4. ความเชื่อมั่นผู้บริโภคชาวอังกฤษเดือน พ.ค.50 เพิ่มขึ้นสูงสุดในรอบ 1 ปีครึ่ง รายงานจากกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ
เมื่อวันที่ 6 มิ.ย.50 Mortgage Lender Nationwide เปิดเผยผลสำรวจความคิดเห็นประชาชนทั่วไปว่า ความเชื่อมั่นผู้บริโภคชาวอังกฤษ
ในเดือน พ.ค.50 เพิ่มขึ้นอยู่ที่ระดับ 99 จากระดับ 90 ในเดือน เม.ย.50 ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 18 เดือน นับตั้งแต่เดือน พ.ย.49
โดยผลสำรวจเพิ่มขึ้นในช่วงสัปดาห์ที่ Tony Blair นรม. ของอังกฤษประกาศวันที่จะลาออกจากตำแหน่ง และ ธ.กลางอังกฤษปรับขึ้นอัตรา
ดอกเบี้ยนโยบายไปอยู่ที่ระดับร้อยละ 5.5 นอกจากนี้ ผู้บริโภคยังมีความเชื่อมั่นเพิ่มขึ้นเกี่ยวกับตลาดที่อยู่อาศัยแม้ว่าจะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย
ร้อยละ 1 นับตั้งแต่เดือน ส.ค.49 เป็นต้นมา และคาดว่าจะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกในปีนี้ (รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 6 มิ.ย. 50 5 มิ.ย. 50 29 ธ.ค. 49 แหล่งข้อมูล
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 34.491 36.044 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 34.2800/34.6259 35.8601/36.2308 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 3.68469 5.12813 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 760.59/29.95 679.84/9.22 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 10,900/11,000 10,900/11,000 10,750/10,650 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 65.07 64.89 56.48 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล (บาท) 29.99*/25.34** 29.99*/25.34** 26.49/23.34 ปตท.
* ปรับเลดเมื่อ 2 มิ.ย. 50 , ** ปรับเพิ่มเมื่อ 26 เม.ย. 50
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--