สรุปการประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ
วันพฤหัสบดีที่ ๑๗ พฤษภาคม ๒๕๕๐
การประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ครั้งที่ ๒๖/๒๕๕๐ วันพฤหัสบดีที่ ๑๗ พฤษภาคม ๒๕๕๐ เริ่มขึ้นเมื่อเวลา ๑๐.๐๐ นาฬิกา โดยมีนายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ เป็นประธานการประชุม เมื่อสมาชิกฯ มาครบองค์ประชุม ประธานฯ ได้ดำเนินการประชุมตามระเบียบวาระ ดังนี้
๑. เรื่องที่ประธานจะแจ้งต่อที่ประชุม
ประธานฯ กล่าวว่า ตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการกิจการสภา เรื่อง ขอให้ มีการถ่ายทอดทางสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทยช่อง ๑๑ กรมประชาสัมพันธ์ ซึ่งได้อนุญาตให้มีการถ่ายทอดแล้ว
๒. รับรองรายงานการประชุม (ไม่มี)
เรื่องด่วน
- การพิจารณาและเสนอความเห็นเกี่ยวกับร่างรัฐธรรมนูญ พุทธศักราช ….
(ตามข้อบังคับฯ ข้อ ๑๓๐ พร้อมกันนี้ได้เสนอรายงานความเห็นเกี่ยวกับรัฐธรรมนูญ พุทธศักราช …. ของคณะกรรมาธิการวิสามัญการปฏิรูปการเมืองมาด้วยแล้ว)
ประธานฯ แจ้งต่อที่ประชุมว่า หลังจากสมาชิกอภิปรายแล้ว คณะกรรมาธิการฯ จะพิจารณาปรับปรุง หากสมาชิกเห็นร่างสุดท้ายของคณะกรรมาธิการฯ แล้วยังไม่มีการแก้ตามที่ตนเองอภิปรายก็เป็นสิทธิส่วนตัวที่จะเสนอคณะกรรมาธิการยกร่างฯ สภาร่างรัฐธรรมนูญ เป็นการเฉพาะ
โดยนายวิษณุ เครืองาม ประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญการปฏิรูปการเมือง รายงานว่า คณะกรรมาธิการฯ มาจากทุกสาขา มีคณะกรรมาธิการยกร่างฯ มาเป็นส่วนหนึ่งด้วยและได้ตั้งคณะอนุกรรมาธิการ ๔ ชุด ได้แก่ อนุกรรมาธิการว่าด้วยสิทธิเสรีภาพการมีส่วนร่วมของประชาชน อนุกรรมาธิการว่าด้วยสถาบันการเมือง อนุกรรมาธิการว่าด้วยการตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ และ อนุกรรมาธิการว่าด้วยกฎหมายประกอบ ทั้งนี้ยืนยันว่า คณะกรรมาธิการฯ ไม่เคยเดินทางไปประชุม หรือยกร่างนอกราชอาณาจักร นอกจากนี้ตามธรรมเนียมของสภา เมื่อพิจารณากฎหมายต้องแสดง เหตุผลประกอบ ถ้าติก็จะบอกทางแก้ไข ดังนั้นคณะกรรมาธิการฯ เห็นเป็นเอกฉันท์ว่า ถ้าบทบัญญัติใด
ไม่ถูกต้อง ก็ทำตารางเปรียบเทียบและเหตุผล ซึ่งการทำงานทั้งหมดเปิดเผย โปร่งใส ต่อหน้ากรรมาธิการทุกคน พร้อมกล่าวว่า ร่างรัฐธรรมนูญฉบับที่ส่งให้ ๑๒ องค์กร แสดงความเห็นนั้นกรรมาธิการพบ ข้อบกพร่อง ๓ จุด ได้แก่ ๑. หลักคิดหรือปรัชญา ทั้งนี้การร่างรัฐธรรมนูญต้องกำหนดให้ชัดก่อนลงรายมาตรา การร่างเมื่อปี ๔๐ นั้น มีการคิดกันจนตกผลึกก่อนนำกรอบไปถามความเห็นประชาชน แต่การร่างปี ๕๐ กำหนด ๓๖ ประเด็นไปถามประชาชนเลย ทำให้ขาดการมองในภาพรวม ส่งผลให้บางมาตราขัดแย้ง กันเอง ๒. เรื่องหลักภาษาหรือลีลาโวหาร ผู้ร่างต้องตระหนักว่า รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศเป็นแบบอย่างกฎหมายทั้งปวง ดังนั้นต้องคำนึงถึงหลักภาษาและไวยกรณ์ต้องย้อนดูรัฐธรรมนูญ ที่ผ่านมาเขียนอย่างไร บางเรื่องมีหลายนัย แต่ที่ผ่านมาถ้อยคำหลายถ้อยคำก็ตกลงกันเป็นที่ชัดเจน เป็นประเพณีนิยม แต่เมื่อผู้ร่างครั้งนี้เลี่ยงไปใช้คำอีกแบบหนึ่งก็ต้องมีคำอธิบายด้วยว่าทำไมถึงไปใช้ คำนั้น ๆ ๓. หลักการหรือสารัตถะ ซึ่งสำคัญที่สุด แม้ร่างรัฐธรรมนูญจะมี ๒๙๙ มาตรา แต่เป็นการยุบรวมหลายมาตราจากรัฐธรรมนูญ ๔๐ ที่มี ๓๓๖ มาตรา ซึ่งทำให้บางมาตรายาวเกิน ทั้งนี้ปัญหาจริง ๆ คือ ต้องพิจารณาว่า อะไรควรใส่หรือไม่ควรใส่ไว้ในรัฐธรรมนูญ เช่น แนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ เขียนละเอียดมากเกินไป จนอาจมีปัญหาว่า รัฐบาลที่เข้ามาจะคิดนโยบายใหม่ ๆ อะไรมากไปกว่า แนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐได้หรือไม่ หรือการกำหนดให้ออกกฎหมายลูกหลายฉบับภายใน ๑ ปี หลังประกาศใช้รัฐธรรมนูญคำถามคือ หลังประกาศใช้ร่างรัฐธรรมนูญต้องมีการเลือกตั้งใช้เวลายาวนาน ซึ่งอาจมีปัญหาว่าสภาที่มาใหม่จะออกกฎหมายลูกทันเวลาหรือไม่ และในบทเฉพาะกาลจำเป็นหรือไม่ที่ต้องเขียนเพิ่มเติมเพื่อให้การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร หรือการสรรหาสมาชิกวุฒิสภา สามารถครบถ้วนได้ภายใน ๓๐ วัน เพราะในขณะนี้ไม่มีทั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภา ขณะที่การเปิดประชุมรัฐสภาต้องมีทั้ง ๒ สภา แต่หากไม่ระบุให้ชัดเจนก็อาจมีปัญหาทำให้ไม่สามารถเปิดประชุมรัฐสภาได้
จากนั้นที่ประชุมได้อภิปรายเรียงตามหมวดของร่างรัฐธรรมนูญ คนละ ๑๐ นาที เริ่มจาก
หมวด ๑ บททั่วไป
โดยสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติส่วนใหญ่ ต่างอภิปรายสนับสนุนให้บรรจุศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติไว้ ในมาตรา ๒ ของรัฐธรรมนูญ เพราะประเทศมี ๓ สถาบัน คือ ชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ จึงควรบรรจุศาสนาพุทธไว้ในรัฐธรรมนูญ ส่วนศาสนาอื่นเป็นศาสนาที่รัฐต้อง ให้การรับรอง ซึ่งเชื่อว่าจะไม่กระทบต่อปัญหาผู้ก่อการร้าย เพราะไม่ได้มาจากความขัดแย้งทางศาสนา
หมวด ๒ พระมหากษัตริย์
สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ เสนอให้เพิ่มบทบัญญัติ เช่น ห้ามการกล่าวหรือขายข่าว กระทำการในลักษณะใดที่เป็นการเสื่อมเสียในพระมหากษัตริย์ และมีบทบัญญัติรองรับว่า บุคคลที่พบเห็นการกระทำดังกล่าวสามารถฟ้องต่อศาลให้ระงับการกระทำได้ และการห้ามมิให้องคมนตรีเป็น
ที่ปรึกษาในองค์กรใด ๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน รวมถึงห้ามรับผลประโยชน์ค่าตอบแทนอื่นใด นอกเหนือจากที่ได้รับพระมหากรุณาธิคุณด้วย
หมวดที่ ๓ สิทธิและเสรีภาพของชนชาวไทย
สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติกล่าวถึง สิทธิและเสรีภาพในด้านต่าง ๆ อาทิ สิทธิและเสรีภาพของคนพิการที่ควรจะได้รับสิ่งอำนวยความสะดวกอันเป็นสาธารณะมากกวานี้ เพราะการเข้าถึงและการใช้ประโยชน์ได้นั้นมีความสำคัญกว่าการได้รับมากกว่า ทั้งยังกล่าวถึงสิทธิและเสรีภาพทางการศึกษา เห็นว่าร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ไม่ได้ให้ความสำคัญและสนใจในด้านการศึกษาเท่าที่ควร พร้อมทั้งไม่เห็นด้วยกับมาตรา ๔๗ วรรค ๒ ที่กำหนดให้มีองค์กรหนึ่งขึ้นมาจัดสรรคลื่นความถี่ เพราะเดิม กสช. และ กทช. มีอำนาจหน้าที่ที่แตกต่างกัน และมีการตรวจสอบการทำงานซึ่งกันและกัน ดังนั้นจึงไม่สมควรนำมาควบรวมกัน เพราะปัญหาของ กสช. นั้นเป็นเรื่องของการสรรหา จึงไม่ควรแก้ไขด้วยวิธียุบรวม อย่างที่ทางคณะกรรมาธิการยกร่างฯ เขียนบัญญัติไว้ และมาตรา ๔๗ วรรคท้าย ที่ระบุว่า ห้ามผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองเป็นเจ้าของกิจการหรือถือหุ้นในกิจการหนังสือพิมพ์ วิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ หรือกิจการโทรคมนาคม ถือเป็นการจำกัดสิทธิด้านการสื่อสาร เพราะเจ้าของกิจการ สื่อสารย่อมไม่มีสิทธิเข้าร่วมทางการเมืองแล้ว หน่วยงานของรัฐหรือรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ที่กำกับดูแลสถานีโทรทัศน์ เช่น อ.ส.ม.ท. จะขัดแย้งกันหรือไม่
หมวด ๔ หน้าที่ของชนชาวไทย
สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติกล่าวถึงมาตรา ๗๑ เรื่องให้บุคคลควรมีหน้าที่ไปใช้สิทธิเลือกตั้ง ด้วยเหตุผล ๒ ประการ คือ ๑. รัฐควรให้ความรู้และสร้างความสำนึกที่ดีให้กับประชาชนในการไปใช้สิทธิเลือกตั้ง โดยคำนึงถึงประโยนชน์ที่ประชาชนและสังคมโดยส่วนรวม ทั้งได้รับจาก การไปใช้สิทธิมากกว่าการบังคับออกกฎเกณฑ์เพื่อเป็นการตัดสิทธิ์ของผู้ไม่ไปใช้สิทธิเลือกตั้ง ๒. ในการเลือกตั้งแต่ละครั้ง รัฐไม่สามารถอำนวยความสะดวกให้แก่ประชาชนผู้ไปใช้สิทธิ์อย่างกว้างขวางเพียงพอ โดยเฉพาะการเลือกตั้งในต่างประเทศจึงได้ฝากข้อสังเกตต่อประธานฯ
หมวด ๕ แนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ
สมาชิกฯ ได้แสดงความเห็นอย่างกว้างขวางในหลายประเด็น อาทิ ในมาตรา ๘๒ ได้กำหนดเรื่อง แนวนโยบายด้านเศรษฐกิจระบุว่า รัฐต้องส่งเสริมและสนับสนุนให้มีการดำเนินการตามแนวปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง เห็นควรให้ย้ายมาตรา ๘๒ ไปอยู่ในส่วนที่ ๑ ของแนวนโยบายของรัฐ ว่าด้วยบททั่วไป เพื่อใช้บังคับในทุกส่วน ทั้งยังชี้ให้เห็นว่าแนวนโยบายนั้นเป็นสิ่งที่ต้องเปลี่ยนไป ตามกาลเวลา ปัญหาและความต้องการของประชาชน ซึ่งแต่ละช่วงเวลาเปลี่ยนไปตลอดเวลา แต่การเอาแนวนโยบายที่ต้องเปลี่ยนแปลงให้ทันกับเหตุการณ์ ทันกับปัญหามาอยู่ในรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นหลักการพื้นฐานของการเมืองการปกครอง ซึ่งควรมีลักษณะที่ไม่เปลี่ยนแปลงง่าย ๆ ก็อาจจะมีปัญหาทำให้
เกิดความล้าสมัยในเวลาที่ผ่านไป ไม่เหมาะกับเหตุการณ์ ถ้าปฏิบัติไม่ได้ก็จะเป็นปัญหากับรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ขณะเดียวกันถ้าไม่ปฏิบัติตามก็จะทำให้กฎหมายขาดความศักดิ์สิทธิ์ เพราะกฎหมาย รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดถ้าไม่ปฏิบัติตามกฎหมายอื่น ๆ ก็จะขาดความศักดิ์สิทธิ์ไปด้วย
ก่อนที่สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติจะอภิปรายในหมวดที่ ๖ นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ รองประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญการปฏิรูปการเมืองได้ข้อตั้งข้อสังเกตประเด็นแนวนโยบาย พื้นฐานแห่งรัฐว่า ประเทศไทยใช้ระบบวินิยม คือ ถ้าจะผิดกฎหมายไทย ต้องผ่านการออกเป็น พระราชบัญญัติ ซึ่งเป็นตัวเชื่อมพันธกรณีระหว่างประเทศกับระบบกฎหมายไทย ส่วนระบบเอกนิยม พันธกรณีจะมีผลใช้บังคับในศาลประเทศนั้น ๆ โดยตรง คือ รัฐธรรมนูญประเทศนั้น ๆ ต้องยอม สนธิสัญญา ดังนั้นเมื่อไทยใช้ระบบวินิยมอยู่แต่พอมาตราดังกล่าวใช้ระบบเอกนิยม คำถาม คือ ประเทศไทยพร้อมหรือไม่ เพราะเมื่อรัฐธรรมนูญมีผลบังคับใช้จะขัดกับอนุสัญญา ๕ ฉบับ ทันที ดังนั้นกรรมาธิการยกร่างฯ จึงต้องระวังเป็นพิเศษเพื่อชนชาวไทย รัฐบาลไทย เพราะเป็นเรื่องเทคนิคทางกฎหมายที่สำคัญต่ออนาคตบ้านเมือง
หมวด ๖ รัฐสภา
สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติส่วนใหญ่ต่างเห็นตรงกันในการให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรนั้นมาจากการเลือกตั้งแบบรูปแบบเดิม คือ เป็นการเลือกตั้งแบบระบบบัญชีรายชื่อ แทนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบสัดส่วนที่ทางกรรมาธิการยกร่างขึ้น เนื่องจากเห็นว่าในรูปแบบดังกล่าวนั้นยัง ไม่มีความชัดเจนในเรื่องของระบบและหากให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบแบ่งภาค จะทำให้เกิดปัญหาเรื่องของอิทธิพลในภูมิภาคต่าง ๆ ได้ จึงควรใช้วิธีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบระบบบัญชีรายชื่อเช่นเดิม และให้ลดสัดส่วนจาก ๕% ลงเพื่อเป็นการเปิดโอกาสให้พรรคการเมืองขนาดเล็ก เช่นเดียวกับที่มาของสมาชิกวุฒิสภาหรือสมาชิกวุฒิสภาที่เสียงส่วนใหญ่ต้องการ ให้มาจากการเลือกตั้งเช่นเดิมและต้องเปิดโอกาสให้สมาชิกวุฒิสภาสามารถหาเสียงได้เพื่อไม่ให้ไป พึ่งพาฐานเสียงจากพรรคการเมือง
หมวด ๗ การมีส่วนร่วมทางการเมืองโดยตรงของประชาชน
หมวดนี้สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติต้องการเพิ่มข้อความวรรคท้ายของมาตรา ๑๖๐ ว่า ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งในเขตเลือกตั้งใดเห็นว่า สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือสมาชิกวุฒิสภา ผู้นั้นพ้นจากตำแหน่ง ทั้งการเข้าชื่อการลงคะแนนเสียงให้เป็นไปตามกฎหมายบัญญัติ เสนอให้เพิ่มเติมมาตรา ๑๖๐, ๑๐๔ และ ๑๑๔ ว่าด้วยสมาชิกภาพของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา สิ้นสุดลงด้วยการที่ประชาชนลงคะแนนเสียงถอดถอน
หมวด ๘ การเงินการคลังและงบประมาณ
ไม่มีสมาชิกผู้ใดอภิปราย
หมวด ๙ คณะรัฐมนตรี
โดยสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติขอเสนอปรับปรุงถ้อยคำต่อประธานฯ ไปยัง คณะกรรมาธิการ ดังนี้ มาตรา ๑๖๗ พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีคนหนึ่ง และรัฐมนตรีอีกไม่เกิน ๓๕ คน ประกอบเป็นคณะรัฐมนตรี มีหน้าที่ร่วมกันบริหารราชการแผ่นดิน ตัดคำว่า ตามหลักความรับผิดชอบร่วมกันออก และเพิ่มเติมข้อความว่า คณะรัฐมนตรีต้องรับผิดชอบร่วมกัน ตามกฎหมายในมติหรือคำสั่งของคณะรัฐมนตรี เว้นแต่รัฐมนตรีที่ไม่ได้มีส่วนร่วมในมติหรือคำสั่งนั้นหรือได้คัดค้านมตินั้น โดยได้จดแจ้งคำคัดค้านหรือคำสั่งนั้นเป็นลายลักษณ์อักษร
หมวด ๑๐ ศาล
จากมาตรา ๑๕๓ ถึง ๒๒๓ ไม่มีผู้อภิปราย
หมวด ๑๑ องค์กรตามรัฐธรรมนูญ
จากมาตรา ๒๒๔ ถึง ๒๔๙ ซึ่งสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ได้อภิปรายเป็นรายมาตราอย่างกว้างขวางและได้ขอเสนอแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญเกี่ยวกับการปฏิบัติงานของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ซึ่งคณะกรรมาธิการฯ ได้พิจารณาแก้ไขคุณสมบัติการสรรหาและวาระการดำรงตำแหน่งของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ เพื่อให้การปฏิบัติงานมีประสิทธิภาพ เพิ่มอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการเพื่อให้สามารถปฏิบัติงานได้ครอบคลุมได้มากยิ่งขึ้น
โดยสมาชิกฯ ได้อภิปรายเรียงตามหมวดของร่างรัฐธรรมนูญจนจบ
จากนั้นประธานฯ กล่าวว่า คณะกรรมาธิการฯ จะนำข้อสังเกตของสมาชิกฯ ไปพิจารณา เรื่องใดที่เห็นด้วยก็จะใส่ไว้เพื่อนำไปแก้ไข ถ้าเรื่องใดยังไม่แน่ใจก็จะส่งความเห็นนั้นไปยังคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ เพื่อจะนำไปประกอบการพิจารณา ซึ่งคณะกรรมาธิการฯ จะทำให้แล้วเสร็จภายในวันที่ ๒๔ พฤษภาคม ๒๕๕๐
ปิดประชุมเวลา ๒๒.๐๐ นาฬิกา
------------------------------------------------
วันพฤหัสบดีที่ ๑๗ พฤษภาคม ๒๕๕๐
การประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ครั้งที่ ๒๖/๒๕๕๐ วันพฤหัสบดีที่ ๑๗ พฤษภาคม ๒๕๕๐ เริ่มขึ้นเมื่อเวลา ๑๐.๐๐ นาฬิกา โดยมีนายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ เป็นประธานการประชุม เมื่อสมาชิกฯ มาครบองค์ประชุม ประธานฯ ได้ดำเนินการประชุมตามระเบียบวาระ ดังนี้
๑. เรื่องที่ประธานจะแจ้งต่อที่ประชุม
ประธานฯ กล่าวว่า ตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการกิจการสภา เรื่อง ขอให้ มีการถ่ายทอดทางสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทยช่อง ๑๑ กรมประชาสัมพันธ์ ซึ่งได้อนุญาตให้มีการถ่ายทอดแล้ว
๒. รับรองรายงานการประชุม (ไม่มี)
เรื่องด่วน
- การพิจารณาและเสนอความเห็นเกี่ยวกับร่างรัฐธรรมนูญ พุทธศักราช ….
(ตามข้อบังคับฯ ข้อ ๑๓๐ พร้อมกันนี้ได้เสนอรายงานความเห็นเกี่ยวกับรัฐธรรมนูญ พุทธศักราช …. ของคณะกรรมาธิการวิสามัญการปฏิรูปการเมืองมาด้วยแล้ว)
ประธานฯ แจ้งต่อที่ประชุมว่า หลังจากสมาชิกอภิปรายแล้ว คณะกรรมาธิการฯ จะพิจารณาปรับปรุง หากสมาชิกเห็นร่างสุดท้ายของคณะกรรมาธิการฯ แล้วยังไม่มีการแก้ตามที่ตนเองอภิปรายก็เป็นสิทธิส่วนตัวที่จะเสนอคณะกรรมาธิการยกร่างฯ สภาร่างรัฐธรรมนูญ เป็นการเฉพาะ
โดยนายวิษณุ เครืองาม ประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญการปฏิรูปการเมือง รายงานว่า คณะกรรมาธิการฯ มาจากทุกสาขา มีคณะกรรมาธิการยกร่างฯ มาเป็นส่วนหนึ่งด้วยและได้ตั้งคณะอนุกรรมาธิการ ๔ ชุด ได้แก่ อนุกรรมาธิการว่าด้วยสิทธิเสรีภาพการมีส่วนร่วมของประชาชน อนุกรรมาธิการว่าด้วยสถาบันการเมือง อนุกรรมาธิการว่าด้วยการตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ และ อนุกรรมาธิการว่าด้วยกฎหมายประกอบ ทั้งนี้ยืนยันว่า คณะกรรมาธิการฯ ไม่เคยเดินทางไปประชุม หรือยกร่างนอกราชอาณาจักร นอกจากนี้ตามธรรมเนียมของสภา เมื่อพิจารณากฎหมายต้องแสดง เหตุผลประกอบ ถ้าติก็จะบอกทางแก้ไข ดังนั้นคณะกรรมาธิการฯ เห็นเป็นเอกฉันท์ว่า ถ้าบทบัญญัติใด
ไม่ถูกต้อง ก็ทำตารางเปรียบเทียบและเหตุผล ซึ่งการทำงานทั้งหมดเปิดเผย โปร่งใส ต่อหน้ากรรมาธิการทุกคน พร้อมกล่าวว่า ร่างรัฐธรรมนูญฉบับที่ส่งให้ ๑๒ องค์กร แสดงความเห็นนั้นกรรมาธิการพบ ข้อบกพร่อง ๓ จุด ได้แก่ ๑. หลักคิดหรือปรัชญา ทั้งนี้การร่างรัฐธรรมนูญต้องกำหนดให้ชัดก่อนลงรายมาตรา การร่างเมื่อปี ๔๐ นั้น มีการคิดกันจนตกผลึกก่อนนำกรอบไปถามความเห็นประชาชน แต่การร่างปี ๕๐ กำหนด ๓๖ ประเด็นไปถามประชาชนเลย ทำให้ขาดการมองในภาพรวม ส่งผลให้บางมาตราขัดแย้ง กันเอง ๒. เรื่องหลักภาษาหรือลีลาโวหาร ผู้ร่างต้องตระหนักว่า รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศเป็นแบบอย่างกฎหมายทั้งปวง ดังนั้นต้องคำนึงถึงหลักภาษาและไวยกรณ์ต้องย้อนดูรัฐธรรมนูญ ที่ผ่านมาเขียนอย่างไร บางเรื่องมีหลายนัย แต่ที่ผ่านมาถ้อยคำหลายถ้อยคำก็ตกลงกันเป็นที่ชัดเจน เป็นประเพณีนิยม แต่เมื่อผู้ร่างครั้งนี้เลี่ยงไปใช้คำอีกแบบหนึ่งก็ต้องมีคำอธิบายด้วยว่าทำไมถึงไปใช้ คำนั้น ๆ ๓. หลักการหรือสารัตถะ ซึ่งสำคัญที่สุด แม้ร่างรัฐธรรมนูญจะมี ๒๙๙ มาตรา แต่เป็นการยุบรวมหลายมาตราจากรัฐธรรมนูญ ๔๐ ที่มี ๓๓๖ มาตรา ซึ่งทำให้บางมาตรายาวเกิน ทั้งนี้ปัญหาจริง ๆ คือ ต้องพิจารณาว่า อะไรควรใส่หรือไม่ควรใส่ไว้ในรัฐธรรมนูญ เช่น แนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ เขียนละเอียดมากเกินไป จนอาจมีปัญหาว่า รัฐบาลที่เข้ามาจะคิดนโยบายใหม่ ๆ อะไรมากไปกว่า แนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐได้หรือไม่ หรือการกำหนดให้ออกกฎหมายลูกหลายฉบับภายใน ๑ ปี หลังประกาศใช้รัฐธรรมนูญคำถามคือ หลังประกาศใช้ร่างรัฐธรรมนูญต้องมีการเลือกตั้งใช้เวลายาวนาน ซึ่งอาจมีปัญหาว่าสภาที่มาใหม่จะออกกฎหมายลูกทันเวลาหรือไม่ และในบทเฉพาะกาลจำเป็นหรือไม่ที่ต้องเขียนเพิ่มเติมเพื่อให้การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร หรือการสรรหาสมาชิกวุฒิสภา สามารถครบถ้วนได้ภายใน ๓๐ วัน เพราะในขณะนี้ไม่มีทั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภา ขณะที่การเปิดประชุมรัฐสภาต้องมีทั้ง ๒ สภา แต่หากไม่ระบุให้ชัดเจนก็อาจมีปัญหาทำให้ไม่สามารถเปิดประชุมรัฐสภาได้
จากนั้นที่ประชุมได้อภิปรายเรียงตามหมวดของร่างรัฐธรรมนูญ คนละ ๑๐ นาที เริ่มจาก
หมวด ๑ บททั่วไป
โดยสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติส่วนใหญ่ ต่างอภิปรายสนับสนุนให้บรรจุศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติไว้ ในมาตรา ๒ ของรัฐธรรมนูญ เพราะประเทศมี ๓ สถาบัน คือ ชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ จึงควรบรรจุศาสนาพุทธไว้ในรัฐธรรมนูญ ส่วนศาสนาอื่นเป็นศาสนาที่รัฐต้อง ให้การรับรอง ซึ่งเชื่อว่าจะไม่กระทบต่อปัญหาผู้ก่อการร้าย เพราะไม่ได้มาจากความขัดแย้งทางศาสนา
หมวด ๒ พระมหากษัตริย์
สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ เสนอให้เพิ่มบทบัญญัติ เช่น ห้ามการกล่าวหรือขายข่าว กระทำการในลักษณะใดที่เป็นการเสื่อมเสียในพระมหากษัตริย์ และมีบทบัญญัติรองรับว่า บุคคลที่พบเห็นการกระทำดังกล่าวสามารถฟ้องต่อศาลให้ระงับการกระทำได้ และการห้ามมิให้องคมนตรีเป็น
ที่ปรึกษาในองค์กรใด ๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน รวมถึงห้ามรับผลประโยชน์ค่าตอบแทนอื่นใด นอกเหนือจากที่ได้รับพระมหากรุณาธิคุณด้วย
หมวดที่ ๓ สิทธิและเสรีภาพของชนชาวไทย
สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติกล่าวถึง สิทธิและเสรีภาพในด้านต่าง ๆ อาทิ สิทธิและเสรีภาพของคนพิการที่ควรจะได้รับสิ่งอำนวยความสะดวกอันเป็นสาธารณะมากกวานี้ เพราะการเข้าถึงและการใช้ประโยชน์ได้นั้นมีความสำคัญกว่าการได้รับมากกว่า ทั้งยังกล่าวถึงสิทธิและเสรีภาพทางการศึกษา เห็นว่าร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ไม่ได้ให้ความสำคัญและสนใจในด้านการศึกษาเท่าที่ควร พร้อมทั้งไม่เห็นด้วยกับมาตรา ๔๗ วรรค ๒ ที่กำหนดให้มีองค์กรหนึ่งขึ้นมาจัดสรรคลื่นความถี่ เพราะเดิม กสช. และ กทช. มีอำนาจหน้าที่ที่แตกต่างกัน และมีการตรวจสอบการทำงานซึ่งกันและกัน ดังนั้นจึงไม่สมควรนำมาควบรวมกัน เพราะปัญหาของ กสช. นั้นเป็นเรื่องของการสรรหา จึงไม่ควรแก้ไขด้วยวิธียุบรวม อย่างที่ทางคณะกรรมาธิการยกร่างฯ เขียนบัญญัติไว้ และมาตรา ๔๗ วรรคท้าย ที่ระบุว่า ห้ามผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองเป็นเจ้าของกิจการหรือถือหุ้นในกิจการหนังสือพิมพ์ วิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ หรือกิจการโทรคมนาคม ถือเป็นการจำกัดสิทธิด้านการสื่อสาร เพราะเจ้าของกิจการ สื่อสารย่อมไม่มีสิทธิเข้าร่วมทางการเมืองแล้ว หน่วยงานของรัฐหรือรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ที่กำกับดูแลสถานีโทรทัศน์ เช่น อ.ส.ม.ท. จะขัดแย้งกันหรือไม่
หมวด ๔ หน้าที่ของชนชาวไทย
สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติกล่าวถึงมาตรา ๗๑ เรื่องให้บุคคลควรมีหน้าที่ไปใช้สิทธิเลือกตั้ง ด้วยเหตุผล ๒ ประการ คือ ๑. รัฐควรให้ความรู้และสร้างความสำนึกที่ดีให้กับประชาชนในการไปใช้สิทธิเลือกตั้ง โดยคำนึงถึงประโยนชน์ที่ประชาชนและสังคมโดยส่วนรวม ทั้งได้รับจาก การไปใช้สิทธิมากกว่าการบังคับออกกฎเกณฑ์เพื่อเป็นการตัดสิทธิ์ของผู้ไม่ไปใช้สิทธิเลือกตั้ง ๒. ในการเลือกตั้งแต่ละครั้ง รัฐไม่สามารถอำนวยความสะดวกให้แก่ประชาชนผู้ไปใช้สิทธิ์อย่างกว้างขวางเพียงพอ โดยเฉพาะการเลือกตั้งในต่างประเทศจึงได้ฝากข้อสังเกตต่อประธานฯ
หมวด ๕ แนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ
สมาชิกฯ ได้แสดงความเห็นอย่างกว้างขวางในหลายประเด็น อาทิ ในมาตรา ๘๒ ได้กำหนดเรื่อง แนวนโยบายด้านเศรษฐกิจระบุว่า รัฐต้องส่งเสริมและสนับสนุนให้มีการดำเนินการตามแนวปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง เห็นควรให้ย้ายมาตรา ๘๒ ไปอยู่ในส่วนที่ ๑ ของแนวนโยบายของรัฐ ว่าด้วยบททั่วไป เพื่อใช้บังคับในทุกส่วน ทั้งยังชี้ให้เห็นว่าแนวนโยบายนั้นเป็นสิ่งที่ต้องเปลี่ยนไป ตามกาลเวลา ปัญหาและความต้องการของประชาชน ซึ่งแต่ละช่วงเวลาเปลี่ยนไปตลอดเวลา แต่การเอาแนวนโยบายที่ต้องเปลี่ยนแปลงให้ทันกับเหตุการณ์ ทันกับปัญหามาอยู่ในรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นหลักการพื้นฐานของการเมืองการปกครอง ซึ่งควรมีลักษณะที่ไม่เปลี่ยนแปลงง่าย ๆ ก็อาจจะมีปัญหาทำให้
เกิดความล้าสมัยในเวลาที่ผ่านไป ไม่เหมาะกับเหตุการณ์ ถ้าปฏิบัติไม่ได้ก็จะเป็นปัญหากับรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ขณะเดียวกันถ้าไม่ปฏิบัติตามก็จะทำให้กฎหมายขาดความศักดิ์สิทธิ์ เพราะกฎหมาย รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดถ้าไม่ปฏิบัติตามกฎหมายอื่น ๆ ก็จะขาดความศักดิ์สิทธิ์ไปด้วย
ก่อนที่สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติจะอภิปรายในหมวดที่ ๖ นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ รองประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญการปฏิรูปการเมืองได้ข้อตั้งข้อสังเกตประเด็นแนวนโยบาย พื้นฐานแห่งรัฐว่า ประเทศไทยใช้ระบบวินิยม คือ ถ้าจะผิดกฎหมายไทย ต้องผ่านการออกเป็น พระราชบัญญัติ ซึ่งเป็นตัวเชื่อมพันธกรณีระหว่างประเทศกับระบบกฎหมายไทย ส่วนระบบเอกนิยม พันธกรณีจะมีผลใช้บังคับในศาลประเทศนั้น ๆ โดยตรง คือ รัฐธรรมนูญประเทศนั้น ๆ ต้องยอม สนธิสัญญา ดังนั้นเมื่อไทยใช้ระบบวินิยมอยู่แต่พอมาตราดังกล่าวใช้ระบบเอกนิยม คำถาม คือ ประเทศไทยพร้อมหรือไม่ เพราะเมื่อรัฐธรรมนูญมีผลบังคับใช้จะขัดกับอนุสัญญา ๕ ฉบับ ทันที ดังนั้นกรรมาธิการยกร่างฯ จึงต้องระวังเป็นพิเศษเพื่อชนชาวไทย รัฐบาลไทย เพราะเป็นเรื่องเทคนิคทางกฎหมายที่สำคัญต่ออนาคตบ้านเมือง
หมวด ๖ รัฐสภา
สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติส่วนใหญ่ต่างเห็นตรงกันในการให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรนั้นมาจากการเลือกตั้งแบบรูปแบบเดิม คือ เป็นการเลือกตั้งแบบระบบบัญชีรายชื่อ แทนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบสัดส่วนที่ทางกรรมาธิการยกร่างขึ้น เนื่องจากเห็นว่าในรูปแบบดังกล่าวนั้นยัง ไม่มีความชัดเจนในเรื่องของระบบและหากให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบแบ่งภาค จะทำให้เกิดปัญหาเรื่องของอิทธิพลในภูมิภาคต่าง ๆ ได้ จึงควรใช้วิธีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบระบบบัญชีรายชื่อเช่นเดิม และให้ลดสัดส่วนจาก ๕% ลงเพื่อเป็นการเปิดโอกาสให้พรรคการเมืองขนาดเล็ก เช่นเดียวกับที่มาของสมาชิกวุฒิสภาหรือสมาชิกวุฒิสภาที่เสียงส่วนใหญ่ต้องการ ให้มาจากการเลือกตั้งเช่นเดิมและต้องเปิดโอกาสให้สมาชิกวุฒิสภาสามารถหาเสียงได้เพื่อไม่ให้ไป พึ่งพาฐานเสียงจากพรรคการเมือง
หมวด ๗ การมีส่วนร่วมทางการเมืองโดยตรงของประชาชน
หมวดนี้สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติต้องการเพิ่มข้อความวรรคท้ายของมาตรา ๑๖๐ ว่า ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งในเขตเลือกตั้งใดเห็นว่า สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือสมาชิกวุฒิสภา ผู้นั้นพ้นจากตำแหน่ง ทั้งการเข้าชื่อการลงคะแนนเสียงให้เป็นไปตามกฎหมายบัญญัติ เสนอให้เพิ่มเติมมาตรา ๑๖๐, ๑๐๔ และ ๑๑๔ ว่าด้วยสมาชิกภาพของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา สิ้นสุดลงด้วยการที่ประชาชนลงคะแนนเสียงถอดถอน
หมวด ๘ การเงินการคลังและงบประมาณ
ไม่มีสมาชิกผู้ใดอภิปราย
หมวด ๙ คณะรัฐมนตรี
โดยสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติขอเสนอปรับปรุงถ้อยคำต่อประธานฯ ไปยัง คณะกรรมาธิการ ดังนี้ มาตรา ๑๖๗ พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีคนหนึ่ง และรัฐมนตรีอีกไม่เกิน ๓๕ คน ประกอบเป็นคณะรัฐมนตรี มีหน้าที่ร่วมกันบริหารราชการแผ่นดิน ตัดคำว่า ตามหลักความรับผิดชอบร่วมกันออก และเพิ่มเติมข้อความว่า คณะรัฐมนตรีต้องรับผิดชอบร่วมกัน ตามกฎหมายในมติหรือคำสั่งของคณะรัฐมนตรี เว้นแต่รัฐมนตรีที่ไม่ได้มีส่วนร่วมในมติหรือคำสั่งนั้นหรือได้คัดค้านมตินั้น โดยได้จดแจ้งคำคัดค้านหรือคำสั่งนั้นเป็นลายลักษณ์อักษร
หมวด ๑๐ ศาล
จากมาตรา ๑๕๓ ถึง ๒๒๓ ไม่มีผู้อภิปราย
หมวด ๑๑ องค์กรตามรัฐธรรมนูญ
จากมาตรา ๒๒๔ ถึง ๒๔๙ ซึ่งสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ได้อภิปรายเป็นรายมาตราอย่างกว้างขวางและได้ขอเสนอแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญเกี่ยวกับการปฏิบัติงานของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ซึ่งคณะกรรมาธิการฯ ได้พิจารณาแก้ไขคุณสมบัติการสรรหาและวาระการดำรงตำแหน่งของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ เพื่อให้การปฏิบัติงานมีประสิทธิภาพ เพิ่มอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการเพื่อให้สามารถปฏิบัติงานได้ครอบคลุมได้มากยิ่งขึ้น
โดยสมาชิกฯ ได้อภิปรายเรียงตามหมวดของร่างรัฐธรรมนูญจนจบ
จากนั้นประธานฯ กล่าวว่า คณะกรรมาธิการฯ จะนำข้อสังเกตของสมาชิกฯ ไปพิจารณา เรื่องใดที่เห็นด้วยก็จะใส่ไว้เพื่อนำไปแก้ไข ถ้าเรื่องใดยังไม่แน่ใจก็จะส่งความเห็นนั้นไปยังคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ เพื่อจะนำไปประกอบการพิจารณา ซึ่งคณะกรรมาธิการฯ จะทำให้แล้วเสร็จภายในวันที่ ๒๔ พฤษภาคม ๒๕๕๐
ปิดประชุมเวลา ๒๒.๐๐ นาฬิกา
------------------------------------------------