ข่าวเศรษฐกิจในประเทศ
1. ธปท.คาดว่าสินเชื่อในระบบ ธพ. ปี 50 จะขยายตัวได้ 8-10% รองผู้ว่าการเสถียรภาพสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)
เปิดเผยว่า ภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงในปีนี้ ส่งผลกระทบทำให้การปล่อยสินเชื่อของ ธพ.มีแนวโน้มชะลอตัวต่อเนื่อง โดยเห็นได้จากข้อมูลเดือน ก.พ.ที่ผ่านมา
ซึ่งสินเชื่อรวมขยายตัวเพียง 3.4% ขณะที่สินเชื่อบางประเภทหดตัวลง เช่น สินเชื่อสาธารณูปโภค สินเชื่อภาคธุรกิจการเงิน เป็นต้น ซึ่งการชะลอตัวของภาวะ
เศรษฐกิจและสินเชื่อเป็นสิ่งที่กดดันต่อความสามารถในการชำระหนี้ของผู้กู้ และกดดันต่อการเกิดเอ็นพีแอลมากขึ้นด้วย ทำให้ ธพ.ต้องมีความระมัดระวังในการ
ปล่อยสินเชื่อให้มากขึ้น อย่างไรก็ตาม การที่แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยปรับลดลงอาจทำให้การขยายตัวของสินเชื่อดีขึ้น เนื่องจากต้นทุนการเงินลดต่ำลง ซึ่งหาก
เศรษฐกิจปีนี้ขยายตัวได้ในอัตรา 4-5% และอัตราเงินเฟ้อขยายตัวได้ 3-4% อาจส่งผลให้สินเชื่อรวมในปีนี้ขยายตัวได้ถึง 8-10% (ข่าวสด)
2. ช่วง 6 เดือนแรกของปี งปม.50 รัฐบาลขาดดุลเงินสดลดลง 11.8% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โฆษก ก.คลัง แถลงฐานะการคลังของ
รัฐบาลตามระบบกระแสเงินสดในช่วง 6 เดือนแรกของปี งปม. 50 สรุปได้ว่า รายได้นำส่งคลังของรัฐบาลมีจำนวนทั้งสิ้น 597,075 ล้านบาท สูงกว่าช่วงเดียวกัน
ปีที่แล้ว 6.8% ในขณะที่รัฐบาลมีการใช้จ่ายเงินทั้งสิ้น 737,447 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว 2.6% ส่งผลให้ดุลเงินงบประมาณในช่วง 6 เดือนแรก
ของปี งปม.50 ขาดดุล 140,372 ล้านบาท โดยขาดดุลลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีที่แล้ว 18,846 ล้านบาทหรือ 11.8% และเมื่อรวมดุลเงิน งปม.กับ
ดุลเงินนอก งปม.ที่ขาดดุลจำนวน 49,061 ล้านบาท ทำให้ดุลการคลัง (ดุลเงินสด) ของรัฐบาลขาดดุลทั้งสิ้น 189,434 ล้านบาท ซึ่งเป็นสัญญาณที่ดีของนโยบาย
การคลังในการเริ่มกระตุ้นเศรษฐกิจไทยในปีนี้ให้เติบโตได้ในระดับที่เหมาะสม (กรุงเทพธุรกิจ, มติชน)
3. ผลประกอบการ ธพ.ในช่วงไตรมาสแรกปี 50 ส่วนใหญ่กำไรลดลง รายงานข่าวแจ้งว่า เมื่อวันที่ 19 เม.ย.ที่ผ่านมา ธพ. 6 แห่งได้ประกาศ
ผลประกอบการงวดไตรมาสที่ 1 สิ้นสุดวันที่ 31 มี.ค.50 โดยมีผลกำไรรวมทั้งสิ้นประมาณ 8,769 ล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่กำไรลดลง โดย ธ.ทหารไทย รายงาน
กำไรลดลงมากที่สุด 92% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยลดลงจาก 2,123 ล้านบาทเหลือ 158 ล้านบาท ขณะที่ ธ.ไทยพาณิชย์ มีกำไร 3,699 ล้านบาท
ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไร 4,222 ล้านบาทหรือลดลง 12.5% และ ธ.นครหลวงไทยมีกำไรสุทธิ 204 ล.บาทลดลงจาก 1,265 ล้านบาท
ส่วนธนาคารขนาดเล็กได้แก่ ธ.ทิสโก้ กำไรลดลง 35% โดยลดจาก 544 ล.บาทเหลือ 355 ล้านบาท ด้าน ธ.กสิกรไทย ยังสามารถรักษาระดับอัตราการ
ทำกำไรให้ขยายตัวได้ต่อเนื่อง โดยมีกำไรสุทธิ 3,876 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 3,615 ล้านบาทหรือเพิ่มขึ้น 7.2% ส่วน
ธ.ไทยธนาคารมีกำไรเพิ่มขึ้น 25% โดยเพิ่มจาก 301 ล้านบาทเป็น 377 ล้านบาท (กรุงเทพธุรกิจ, ไทยโพสต์)
4. หอการค้าไทยเสนอ 7 มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ประธานกรรมการหอการค้าไทยเปิดเผยว่า หอการค้าไทยกังวลกับอัตราการขยายตัว
ของเศรษฐกิจไทยในปีนี้ โดยหากอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ(จีดีพี)ขยายตัวน้อยกว่า 4% ต่อเนื่องมากกว่า 1 ปีขึ้นไป จะส่งผลกระทบกับการจ้างงานของ
ประเทศ แม้ในขณะนี้ยังไม่พบปัญหาเลิกจ้าง แต่การลดกำลังการผลิตในภาคอุตสาหกรรมจะส่งผลกระทบในแง่รายได้ ค่าจ้างแรงงาน และมีผลต่อการใช้จ่าย
ในระดับรากหญ้า ส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อประชาชนทั้งประเทศ ทั้งนี้ หอการค้าไทยเสนอให้รัฐบาลเร่งดำเนินการเพื่อกระตุ้นภาวะเศรษฐกิจ 7 ข้อ ได้แก่
1) ขอให้มีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีก 0.5% เพื่อกระตุ้นตลาดและลดต้นทุนของผู้ประกอบการ 2) ให้คงมาตรการกันสำรอง 30% ต่อไป 3) เร่งสร้าง
ความชัดเจนในนโยบายการแก้ไขปัญหามลพิษบริเวณพื้นที่ชายฝั่งทะเลภาคตะวันออก (อีสเทิร์นซีบอร์ด) เพื่อดึงดูดการลงทุนเพิ่ม 4) เร่งแก้ไขปัญหาการส่งออก
เนื่องจากเงินบาทที่แข็งค่าส่งผลกระทบต่อการส่งออกในอนาคต 5) เปิดเสรีการค้า (เอฟทีเอ) กับประเทศอื่นๆ เพิ่ม 6) เร่งรัดการเบิกจ่าย งปม.ของภาครัฐ
และ 7) กระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์ ด้วยการลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ พร้อมลดค่าธรรมเนียมการโอนเพื่อจูงใจให้ประชาชนซื้อบ้าน (กรุงเทพธุรกิจ,
ผู้จัดการรายวัน, ไทยโพสต์)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1. คาดว่าในปีนี้จีนจะปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบายมากกว่า 2 ครั้ง รายงานจากลอนดอนเมื่อวันที่ 19 เม.ย. 50 รอยเตอร์เปิดเผยผลการสำรวจ
นักวิเคราะห์ของธพ. 20 แห่ง รวมทั้งสถาบันวิจัยต่างๆ ใน สรอ. ยุโรป และจีน คาดว่าในปีนี้จีนจะปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบายมากกว่า 2 ครั้งเพื่อสกัด
ภาวะเงินเฟ้อ และชะลอการเติบโตอย่างร้อนแรงของภาวะเศรษฐกิจ โดยคาดว่าจะมีการปรับเพิ่มครั้งแรกในไตรมาสที่ 2/50 และอีกครั้งในไตรมาสที่ 3/50
และอาจมีความเป็นไปได้ที่จะปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบายในวันศุกร์นี้ ทั้งนี้เมื่อเดือนที่แล้ว ธ.กลางจีนได้ปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยทั้งเงินฝากและเงินกู้ยืมร้อยละ 0.27
ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยเงินฝากและเงินกู้ยืมปัจจุบันอยู่ที่ร้อยละ 2.79 และร้อยละ 6.39 ตามลำดับ สำหรับอัตราเงินเฟ้อในเดือน มี.ค.สูงกว่าร้อยละ 3.0
เป็นครั้งแรกในรอบ 2 ปีท่ามกลางความวิตกของทั่วโลกเกี่ยวกับภาวะเงินเฟ้อทั้งๆที่เมื่อเดือนที่แล้วจีนได้ปรับเพิ่มสัดส่วนทุนสำรองที่ธพ.ต้องดำรงไว้เป็นสภาพคล่อง
เป็นครั้งที่ 3 แล้วก็ตาม ขณะเดียวกันนักวิเคราะห์คาดว่าในกลางปีนี้เงินหยวนจะมีค่าอยู่ที่ 7.60 หยวนต่อ 1 ดอลลาร์ สรอ.และจะแข็งค่าขึ้นอยู่ที่ 7.50 หยวน
ต่อ 1 ดอลลาร์ สรอ.ในปลายเดือน ก.ย. ซึ่งสอดคล้องกับผลการสำรวจเมื่อเดือนที่แล้ว. (รอยเตอร์)
2. ในปี 49 ค่าจ้างใน Euro zone สูงขึ้นและมีแนวโน้มจะสูงขึ้นอีกในปี 50 รายงานจากแฟรงค์เฟริท์เมื่อ 19 เม.ย.50 ธ.กลางยุโรปหรือ ECB
รายงานในรายงานเศรษฐกิจประจำเดือน เม.ย.50 ว่าค่าจ้างเฉลี่ยใน 13 ประเทศที่ใช้เงินยูโรเป็นเงินสกุลหลักเพิ่มสูงขึ้นในปี 49 ในขณะที่ประสิทธิภาพใน
การผลิตก็ดีขึ้นในอัตราสูงสุดในรอบกว่า 6 ปีซึ่งมีส่วนช่วยลดแรงกดดันเงินเฟ้อ โดยทั้งค่าแรงและประสิทธิภาพในการผลิตแตกต่างกันออกไปในแต่ละประเทศ
แต่โดยรวมแล้วมีแรงกดดันให้ค่าแรงในภูมิภาคนี้สูงขึ้นอีกจากการขยายตัวทางเศรษฐกิจและอัตราการว่างงานที่ลดลง โดยค่าแรงเฉลี่ยต่อชั่วโมงเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.5
ในไตรมาสสุดท้ายและโดยเฉลี่ยทั้งปี 49 เทียบกับร้อยละ 2.4 ในปี 48 ในขณะเดียวกันประสิทธิภาพในการผลิตก็สูงขึ้น โดยต้นทุนค่าแรงต่อหน่วยซึ่งเป็นค่าแรง
เฉลี่ยที่นายจ้างต้องจ่ายให้คนงานต่อการผลิตสินค้า 1 หน่วยอยู่ในระดับคงที่ในไตรมาสสุดท้ายปี 49 ดีที่สุดในรอบ 9 ปีซึ่งส่งผลให้ต้นทุนค่าแรงเฉลี่ยต่อหน่วยใน
ปี 49 เพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 0.8 ลดลงจากร้อยละ 0.9 ในปี 48 และดัชนีชี้วัดประสิทธิภาพการผลิตโดยรวมของ ECB เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.8 ในไตรมาสสุดท้าย
ปี 49 อยู่ในระดับสูงสุดนับตั้งแต่ปี 43 และเพิ่มขึ้นเฉลี่ยร้อยละ 1.4 ในปี 49 เพิ่มขึ้นในอัตรา 2 เท่าของปี 48 ซึ่งมีส่วนช่วยลดแรงกดดันเงินเฟ้อใน Euro zone
แต่อย่างไรก็ตาม ในคำแถลงต่อสื่อมวลชนครั้งล่าสุด ประธาน ECB ได้ยืนยันความคาดหวังของตลาดที่คาดว่า ECB จะขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายเป็นร้อยละ 4.0
ในเดือน มิ.ย.50 นี้ (รอยเตอร์)
3. ดัชนีราคาผู้ผลิตของเยอรมนีในเดือน มี.ค.50 ลดลงต่ำสุดในรอบ 2 ปีครึ่ง อยู่ที่ระดับร้อยละ 2.5 เทียบต่อปี รายงานจากเบอร์ลิน เมื่อ
19 เม.ย.50 สำนักงานสถิติเยอรมนี เปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้ผลิตของเยอรมนีในเดือน มี.ค.50 ลดลงต่ำสุดในรอบ 2 ปีครึ่ง (ก.ย.47) โดยเพิ่มขึ้นเพียง
ร้อยละ 0.3 เทียบต่อเดือน ขณะที่เมื่อเทียบต่อปีขยายตัวร้อยละ 2.5 ลดลงจากร้อยละ 2.8 ในเดือนก่อนหน้า และหากไม่นับรวมราคาอาหารและพลังงาน
แล้วเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.0 ทั้งนี้ จากผลสำรวจของนักวิเคราะห์โดยรอยเตอร์เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาคาดการณ์ว่า ดัชนีราคาผู้ผลิตจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.4 และ 2.7
เมื่อเทียบต่อเดือนและต่อปีตามลำดับ และเมื่อพิจารณาในรายละเอียดเมื่อเทียบต่อเดือนพบว่า ต้นทุนราคาน้ำมันเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.1 รวมทั้งราคาของแผ่นกระจก
เคมีภัณฑ์ และเหล็กม้วนก็เพิ่มขึ้นด้วย ขณะที่ราคาของเครื่องมือเครื่องใช้ และส่วนประกอบอิเล็กทรอนิกส์ลดลง แต่หากเมื่อเทียบต่อปี ราคาของไม้และเหล็ก
มีราคาสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว อนึ่ง สำหรับดัชนีราคาผู้บริโภคของเยอรมนีในเดือน มี.ค.50 เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.9 เทียบต่อปี หลังจากที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.6 ใน
เดือน ก.พ.50 ขณะที่ Harmonised Price Index (HICP) เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.0 หลังจากที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.9 ในเดือนก่อนหน้า (รอยเตอร์)
4. ญี่ปุ่นเตือนจีนให้ระวังเศรษฐกิจกำลังขยายตัวร้อนแรงเกินไป รายงานจากเมืองอาบู ดาบี ประเทศสหรัฐอาหรับ เอมิเรตส์ เมื่อวันที่ 19 เม.ย.50
Hiroshi Watanabe ผู้ช่วย รมว.คลัง ด้านกิจการต่างประเทศ ของญี่ปุ่น กล่าวว่า เศรษฐกิจของจีนกำลังขยายตัวร้อนแรงเกินไปและทางการจีนก็ไม่ได้ดำเนินการ
เพียงพอที่จะควบคุมการขยายตัวของเศรษฐกิจที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยจีนประกาศตัวเลขการขยายตัวของเศรษฐกิจในไตรมาสแรกปีนี้สูงถึงร้อยละ 11.1
เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 10.4 ในไตรมาส 4 ปีก่อน ขณะที่การลงทุนและการส่งออกก็เพิ่มขึ้นมาก ซึ่งเป็นสัญญาณแสดงให้เห็นว่าไม่ได้มีการควบคุมที่ดีต่อการเติบโตของ
เศรษฐกิจ ส่วนทุนสำรองเงินตราต่างประเทศของจีนที่มียอดสะสมสูงถึง 1.2 ล้านล้านดอลลาร์ สรอ. สูงที่สุดในโลกก็เป็นส่วนหนึ่งของปัญหาเช่นกัน ซึ่งทุนสำรองฯ
ที่เพิ่มขึ้นดังกล่าวมาจากการที่ ธ.กลางของจีนได้พยายามที่จะควบคุมเงินหยวนไม่ให้แข็งค่าขึ้นโดยการซื้อเงินดอลลาร์ สรอ. เกือบทั้งหมดที่ได้จากการเกินดุลการค้า
ที่เพิ่มขึ้น การไหลเข้าของเงินทุนโดยตรงจากต่างประเทศ และการเก็งกำไรในการลงทุน ทำให้มีเงินสดจำนวนมหาศาลไหลเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจและทำให้ราคา
สินทรัพย์เพิ่มขึ้น ซึ่งอาจส่งผลกระทบถึงตลาดการเงิน ภาคอสังหาริมทรัพย์ และตลาดหุ้นในจีนได้ อนึ่ง ธ.กลางของจีนเปิดเผยเมื่อสัปดาห์ก่อนว่าทุนสำรองฯ
ของจีนช่วงเดือน ม.ค. — มี.ค.50 เพิ่มขึ้น 135.7 พันล้านดอลลาร์ สรอ. ไปอยู่ที่ 1.202 ล้านล้านดอลลาร์ สรอ. มากกว่าครึ่งหนึ่งของยอดสะสมที่เพิ่มขึ้น
ตลอดปี 49 ที่มีจำนวน 247.3 พันล้านดอลลาร์ สรอ. ด้าน Wen Jiabao นรม.ของจีน ได้กล่าวในรายงานผ่านเว็บไซต์ของทางการจีนว่าจำเป็นต้องมีการ
ดำเนินการเพื่อป้องกันเศรษฐกิจขยายตัวร้อนแรงเกินไป (รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 20/4/2493 19/4/2550 29/12/2549 แหล่งข้อมูล
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 34.758 36.044 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 34.5413/34.8721 35.8601/36.2308 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 4.16078 5.12813 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 687.23/7.02 679.84/9.22 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 11,200/11,300 11,250/11,350 10,750/10,650 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 61.87 62.56 56.48 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล (บาท) 28.79*/24.94* 28.79*/24.94* 26.49/23.34 ปตท.
* ปรับเพิ่มลิตรละ 40 สตางค์เมื่อ 11 เม.ย. 50
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
1. ธปท.คาดว่าสินเชื่อในระบบ ธพ. ปี 50 จะขยายตัวได้ 8-10% รองผู้ว่าการเสถียรภาพสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)
เปิดเผยว่า ภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงในปีนี้ ส่งผลกระทบทำให้การปล่อยสินเชื่อของ ธพ.มีแนวโน้มชะลอตัวต่อเนื่อง โดยเห็นได้จากข้อมูลเดือน ก.พ.ที่ผ่านมา
ซึ่งสินเชื่อรวมขยายตัวเพียง 3.4% ขณะที่สินเชื่อบางประเภทหดตัวลง เช่น สินเชื่อสาธารณูปโภค สินเชื่อภาคธุรกิจการเงิน เป็นต้น ซึ่งการชะลอตัวของภาวะ
เศรษฐกิจและสินเชื่อเป็นสิ่งที่กดดันต่อความสามารถในการชำระหนี้ของผู้กู้ และกดดันต่อการเกิดเอ็นพีแอลมากขึ้นด้วย ทำให้ ธพ.ต้องมีความระมัดระวังในการ
ปล่อยสินเชื่อให้มากขึ้น อย่างไรก็ตาม การที่แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยปรับลดลงอาจทำให้การขยายตัวของสินเชื่อดีขึ้น เนื่องจากต้นทุนการเงินลดต่ำลง ซึ่งหาก
เศรษฐกิจปีนี้ขยายตัวได้ในอัตรา 4-5% และอัตราเงินเฟ้อขยายตัวได้ 3-4% อาจส่งผลให้สินเชื่อรวมในปีนี้ขยายตัวได้ถึง 8-10% (ข่าวสด)
2. ช่วง 6 เดือนแรกของปี งปม.50 รัฐบาลขาดดุลเงินสดลดลง 11.8% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โฆษก ก.คลัง แถลงฐานะการคลังของ
รัฐบาลตามระบบกระแสเงินสดในช่วง 6 เดือนแรกของปี งปม. 50 สรุปได้ว่า รายได้นำส่งคลังของรัฐบาลมีจำนวนทั้งสิ้น 597,075 ล้านบาท สูงกว่าช่วงเดียวกัน
ปีที่แล้ว 6.8% ในขณะที่รัฐบาลมีการใช้จ่ายเงินทั้งสิ้น 737,447 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว 2.6% ส่งผลให้ดุลเงินงบประมาณในช่วง 6 เดือนแรก
ของปี งปม.50 ขาดดุล 140,372 ล้านบาท โดยขาดดุลลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีที่แล้ว 18,846 ล้านบาทหรือ 11.8% และเมื่อรวมดุลเงิน งปม.กับ
ดุลเงินนอก งปม.ที่ขาดดุลจำนวน 49,061 ล้านบาท ทำให้ดุลการคลัง (ดุลเงินสด) ของรัฐบาลขาดดุลทั้งสิ้น 189,434 ล้านบาท ซึ่งเป็นสัญญาณที่ดีของนโยบาย
การคลังในการเริ่มกระตุ้นเศรษฐกิจไทยในปีนี้ให้เติบโตได้ในระดับที่เหมาะสม (กรุงเทพธุรกิจ, มติชน)
3. ผลประกอบการ ธพ.ในช่วงไตรมาสแรกปี 50 ส่วนใหญ่กำไรลดลง รายงานข่าวแจ้งว่า เมื่อวันที่ 19 เม.ย.ที่ผ่านมา ธพ. 6 แห่งได้ประกาศ
ผลประกอบการงวดไตรมาสที่ 1 สิ้นสุดวันที่ 31 มี.ค.50 โดยมีผลกำไรรวมทั้งสิ้นประมาณ 8,769 ล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่กำไรลดลง โดย ธ.ทหารไทย รายงาน
กำไรลดลงมากที่สุด 92% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยลดลงจาก 2,123 ล้านบาทเหลือ 158 ล้านบาท ขณะที่ ธ.ไทยพาณิชย์ มีกำไร 3,699 ล้านบาท
ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไร 4,222 ล้านบาทหรือลดลง 12.5% และ ธ.นครหลวงไทยมีกำไรสุทธิ 204 ล.บาทลดลงจาก 1,265 ล้านบาท
ส่วนธนาคารขนาดเล็กได้แก่ ธ.ทิสโก้ กำไรลดลง 35% โดยลดจาก 544 ล.บาทเหลือ 355 ล้านบาท ด้าน ธ.กสิกรไทย ยังสามารถรักษาระดับอัตราการ
ทำกำไรให้ขยายตัวได้ต่อเนื่อง โดยมีกำไรสุทธิ 3,876 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 3,615 ล้านบาทหรือเพิ่มขึ้น 7.2% ส่วน
ธ.ไทยธนาคารมีกำไรเพิ่มขึ้น 25% โดยเพิ่มจาก 301 ล้านบาทเป็น 377 ล้านบาท (กรุงเทพธุรกิจ, ไทยโพสต์)
4. หอการค้าไทยเสนอ 7 มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ประธานกรรมการหอการค้าไทยเปิดเผยว่า หอการค้าไทยกังวลกับอัตราการขยายตัว
ของเศรษฐกิจไทยในปีนี้ โดยหากอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ(จีดีพี)ขยายตัวน้อยกว่า 4% ต่อเนื่องมากกว่า 1 ปีขึ้นไป จะส่งผลกระทบกับการจ้างงานของ
ประเทศ แม้ในขณะนี้ยังไม่พบปัญหาเลิกจ้าง แต่การลดกำลังการผลิตในภาคอุตสาหกรรมจะส่งผลกระทบในแง่รายได้ ค่าจ้างแรงงาน และมีผลต่อการใช้จ่าย
ในระดับรากหญ้า ส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อประชาชนทั้งประเทศ ทั้งนี้ หอการค้าไทยเสนอให้รัฐบาลเร่งดำเนินการเพื่อกระตุ้นภาวะเศรษฐกิจ 7 ข้อ ได้แก่
1) ขอให้มีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีก 0.5% เพื่อกระตุ้นตลาดและลดต้นทุนของผู้ประกอบการ 2) ให้คงมาตรการกันสำรอง 30% ต่อไป 3) เร่งสร้าง
ความชัดเจนในนโยบายการแก้ไขปัญหามลพิษบริเวณพื้นที่ชายฝั่งทะเลภาคตะวันออก (อีสเทิร์นซีบอร์ด) เพื่อดึงดูดการลงทุนเพิ่ม 4) เร่งแก้ไขปัญหาการส่งออก
เนื่องจากเงินบาทที่แข็งค่าส่งผลกระทบต่อการส่งออกในอนาคต 5) เปิดเสรีการค้า (เอฟทีเอ) กับประเทศอื่นๆ เพิ่ม 6) เร่งรัดการเบิกจ่าย งปม.ของภาครัฐ
และ 7) กระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์ ด้วยการลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ พร้อมลดค่าธรรมเนียมการโอนเพื่อจูงใจให้ประชาชนซื้อบ้าน (กรุงเทพธุรกิจ,
ผู้จัดการรายวัน, ไทยโพสต์)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1. คาดว่าในปีนี้จีนจะปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบายมากกว่า 2 ครั้ง รายงานจากลอนดอนเมื่อวันที่ 19 เม.ย. 50 รอยเตอร์เปิดเผยผลการสำรวจ
นักวิเคราะห์ของธพ. 20 แห่ง รวมทั้งสถาบันวิจัยต่างๆ ใน สรอ. ยุโรป และจีน คาดว่าในปีนี้จีนจะปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบายมากกว่า 2 ครั้งเพื่อสกัด
ภาวะเงินเฟ้อ และชะลอการเติบโตอย่างร้อนแรงของภาวะเศรษฐกิจ โดยคาดว่าจะมีการปรับเพิ่มครั้งแรกในไตรมาสที่ 2/50 และอีกครั้งในไตรมาสที่ 3/50
และอาจมีความเป็นไปได้ที่จะปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบายในวันศุกร์นี้ ทั้งนี้เมื่อเดือนที่แล้ว ธ.กลางจีนได้ปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยทั้งเงินฝากและเงินกู้ยืมร้อยละ 0.27
ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยเงินฝากและเงินกู้ยืมปัจจุบันอยู่ที่ร้อยละ 2.79 และร้อยละ 6.39 ตามลำดับ สำหรับอัตราเงินเฟ้อในเดือน มี.ค.สูงกว่าร้อยละ 3.0
เป็นครั้งแรกในรอบ 2 ปีท่ามกลางความวิตกของทั่วโลกเกี่ยวกับภาวะเงินเฟ้อทั้งๆที่เมื่อเดือนที่แล้วจีนได้ปรับเพิ่มสัดส่วนทุนสำรองที่ธพ.ต้องดำรงไว้เป็นสภาพคล่อง
เป็นครั้งที่ 3 แล้วก็ตาม ขณะเดียวกันนักวิเคราะห์คาดว่าในกลางปีนี้เงินหยวนจะมีค่าอยู่ที่ 7.60 หยวนต่อ 1 ดอลลาร์ สรอ.และจะแข็งค่าขึ้นอยู่ที่ 7.50 หยวน
ต่อ 1 ดอลลาร์ สรอ.ในปลายเดือน ก.ย. ซึ่งสอดคล้องกับผลการสำรวจเมื่อเดือนที่แล้ว. (รอยเตอร์)
2. ในปี 49 ค่าจ้างใน Euro zone สูงขึ้นและมีแนวโน้มจะสูงขึ้นอีกในปี 50 รายงานจากแฟรงค์เฟริท์เมื่อ 19 เม.ย.50 ธ.กลางยุโรปหรือ ECB
รายงานในรายงานเศรษฐกิจประจำเดือน เม.ย.50 ว่าค่าจ้างเฉลี่ยใน 13 ประเทศที่ใช้เงินยูโรเป็นเงินสกุลหลักเพิ่มสูงขึ้นในปี 49 ในขณะที่ประสิทธิภาพใน
การผลิตก็ดีขึ้นในอัตราสูงสุดในรอบกว่า 6 ปีซึ่งมีส่วนช่วยลดแรงกดดันเงินเฟ้อ โดยทั้งค่าแรงและประสิทธิภาพในการผลิตแตกต่างกันออกไปในแต่ละประเทศ
แต่โดยรวมแล้วมีแรงกดดันให้ค่าแรงในภูมิภาคนี้สูงขึ้นอีกจากการขยายตัวทางเศรษฐกิจและอัตราการว่างงานที่ลดลง โดยค่าแรงเฉลี่ยต่อชั่วโมงเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.5
ในไตรมาสสุดท้ายและโดยเฉลี่ยทั้งปี 49 เทียบกับร้อยละ 2.4 ในปี 48 ในขณะเดียวกันประสิทธิภาพในการผลิตก็สูงขึ้น โดยต้นทุนค่าแรงต่อหน่วยซึ่งเป็นค่าแรง
เฉลี่ยที่นายจ้างต้องจ่ายให้คนงานต่อการผลิตสินค้า 1 หน่วยอยู่ในระดับคงที่ในไตรมาสสุดท้ายปี 49 ดีที่สุดในรอบ 9 ปีซึ่งส่งผลให้ต้นทุนค่าแรงเฉลี่ยต่อหน่วยใน
ปี 49 เพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 0.8 ลดลงจากร้อยละ 0.9 ในปี 48 และดัชนีชี้วัดประสิทธิภาพการผลิตโดยรวมของ ECB เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.8 ในไตรมาสสุดท้าย
ปี 49 อยู่ในระดับสูงสุดนับตั้งแต่ปี 43 และเพิ่มขึ้นเฉลี่ยร้อยละ 1.4 ในปี 49 เพิ่มขึ้นในอัตรา 2 เท่าของปี 48 ซึ่งมีส่วนช่วยลดแรงกดดันเงินเฟ้อใน Euro zone
แต่อย่างไรก็ตาม ในคำแถลงต่อสื่อมวลชนครั้งล่าสุด ประธาน ECB ได้ยืนยันความคาดหวังของตลาดที่คาดว่า ECB จะขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายเป็นร้อยละ 4.0
ในเดือน มิ.ย.50 นี้ (รอยเตอร์)
3. ดัชนีราคาผู้ผลิตของเยอรมนีในเดือน มี.ค.50 ลดลงต่ำสุดในรอบ 2 ปีครึ่ง อยู่ที่ระดับร้อยละ 2.5 เทียบต่อปี รายงานจากเบอร์ลิน เมื่อ
19 เม.ย.50 สำนักงานสถิติเยอรมนี เปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้ผลิตของเยอรมนีในเดือน มี.ค.50 ลดลงต่ำสุดในรอบ 2 ปีครึ่ง (ก.ย.47) โดยเพิ่มขึ้นเพียง
ร้อยละ 0.3 เทียบต่อเดือน ขณะที่เมื่อเทียบต่อปีขยายตัวร้อยละ 2.5 ลดลงจากร้อยละ 2.8 ในเดือนก่อนหน้า และหากไม่นับรวมราคาอาหารและพลังงาน
แล้วเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.0 ทั้งนี้ จากผลสำรวจของนักวิเคราะห์โดยรอยเตอร์เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาคาดการณ์ว่า ดัชนีราคาผู้ผลิตจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.4 และ 2.7
เมื่อเทียบต่อเดือนและต่อปีตามลำดับ และเมื่อพิจารณาในรายละเอียดเมื่อเทียบต่อเดือนพบว่า ต้นทุนราคาน้ำมันเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.1 รวมทั้งราคาของแผ่นกระจก
เคมีภัณฑ์ และเหล็กม้วนก็เพิ่มขึ้นด้วย ขณะที่ราคาของเครื่องมือเครื่องใช้ และส่วนประกอบอิเล็กทรอนิกส์ลดลง แต่หากเมื่อเทียบต่อปี ราคาของไม้และเหล็ก
มีราคาสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว อนึ่ง สำหรับดัชนีราคาผู้บริโภคของเยอรมนีในเดือน มี.ค.50 เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.9 เทียบต่อปี หลังจากที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.6 ใน
เดือน ก.พ.50 ขณะที่ Harmonised Price Index (HICP) เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.0 หลังจากที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.9 ในเดือนก่อนหน้า (รอยเตอร์)
4. ญี่ปุ่นเตือนจีนให้ระวังเศรษฐกิจกำลังขยายตัวร้อนแรงเกินไป รายงานจากเมืองอาบู ดาบี ประเทศสหรัฐอาหรับ เอมิเรตส์ เมื่อวันที่ 19 เม.ย.50
Hiroshi Watanabe ผู้ช่วย รมว.คลัง ด้านกิจการต่างประเทศ ของญี่ปุ่น กล่าวว่า เศรษฐกิจของจีนกำลังขยายตัวร้อนแรงเกินไปและทางการจีนก็ไม่ได้ดำเนินการ
เพียงพอที่จะควบคุมการขยายตัวของเศรษฐกิจที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยจีนประกาศตัวเลขการขยายตัวของเศรษฐกิจในไตรมาสแรกปีนี้สูงถึงร้อยละ 11.1
เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 10.4 ในไตรมาส 4 ปีก่อน ขณะที่การลงทุนและการส่งออกก็เพิ่มขึ้นมาก ซึ่งเป็นสัญญาณแสดงให้เห็นว่าไม่ได้มีการควบคุมที่ดีต่อการเติบโตของ
เศรษฐกิจ ส่วนทุนสำรองเงินตราต่างประเทศของจีนที่มียอดสะสมสูงถึง 1.2 ล้านล้านดอลลาร์ สรอ. สูงที่สุดในโลกก็เป็นส่วนหนึ่งของปัญหาเช่นกัน ซึ่งทุนสำรองฯ
ที่เพิ่มขึ้นดังกล่าวมาจากการที่ ธ.กลางของจีนได้พยายามที่จะควบคุมเงินหยวนไม่ให้แข็งค่าขึ้นโดยการซื้อเงินดอลลาร์ สรอ. เกือบทั้งหมดที่ได้จากการเกินดุลการค้า
ที่เพิ่มขึ้น การไหลเข้าของเงินทุนโดยตรงจากต่างประเทศ และการเก็งกำไรในการลงทุน ทำให้มีเงินสดจำนวนมหาศาลไหลเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจและทำให้ราคา
สินทรัพย์เพิ่มขึ้น ซึ่งอาจส่งผลกระทบถึงตลาดการเงิน ภาคอสังหาริมทรัพย์ และตลาดหุ้นในจีนได้ อนึ่ง ธ.กลางของจีนเปิดเผยเมื่อสัปดาห์ก่อนว่าทุนสำรองฯ
ของจีนช่วงเดือน ม.ค. — มี.ค.50 เพิ่มขึ้น 135.7 พันล้านดอลลาร์ สรอ. ไปอยู่ที่ 1.202 ล้านล้านดอลลาร์ สรอ. มากกว่าครึ่งหนึ่งของยอดสะสมที่เพิ่มขึ้น
ตลอดปี 49 ที่มีจำนวน 247.3 พันล้านดอลลาร์ สรอ. ด้าน Wen Jiabao นรม.ของจีน ได้กล่าวในรายงานผ่านเว็บไซต์ของทางการจีนว่าจำเป็นต้องมีการ
ดำเนินการเพื่อป้องกันเศรษฐกิจขยายตัวร้อนแรงเกินไป (รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 20/4/2493 19/4/2550 29/12/2549 แหล่งข้อมูล
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 34.758 36.044 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 34.5413/34.8721 35.8601/36.2308 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 4.16078 5.12813 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 687.23/7.02 679.84/9.22 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 11,200/11,300 11,250/11,350 10,750/10,650 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 61.87 62.56 56.48 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล (บาท) 28.79*/24.94* 28.79*/24.94* 26.49/23.34 ปตท.
* ปรับเพิ่มลิตรละ 40 สตางค์เมื่อ 11 เม.ย. 50
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--