วันนี้ (19 มิ.ย.) ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ แถลงถึงกรณีที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ออกมาพูดในรายการนายกฯ ทักษิณคุยกับประชาชนว่าการตรวจสอบทุจริตเครื่องตรวจสอบวัตถุระเบิดซีทีเอ็กซ์ได้จบลงแล้ว โดยการยกจดหมายจากสหรัฐฯ มาอ้างว่าไม่มีการทุจริตว่า คำพูดของนายกฯ นั้นเป็นการสร้างความเข้าใจผิดและเบี่ยงเบนประเด็นโดยใช้หนังสือของสหรัฐฯ มาชี้แจง เพราะหนังสือของสหรัฐฯ ระบุเพียงว่าไม่เจอหลักฐานที่บ่งชี้ว่ามีการจ่ายเงิน แต่ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีการทุจริตและรับสินบน ซึ่งพรรคเห็นว่ารัฐบาลควรจะสอบสวนต่อไป แม้นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี จะบอกว่าเรื่องนี้ไม่มีอะไรแล้ว เพราะเนื้อหาในจดหมายของสหรัฐฯ พร้อมที่จะแลกเปลี่ยนข้อมูลหลักฐานกับรัฐบาลไทย ซึ่งแสดงให้เห็นว่ามีหลักฐานการทุจริตในเรื่องนี้ พรรคประชาธิปัตย์จึงอยากถามว่า รัฐบาลไทยได้มีการแลกเปลี่ยนหลักฐานกับสหรัฐฯ หรือไม่ ในเมื่อสหรัฐฯเปิดช่อง ก็แสดงว่าสหรัฐฯ ต้องมีหลักฐานอะไรบ้างอยู่ในมือ จึงไม่อยากให้รัฐบาลปิดฉากละครโรงใหญ่ให้เร็ว เพราะจากหลักฐานที่นายวิษณุชี้แจงว่านายวี ฮอก กี ตัวแทนผู้บริหารบริษัท อินวิชั่น ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกเป็นผู้ส่งอีเมลไปบริษัทแม่ที่สหรัฐฯ ขอส่วนลดในการขาย เพื่อจ่ายสินบนให้นักการเมืองและเจ้าหน้าที่รัฐ ดังนั้นรัฐบาลต้องสอบสวนต่อว่าเป็นใคร และรัฐบาลจะต้องใช้อำนาจรัฐที่เบ็ดเสร็จเพื่อสอบสวนหาความจริงให้ถึงที่สุด
โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวอีกว่า พรรคประชาธิปัตย์ขอเรียกร้องให้นายตั้งคณะกรรมการอิสระขึ้นมาสอบต่อ โดยเป็นบุคคลที่ได้รับการยอมรับจากสังคมในเรื่องของความซื่อสัตย์สุจริต และไม่ตกอยู่ในอาณัติของรัฐบาล
ซึ่งรัฐบาลไม่ควรหยุดเพียงแค่นี้ และไม่ควรปัดสวะให้พ้นตัวหรือปัดความชั่วให้พ้นรัฐบาล เพราะการออกมาพูดของนายวิษณุที่ระบุว่ามีคณะกรรมาธิการชุดต่างๆ ในสภาตรวจสอบอยู่แล้ว ถือเป็นการส่งสัญญาณที่ไม่ถูกต้อง ในเมื่อรัฐบาลประกาศนโยบายประกาศทำสงครามกับคอร์รัปชัน ก็ต้องทำเรื่องนี้ให้กระจ่างก็จะเป็นผลดีต่อรัฐบาลเอง
ส่วนกรณีที่ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รมว.คมนาคม ระบุว่าสามารถชี้แจงได้ทุกประเด็นหากฝ่ายค้านไม่เล่นเกมการเมืองนั้น นายองอาจกล่าวว่า การอภิปรายฯ ของฝ่ายค้านไม่ได้เป็นเกมการเมืองหรือเพื่อต้องการล้มล้างรัฐบาล หรือกลั่นแกล้งนายสุริยะ แต่ฝ่ายค้านพูดจากข้อมูลพยานหลักฐานและเอกสารที่ปรากฏขึ้นจริงจากความย่ามใจของเจ้าหน้าที่รัฐในการบริหารโครงการที่คิดว่าภายใต้อำนาจเบ็ดเสร็จจะไม่มีเรื่องการออกมาแฉข้อมูลเกิดขึ้น ซึ่งพรรคฝ่ายค้านจะทำให้เห็นว่ามีฝ่ายการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้องกับโครงการซีทีเอ็กซ์อย่างไรบ้าง
นายองอาจ กล่าวอีกว่า ส่วนกรณีที่นายสุริยะร่วมรับประทานอาหารกับ ส.ว.นั้นก็ไม่ได้ทำให้พรรคกังวลใจ เพราะการทำหน้าที่ของ ส.ว.และฝ่ายค้านเป็นคนละประเด็นกัน ซึ่งพรรคไม่สนใจ แต่ทั้งหมดเป็นความพยายามของรัฐบาลที่ดิ้นหาทางออก และเล่นเกมทำลายน้ำหนักข้อมูลของพรรคฝ่ายค้าน ซึ่งเชื่อว่าการกระทำของรัฐบาลจะเป็นการทำลายน้ำหนักความน่าเชื่อถือของรัฐบาลเอง เพราะได้ลดลงเรื่อยๆ ตั้งแต่มีการเปิดประเด็นเรื่องทุจริตซีทีเอ็กซ์ ทั้งนี้ พรรคประชาธิปัตย์ไม่หวั่นไหวและจะเดินหน้าอภิปรายอย่างเต็มที่ ส่วนกรณีที่นายสุริยะส่งคนไปล็อบบี้นายบรรหาร ศิลปอาชา หัวหน้าพรรคชาติไทยนั้น คงไม่มีผลต่อการอภิปรายของฝ่ายค้าน เพราะพรรคประชาธิปัตย์เชื่อว่ามั่นว่าพรรคชาติไทย โดยเฉพาะตัวนายบรรหารเองจะทำหน้าที่ในการอภิปรายเต็ม 100 เปอร์เซ็นต์อย่างแน่นอน เพราะที่ผ่านมาก็ได้มีการติดต่อแลกเปลี่ยนข้อมูลกันตลอด
เมื่อถามถึงกรณีที่รัฐบาลตั้งคณะทำงานพิเศษเพื่อตรวจสอบการทุจริตคอร์รัปชันควบคู่ไปกับ ป.ป.ช.โดยรายงานตรงต่อนายกฯ นั้น นายองอาจกล่าวว่า ขอตั้งข้อสังเกตต่อคณะกรรมการชุดนี้ว่าซ้ำซ้อนกับคณะกรรมการเพื่อทำหน้าที่สนับสนุนและติดตามการดำเนินการด้านการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ตามนโยบายของคณะรัฐมนตรี (ปท.) ซึ่งรัฐบาลไม่จำเป็นต้องตั้งขึ้นมาใหม่ เพราะจากการตรวจสอบของพรรคประชาธิปัตย์พบว่า การตั้ง ปท.ขึ้นมาก็ไม่ได้มีการดำเนินการสอบทุจริตอย่างจริงจัง แต่การตั้งคณะกรรมการขึ้นมาใหม่เพื่อต้องการให้เห็นว่ารัฐบาลเอาจริงเอาจังกับการปราบทุจริต ซึ่งความจริงไม่เป็นเช่นนั้น เพราะหากรัฐบาลมีความจริงใจก็ต้องคณะกรรมการสอบซีทีเอ็กซ์ครั้งใหญ่ ซึ่งทุกครั้งที่มีการทุจริตเกิดขึ้นในรัฐบาลชุดนี้ รัฐบาลก็ทำขึงขังตั้งคณะกรรมการขึ้นมาสอบทุจริต แต่ไม่เห็นมีอะไรคืบหน้า
“ที่สำคัญ นายกฯบอกว่าคณะทำงานดังกล่าวมาจากคนนอก นักธุรกิจ และข้าราชการ จึงอยากถามว่าหากคณะกรรมการชุดนี้ตรวจพบว่ามีนายกฯ และบริวารเกี่ยวข้องกับการทุจริตจะกล้ารายงานตรงต่อนายกฯ หรือไม่ และในรายงานนั้นนายกฯจะจัดการอย่างไรกับบริวาร และตัวนายกฯเองที่เกี่ยวข้อง จึงเห็นว่าการตั้งคณะกรรมการชุดนี้เป็นชุดตีเมืองขึ้นเพื่อร่วมมือกับข้าราชการที่กระทำการทุจริต ดังนั้น หากรัฐบาลจริงใจจะต้องไม่แทรกแซงการทำงานขององค์กรอิสระโดยเฉพาะ ป.ป.ช. ซึ่งต้องให้อิสระเต็มที่เหมือนกับ ป.ป.ช.ชุดแรก ส่วนกรรมการชุดนี้จะตั้งหรือไม่ตั้งไม่สำคัญ เพราะถ้าหัวไม่ส่ายหางก็คงไม่กระดิก จึงเป็นเรื่องยากต่อการปราบปรามการทุจริตที่เกิดขึ้นในรัฐบาลชุดนี้” นายองอาจกล่าว
ส่วนกรณีที่ นายเสนาะ เทียนทอง ประธานที่ปรึกษาพรรคไทยรักไทย ออกมาเปิดโปงการทุจริตในรัฐบาล โดยระบุว่า 1.มีการใช้อำนาจเบ็ดเสร็จภายในพรรคไทยรักไทย 2.มีการทุจริตคอร์รัปชัน 3.มีการซื้อเสียงล่วงหน้า และ 4.เกิดปัญหาหมักหมมในรัฐบาลนั้น พรรคประชาธิปัตย์จะไม่เข้าไปก้าวก่ายในเรื่องอำนาจเบ็ดเสร็จในพรรคไทยรักไทย เพราะขึ้นอยู่กับการบริหารจัดการเอง แต่ใน 3 ประเด็นหลัง พรรคประชาธิปัตย์เชื่อว่าสิ่งที่นายเสนาะระบุนั้นมีมูล เนื่องจากนายเสนาะมีความอาวุโสในพรรค จึงน่าจะรู้ข้อมูลต่างๆ ดี โดยเฉพาะการทุจริตกล้ายาง ทุจริตลำไย และปัญหาซีทีเอ็กซ์ ดังนั้น อยากให้นายกฯ และรัฐบาลนำข้อมูลของนายเสนาะไปแก้ไขปัญหา และจัดการกับการทุจริตคอร์รัปชัน
เมื่อถามว่า ที่นายเสนาะระบุว่ามีการซื้อเสียงล่วงหน้าผ่านโครงการเอสเอ็มแอล นายองอาจกล่าวว่า พรรคประชาธิปัตย์อยากเรียกร้องให้ กกต.เข้าไปตรวจสอบ ไม่ควรนิ่งเฉย เพราะคำพูดของนายเสนาะถือเป็นพยาน และหลักฐานชิ้นสำคัญในการสืบสวนสอบสวนหาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการทุจริตการเลือกตั้งที่ผ่านมา เพื่อให้เกิดความโปร่งใสและยุติธรรม จึงเชื่อว่านายเสนาะพูดความจริง ไม่ได้โกหกเหมือนกับที่หลายคนพยายามออกมาปฏิเสธ เพราะหากไม่เป็นความจริงนายเสนาะคงออกมาปฏิเสธแล้ว แต่ขณะนี้ยังอยู่เฉยๆ ไม่ได้ออกมาปฏิเสธแต่อย่างใด “เมื่อปีที่ผ่านมา กกต.บอกว่าโครงการเอสเอ็มแอลเป็นโครงการที่ชาญฉลาดในการบริหารงบประมาณ แต่ปีนี้มีคนออกมาให้ข้อมูลซึ่งเป็นข้อมูลใหม่ กกต.ก็น่าจะรีบลงไปดำเนินการ ไม่ต้องรอให้ใครไปแจ้ง และถ้าหาก กกต.ยังมองไม่เห็น ก็ต้องไปวัดสายตากันแล้วว่าสายตาสั้นหรือตาบอดกันแน่ หรือสายตายาวเกินกว่าที่จะมองไม่เห็นอะไรเลย” นายองอาจกล่าว
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 19 มิ.ย. 2548--จบ--
โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวอีกว่า พรรคประชาธิปัตย์ขอเรียกร้องให้นายตั้งคณะกรรมการอิสระขึ้นมาสอบต่อ โดยเป็นบุคคลที่ได้รับการยอมรับจากสังคมในเรื่องของความซื่อสัตย์สุจริต และไม่ตกอยู่ในอาณัติของรัฐบาล
ซึ่งรัฐบาลไม่ควรหยุดเพียงแค่นี้ และไม่ควรปัดสวะให้พ้นตัวหรือปัดความชั่วให้พ้นรัฐบาล เพราะการออกมาพูดของนายวิษณุที่ระบุว่ามีคณะกรรมาธิการชุดต่างๆ ในสภาตรวจสอบอยู่แล้ว ถือเป็นการส่งสัญญาณที่ไม่ถูกต้อง ในเมื่อรัฐบาลประกาศนโยบายประกาศทำสงครามกับคอร์รัปชัน ก็ต้องทำเรื่องนี้ให้กระจ่างก็จะเป็นผลดีต่อรัฐบาลเอง
ส่วนกรณีที่ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รมว.คมนาคม ระบุว่าสามารถชี้แจงได้ทุกประเด็นหากฝ่ายค้านไม่เล่นเกมการเมืองนั้น นายองอาจกล่าวว่า การอภิปรายฯ ของฝ่ายค้านไม่ได้เป็นเกมการเมืองหรือเพื่อต้องการล้มล้างรัฐบาล หรือกลั่นแกล้งนายสุริยะ แต่ฝ่ายค้านพูดจากข้อมูลพยานหลักฐานและเอกสารที่ปรากฏขึ้นจริงจากความย่ามใจของเจ้าหน้าที่รัฐในการบริหารโครงการที่คิดว่าภายใต้อำนาจเบ็ดเสร็จจะไม่มีเรื่องการออกมาแฉข้อมูลเกิดขึ้น ซึ่งพรรคฝ่ายค้านจะทำให้เห็นว่ามีฝ่ายการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้องกับโครงการซีทีเอ็กซ์อย่างไรบ้าง
นายองอาจ กล่าวอีกว่า ส่วนกรณีที่นายสุริยะร่วมรับประทานอาหารกับ ส.ว.นั้นก็ไม่ได้ทำให้พรรคกังวลใจ เพราะการทำหน้าที่ของ ส.ว.และฝ่ายค้านเป็นคนละประเด็นกัน ซึ่งพรรคไม่สนใจ แต่ทั้งหมดเป็นความพยายามของรัฐบาลที่ดิ้นหาทางออก และเล่นเกมทำลายน้ำหนักข้อมูลของพรรคฝ่ายค้าน ซึ่งเชื่อว่าการกระทำของรัฐบาลจะเป็นการทำลายน้ำหนักความน่าเชื่อถือของรัฐบาลเอง เพราะได้ลดลงเรื่อยๆ ตั้งแต่มีการเปิดประเด็นเรื่องทุจริตซีทีเอ็กซ์ ทั้งนี้ พรรคประชาธิปัตย์ไม่หวั่นไหวและจะเดินหน้าอภิปรายอย่างเต็มที่ ส่วนกรณีที่นายสุริยะส่งคนไปล็อบบี้นายบรรหาร ศิลปอาชา หัวหน้าพรรคชาติไทยนั้น คงไม่มีผลต่อการอภิปรายของฝ่ายค้าน เพราะพรรคประชาธิปัตย์เชื่อว่ามั่นว่าพรรคชาติไทย โดยเฉพาะตัวนายบรรหารเองจะทำหน้าที่ในการอภิปรายเต็ม 100 เปอร์เซ็นต์อย่างแน่นอน เพราะที่ผ่านมาก็ได้มีการติดต่อแลกเปลี่ยนข้อมูลกันตลอด
เมื่อถามถึงกรณีที่รัฐบาลตั้งคณะทำงานพิเศษเพื่อตรวจสอบการทุจริตคอร์รัปชันควบคู่ไปกับ ป.ป.ช.โดยรายงานตรงต่อนายกฯ นั้น นายองอาจกล่าวว่า ขอตั้งข้อสังเกตต่อคณะกรรมการชุดนี้ว่าซ้ำซ้อนกับคณะกรรมการเพื่อทำหน้าที่สนับสนุนและติดตามการดำเนินการด้านการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ตามนโยบายของคณะรัฐมนตรี (ปท.) ซึ่งรัฐบาลไม่จำเป็นต้องตั้งขึ้นมาใหม่ เพราะจากการตรวจสอบของพรรคประชาธิปัตย์พบว่า การตั้ง ปท.ขึ้นมาก็ไม่ได้มีการดำเนินการสอบทุจริตอย่างจริงจัง แต่การตั้งคณะกรรมการขึ้นมาใหม่เพื่อต้องการให้เห็นว่ารัฐบาลเอาจริงเอาจังกับการปราบทุจริต ซึ่งความจริงไม่เป็นเช่นนั้น เพราะหากรัฐบาลมีความจริงใจก็ต้องคณะกรรมการสอบซีทีเอ็กซ์ครั้งใหญ่ ซึ่งทุกครั้งที่มีการทุจริตเกิดขึ้นในรัฐบาลชุดนี้ รัฐบาลก็ทำขึงขังตั้งคณะกรรมการขึ้นมาสอบทุจริต แต่ไม่เห็นมีอะไรคืบหน้า
“ที่สำคัญ นายกฯบอกว่าคณะทำงานดังกล่าวมาจากคนนอก นักธุรกิจ และข้าราชการ จึงอยากถามว่าหากคณะกรรมการชุดนี้ตรวจพบว่ามีนายกฯ และบริวารเกี่ยวข้องกับการทุจริตจะกล้ารายงานตรงต่อนายกฯ หรือไม่ และในรายงานนั้นนายกฯจะจัดการอย่างไรกับบริวาร และตัวนายกฯเองที่เกี่ยวข้อง จึงเห็นว่าการตั้งคณะกรรมการชุดนี้เป็นชุดตีเมืองขึ้นเพื่อร่วมมือกับข้าราชการที่กระทำการทุจริต ดังนั้น หากรัฐบาลจริงใจจะต้องไม่แทรกแซงการทำงานขององค์กรอิสระโดยเฉพาะ ป.ป.ช. ซึ่งต้องให้อิสระเต็มที่เหมือนกับ ป.ป.ช.ชุดแรก ส่วนกรรมการชุดนี้จะตั้งหรือไม่ตั้งไม่สำคัญ เพราะถ้าหัวไม่ส่ายหางก็คงไม่กระดิก จึงเป็นเรื่องยากต่อการปราบปรามการทุจริตที่เกิดขึ้นในรัฐบาลชุดนี้” นายองอาจกล่าว
ส่วนกรณีที่ นายเสนาะ เทียนทอง ประธานที่ปรึกษาพรรคไทยรักไทย ออกมาเปิดโปงการทุจริตในรัฐบาล โดยระบุว่า 1.มีการใช้อำนาจเบ็ดเสร็จภายในพรรคไทยรักไทย 2.มีการทุจริตคอร์รัปชัน 3.มีการซื้อเสียงล่วงหน้า และ 4.เกิดปัญหาหมักหมมในรัฐบาลนั้น พรรคประชาธิปัตย์จะไม่เข้าไปก้าวก่ายในเรื่องอำนาจเบ็ดเสร็จในพรรคไทยรักไทย เพราะขึ้นอยู่กับการบริหารจัดการเอง แต่ใน 3 ประเด็นหลัง พรรคประชาธิปัตย์เชื่อว่าสิ่งที่นายเสนาะระบุนั้นมีมูล เนื่องจากนายเสนาะมีความอาวุโสในพรรค จึงน่าจะรู้ข้อมูลต่างๆ ดี โดยเฉพาะการทุจริตกล้ายาง ทุจริตลำไย และปัญหาซีทีเอ็กซ์ ดังนั้น อยากให้นายกฯ และรัฐบาลนำข้อมูลของนายเสนาะไปแก้ไขปัญหา และจัดการกับการทุจริตคอร์รัปชัน
เมื่อถามว่า ที่นายเสนาะระบุว่ามีการซื้อเสียงล่วงหน้าผ่านโครงการเอสเอ็มแอล นายองอาจกล่าวว่า พรรคประชาธิปัตย์อยากเรียกร้องให้ กกต.เข้าไปตรวจสอบ ไม่ควรนิ่งเฉย เพราะคำพูดของนายเสนาะถือเป็นพยาน และหลักฐานชิ้นสำคัญในการสืบสวนสอบสวนหาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการทุจริตการเลือกตั้งที่ผ่านมา เพื่อให้เกิดความโปร่งใสและยุติธรรม จึงเชื่อว่านายเสนาะพูดความจริง ไม่ได้โกหกเหมือนกับที่หลายคนพยายามออกมาปฏิเสธ เพราะหากไม่เป็นความจริงนายเสนาะคงออกมาปฏิเสธแล้ว แต่ขณะนี้ยังอยู่เฉยๆ ไม่ได้ออกมาปฏิเสธแต่อย่างใด “เมื่อปีที่ผ่านมา กกต.บอกว่าโครงการเอสเอ็มแอลเป็นโครงการที่ชาญฉลาดในการบริหารงบประมาณ แต่ปีนี้มีคนออกมาให้ข้อมูลซึ่งเป็นข้อมูลใหม่ กกต.ก็น่าจะรีบลงไปดำเนินการ ไม่ต้องรอให้ใครไปแจ้ง และถ้าหาก กกต.ยังมองไม่เห็น ก็ต้องไปวัดสายตากันแล้วว่าสายตาสั้นหรือตาบอดกันแน่ หรือสายตายาวเกินกว่าที่จะมองไม่เห็นอะไรเลย” นายองอาจกล่าว
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 19 มิ.ย. 2548--จบ--