ข่าวเศรษฐกิจในประเทศ
1. ธปท.เปิดเผยถึงภาวะและแนวโน้มเสถียรภาพเศรษฐกิจการเงินในไตรมาส 4 ปี 49 รายงานข่าวจากธนาคารแห่งประเทศไทย
(ธปท.) เปิดเผยถึงภาวะและแนวโน้มเสถียรภาพเศรษฐกิจการเงินในไตรมาส 4 ปี 49 โดยมีสาระสำคัญเกี่ยวกับภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ใน
ไตรมาส 4 ปี 49 ที่ยังคงชะลอตัวลงต่อเนื่อง รวมถึงราคาที่อยู่อาศัยยังอยู่ในทิศทางชะลอตัว จากการอ่อนตัวของการใช้จ่ายภายในประเทศ
และความไม่แน่นอนทางการเมือง โดยอุปสงค์จากสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยชะลอตัว และอุปทานภาคอสังหาริมทรัพย์ก็ชะลอตัวตาม ดังนั้น ความเสี่ยง
ที่จะเกิดฟองสบู่ในตลาดอสังหาริมทรัพย์ยังมีน้อย แต่ในระยะต่อไปที่อัตราดอกเบี้ยอยู่ในทิศทางขาลงและเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว ความเสี่ยงดังกล่าว
อาจจะเพิ่มขึ้น จึงจำเป็นต้องระมัดระวังมิให้ส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพเศรษฐกิจในอนาคต ขณะที่ผู้ว่าการ ธปท. กล่าวถึงภาพรวมเศรษฐกิจ
หลังจาก ธปท.ปรับประมาณการอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจในปี 50 ลดลงเหลือร้อยละ 3.75-4.75 จากเดิมร้อยละ 4-5 คาดว่าการลงทุน
ใหม่ ๆ ของภาคเอกชนจะฟื้นตัวได้ เพราะมีปัจจัยบวกปรับตัวดีขึ้น อาทิเช่น การปรับลดอัตราดอกเบี้ย ราคาน้ำมันที่ปรับตัวลดลง รวมถึงการเร่งรัด
เบิกจ่าย งปม.ของภาครัฐ (ข่าวสด, สยามรัฐ, กรุงเทพธุรกิจ)
2. ธปท.ขอความร่วมมือ ธพ.ให้รายงาน ธุรกรรมเงินตราต่างประเทศที่มีวงเงิน 1 ล้านดอลลาร์ สรอ.ขึ้นไปแบบรายวัน
ผอส.ฝ่ายตลาดการเงินและบริหารเงินสำรอง ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ธปท.ได้ขอความร่วมมือ ธพ.ให้รายงานธุรกรรม
เงินตราต่างประเทศที่มีวงเงิน 1 ล้านดอลลาร์ สรอ.ขึ้นไปแบบรายวัน จากเดิมที่รายงาน 2-3 วัน เพื่อให้ทราบภาวะตลาดเงินตราต่างประเทศ
เร็วขึ้น อย่างไรก็ตาม ธปท.เชื่อว่าจะไม่เป็นการเพิ่มภาระให้แก่ ธพ.แต่อย่างใด เนื่องจากได้หารือกับ ธพ.ต่างไม่ขัดข้อง แม้จะต้องทำงาน
เพิ่มขึ้นบ้างก็ตาม (ผู้จัดการรายวัน, ข่าวสด, โพสต์ทูเดย์)
3. ธปท.เผยกฎหมายทางการเงิน 4 ฉบับจะเสนอ ครม.ได้ภายในเดือน พ.ค.-มิ.ย.50 ผอส.ฝ่ายกฎหมายและคดี ธนาคาร
แห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ขณะนี้กระบวนการพิจารณาร่างกฎหมายทางการเงินทั้ง 4 ฉบับ ประกอบด้วย ร่าง พ.ร.บ.ธุรกิจ
สถาบันการเงิน ร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองเงินฝาก ร่าง พ.ร.บ.ธนาคารแห่งประเทศไทย และร่าง พ.ร.บ.เงินตรา ผ่านการพิจารณาของ
คณะกรรมการกฤษฎีกาเรียบร้อยแล้ว จะเสนอต่อ ครม.ได้ภายในเดือน พ.ค.-มิ.ย.นี้ จากนั้น ครม.จะส่งเรื่องให้สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.)
พิจารณายกร่างให้มีผลบังคับใช้เป็นกฎหมายต่อไป ทั้งนี้ หาก ร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองเงินฝาก มีผลบังคับใช้และดำเนินการจัดตั้งองค์กรเรียบร้อย
กฎหมายได้ลดวงเงินประกันเงินฝากของประชาชนสูงสุดไม่เกิน 1 ล้านบาทภายในระยะ 4 ปี ซึ่งแต่ละปีจะทยอยลดลงจากเริ่มต้น 100 ล้านบาท
ในปีแรก เหลือ 50 ล้านบาทในปีที่สอง 10 ล้านบาทในปีที่สาม และเหลือ 1 ล้านบาทในปีที่สี่ ซึ่งระบบดังกล่าวจะช่วยสร้างความเป็นธรรมให้
กับประชาชนที่ต้องรับภาระภาษีในการจ่ายเงินฝากเต็มจำนวน ให้กับผู้ฝากทุกบัญชี ขณะเดียวกันยังกระตุ้นให้ ธพ.มีวินัยในการทำธุรกิจมากขึ้น
เพราะธนาคารจะต้องนำส่งเงินสมทบเข้าองค์กรดังกล่าวตามความเสี่ยงของตนเอง (มติชน, ข่าวสด, บ้านเมือง, ไทยรัฐ, โพสต์ทูเดย์,
ผู้จัดการรายวัน, กรุงเทพธุรกิจ)
4. ม.หอการค้าปรับลดประมาณการเศรษฐกิจปี 50 อยู่ที่ร้อยละ 3.5-4 ผอ.ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ ม.หอการค้าไทย
กล่าวว่า ศูนย์ฯ ประเมินเศรษฐกิจปี 50 ว่ามีแนวโน้มชะลอตัวลง เนื่องจากการเมืองไทยขาดเสถียรภาพ และมีปัจจัยเสี่ยงรุมเร้าเศรษฐกิจ
ต่อเนื่อง ทั้งราคาน้ำมัน เงินบาทแข็งค่า ความเชื่อมั่นผู้บริโภคและผู้ประกอบการต่ำสุดในรอบ 5 ปี รวมทั้งสถานการณ์ความไม่สงบใน
3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ประกอบกับเศรษฐกิจโลกและปริมาณการค้าของโลกขยายตัวลดลง แม้ว่าจะเป็นอัตราที่ใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมาก็ตาม
อย่างไรก็ตาม ศูนย์ฯ คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจในปี 50 จะมีโอกาสขยายตัวประมาณร้อยละ 3.5-4 โดยในครึ่งปีแรกคาดว่าจะขยายตัว
ร้อยละ 3.4-3.8 ส่วนในครึ่งปีหลังคาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 3.2-4.5 ลดลงจากประมาณการเดิมที่คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะขยายตัว
ร้อยละ 4-4.5 ส่วนการส่งออกคาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 8-10 ลดลงจากเดิมร้อยละ 9-11.5 ส่วนการนำเข้าคาดว่าจะขยายตัว
ร้อยละ 7.5-9.5 ลดลงจากเดิมที่คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 10-12 (แนวหน้า, สยามรัฐ, บ้านเมือง, เดลินิวส์, ไทยรัฐ, กรุงเทพธุรกิจ)
5. ดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบ 5 เดือนอยู่ที่ระดับ 86.8 ประธานสภาอุตสาหกรรม
แห่งประเทศไทย (สอท.) เปิดเผยว่า จากการสำรวจกลุ่มตัวจำนวน 565 ตัวอย่าง ในเดือน มี.ค.50 พบว่า ค่าดัชนีความเชื่อมั่น
ภาคอุตสาหกรรมปรับตัวเพิ่มขึ้นอยู่ที่ระดับ 86.8 จากระดับ 82.7 ในเดือน ก.พ.ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นการปรับเพิ่มขึ้นเป็นครั้งแรกหลังจาก
ที่ค่าดัชนีลดลงอย่างต่อเนื่องติดต่อกันตลอด 5 เดือน ทั้งนี้ ดัชนีความเชื่อมั่นฯ เดือน มี.ค.เป็นเดือนที่ผู้ประกอบการเร่งการผลิตเพิ่มขึ้น
เนื่องจากเดือน เม.ย.เป็นเดือนที่มีวันหยุดมาก และเป็นเดือนที่มีการจับจ่ายของผู้บริโภค ทำให้มียอดการสั่งซื้อและยอดขายในประเทศ
ปรับเพิ่มขึ้นในช่วงเดือน มี.ค.นี้ ส่วนยอดขายต่างประเทศมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นตามฤดูกาลเช่นกัน (แนวหน้า, สยามรัฐ, เดลินิวส์)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1. ยอดการขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกของ สรอ.ในช่วงสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 21 เม.ย.50 ลดลง 20,000 คนจากสัปดาห์
ก่อนหน้า รายงานจากวอชิงตันเมื่อ 26 เม.ย.50 ก.แรงงาน สรอ. เปิดเผยว่า ยอดการขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกของ สรอ.ใน
ช่วงสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 21 เม.ย.50 ลดลงเหลือจำนวน 321,000 คน จากจำนวน 341,000 คนในช่วงสัปดาห์ก่อนหน้า เหนือความคาดหมาย
ของบรรดานักวิเคราะห์ซึ่งคาดว่า ยอดการขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกจะลดลงเหลือจำนวน 330,000 คน โดยนักวิเคราะห์จาก
ก.แรงงานกล่าวว่า ไม่พบปัจจัยผิดปกติที่ส่งผลให้ยอดการขอรับสวัสดิการว่างงานลดลงดังกล่าว สำหรับยอดการขอรับสวัสดิการว่างงานเฉลี่ย
4 สัปดาห์ ซึ่งเป็นดัชนีที่บ่งชี้สถานการณ์ตลาดแรงงานได้แม่นยำกว่า กลับเพิ่มขึ้นเป็นจำนวน 332,000 คน จากจำนวน 329,250 คนในสัปดาห์
ก่อนหน้า เป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่ช่วงต้นเดือน มี.ค.เป็นต้นมา เช่นเดียวกับยอดการขอรับสวัสดิการว่างงานในส่วนที่เคยขอรับสวัสดิการ
ว่างงานครั้งแรกไปแล้วซึ่งเพิ่มขึ้นเป็นจำนวน 2.59 ล้านคนจากจำนวน 2.53 ล้านคนในสัปดาห์ก่อนหน้า เหนือความคาดหมายของนักเศรษฐศาสตร์
ที่คาดว่าจะคงที่ที่ระดับเดิม ทั้งนี้ ตัวเลขการขอรับสวัสดิการว่างงานเป็นดัชนีที่บ่งชี้ถึงการมีงานทำของแรงงาน สรอ. ซึ่งทิศทางของตัวเลข
ยังคงสร้างความกังวลให้กับ ธ.กลาง สรอ.ว่าสถานการณ์แรงงานอาจเป็นอีกปัจจัยที่ก่อให้เกิดผลกระทบต่ออัตราเงินเฟ้อ (รอยเตอร์)
2. อัตราดอกเบี้ยเงินกู้จำนองของ สรอ.ลดลง ณ สัปดาห์ล่าสุด รายงานจากวอชิงตันเมื่อ 26 เม.ย.50 Freddie Mac
เปิดเผยผลการสำรวจอัตราดอกเบี้ยเงินกู้จำนองของ สรอ. ณ สัปดาห์ล่าสุด ว่า อัตราดอกเบี้ยเงินกู้จำนองระยะเวลา 30 ปี ลดลงที่ระดับ
ร้อยละ 6.16 จากระดับ 6.17 ในช่วงสัปดาห์ก่อนหน้า เช่นเดียวกับอัตราดอกเบี้ยเงินกู้จำนองระยะเวลา 15 ปี ซึ่งลดลงที่ระดับร้อยละ 5.87
จากระดับร้อยละ 5.89 และอัตราดอกเบี้ยเงินกู้จำนองระยะเวลา 1 ปี ซึ่งลดลงที่ระดับร้อยละ 5.43 จากร้อยละ 5.45 รวมทั้งอัตราดอกเบี้ย
เงินกู้จำนองทั้ง 3 ประเภทยังคงต่ำกว่าเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนซึ่งอยู่ที่ระดับร้อยละ 6.58, 6.21 และ 5.68 ตามลำดับ ทั้งนี้
จากการที่ภาวะเศรษฐกิจ สรอ.แสดงทิศทางชะลอตัว เนื่องจากยอดการขายบ้านในเดือน มี.ค.ชะลอตัว ประกอบกับความเชื่อมั่นของผู้บริโภค
ในเดือน เม.ย.ลดต่ำลง ล้วนเป็นสาเหตุให้ตลาดประเมินทิศทางการขยายตัวของเศรษฐกิจ สรอ.ในปีนี้ในอัตราที่ชะลอลง ซึ่งส่งผลให้อัตรา
ดอกเบี้ยเงินกู้จำนองทุกประเภทลดลงในช่วงสัปดาห์นี้ (รอยเตอร์)
3. ดัชนีชี้วัดการผลิตของผู้ประกอบการอุตสาหกรรมหรือ PMI ของญี่ปุ่น ลดลงในเดือน เม.ย.50 มาอยู่ในระดับต่ำสุดในรอบกว่า
2 ปี รายงานจากโตเกียว เมื่อ 27 เม.ย.50 ดัชนีชี้วัดการผลิตของผู้ประกอบการอุตสาหกรรมหรือ PMI ของญี่ปุ่นจากผลสำรวจความเห็นของ
ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมกว่า 350 คนลดลงหลังปรับตัวเลขตามฤดูกาลแล้วมาอยู่ที่ระดับ 52.3 ในเดือน เม.ย.50 จากระดับ 52.5 ใน
เดือน มี.ค.50 อยู่ในระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือน ก.พ.48 อย่างไรก็ดีดัชนีดังกล่าวยังอยู่ในระดับสูงกว่า 50 ซึ่งชี้ว่ากำลังขยายตัวเป็นเดือน
ที่ 47 ติดต่อกันแล้ว เช่นเดียวกับดัชนีในส่วนที่ชี้วัดคำสั่งซื้อใหม่ที่ลดลงมาอยู่ที่ระดับ 50.8 ต่ำสุดนับตั้งแต่เดือน ม.ค.48 บ่งชี้ว่าความต้องการ
ในประเทศเริ่มชะลอตัวลง ในขณะที่ดัชนีในส่วนที่ชี้วัดผลผลิตซึ่งใช้ประมาณการผลผลิตอุตสาหกรรมกลับเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 54.2 จากระดับ
53.5 ในเดือน มี.ค.50 อยู่ในระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือน พ.ย.49 โดยส่วนใหญ่เป็นการขยายตัวของอุตสาหกรรมผลิตเสื้อผ้า สิ่งทอและ
วิศวกรรมเครื่องจักรกล จากแนวโน้มที่ขัดแย้งกันระหว่างผลผลิตและคำสั่งซื้อใหม่ทำให้จำนวนคำสั่งซื้อค้างส่งมอบลูกค้าลดลง โดยดัชนีชี้วัด
งานค้างส่งมอบลูกค้าลดลงเป็นเดือนที่ 3 ติดต่อกันมาอยู่ที่ระดับ 48.0 ในเดือน เม.ย.50 ทั้งนี้ผู้ผลิตยังคงจ้างแรงงานเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
เพื่อเพิ่มการผลิตให้ทันต่อความต้องการของลูกค้า แต่อัตราการขยายตัวของการจ้างงานลดลงมาอยู่ในระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือน ม.ค.49
โดยดัชนีชี้วัดการจ้างงานลดลงมาอยู่ที่ระดับ 52.8 จากระดับ 53.1 ในเดือน มี.ค.50 (รอยเตอร์)
4. ผลผลิตจากโรงงานของสิงคโปร์เดือน มี.ค.50 ลดลงต่ำสุดในรอบกว่า 2 ปี รายงานจากประเทศสิงคโปร์ เมื่อวันที่ 26
เม.ย.50 ผลผลิตจากโรงงานหลังปรับข้อมูลตามฤดูกาลแล้วในเดือน มี.ค.50 ของสิงคโปร์ลดลงร้อยละ 9.3 จากเดือน ก.พ.50 ลดลง
มากกว่าที่คาดการณ์กันไว้ว่าจะลดลงร้อยละ 2.1 และสวนทางจากเดือนก่อนที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 10.8 ในขณะที่เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของ
ปีก่อนลดลงร้อยละ 2.9 นับเป็นการลดลงมากที่สุดในรอบ 2 ปี เนื่องจากการปรับลดลงของภาคเวชภัณฑ์ยาที่มีการเปลี่ยนแปลงรวดเร็วกว่า
ร้อยละ 25 โดยนักวิเคราะห์คาดว่าน่าจะมาจากการที่บริษัทยาบางแห่งเปลี่ยนแปลงสายการผลิต และบางบริษัทมีการปิดโรงงานเพื่อทำความ
สะอาดหรือเปลี่ยนแปลงส่วนผสมของผลิตภัณฑ์ ในขณะที่ข้อมูลที่ยังไม่ปรับตัวเลขตามฤดูกาลเทียบต่อเดือน ผลผลิตของทุกภาคการผลิตส่วนใหญ่
เพิ่มขึ้นรวมถึงภาคการผลิตที่สำคัญอย่างอิเล็กทรอนิกส์ที่หยุดชะงักมาเป็นเวลาหลายเดือนจากปัญหาการมีสินค้าคงคลังในระดับสูง ด้าน
ธ.กลางสิงคโปร์ยังยืนยันประมาณการตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจตลอดปี 50 ไว้ที่ร้อยละ 4.5 — 6.5 แถลงว่ามีมุมมองที่เป็นบวกต่อ
ภาคอิเล็กทรอนิกส์ในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ นอกจากนี้ นักเศรษฐศาสตร์ยังคาดว่าช่วงไตรมาสแรกปีนี้ภาคบริการจะขยายตัวมากกว่าที่คาดการณ์
ไว้ก่อนหน้า ซึ่งจะทำให้ในภาพรวมเศรษฐกิจในไตรมาสแรกจะเติบโตประมาณร้อยละ 5.9 ลดลงเล็กน้อยจากที่รัฐบาลคาดการณ์ไว้ที่ร้อยละ 6.0
(รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 27/4/2493 26/4/2550 29/12/2549 แหล่งข้อมูล
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 34.809 36.044 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 34.5843/34.9224 35.8601/36.2308 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 4.15516 5.12813 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 690.79/12.50 679.84/9.22 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 11,050/11,150 11,200/11,300 10,750/10,650 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 64.18 64.95 56.48 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล (บาท) 29.19*/25.34* 29.19*/25.34* 26.49/23.34 ปตท.
* ปรับเพิ่มลิตรละ 40 สตางค์เมื่อ 26 เม.ย. 50
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
1. ธปท.เปิดเผยถึงภาวะและแนวโน้มเสถียรภาพเศรษฐกิจการเงินในไตรมาส 4 ปี 49 รายงานข่าวจากธนาคารแห่งประเทศไทย
(ธปท.) เปิดเผยถึงภาวะและแนวโน้มเสถียรภาพเศรษฐกิจการเงินในไตรมาส 4 ปี 49 โดยมีสาระสำคัญเกี่ยวกับภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ใน
ไตรมาส 4 ปี 49 ที่ยังคงชะลอตัวลงต่อเนื่อง รวมถึงราคาที่อยู่อาศัยยังอยู่ในทิศทางชะลอตัว จากการอ่อนตัวของการใช้จ่ายภายในประเทศ
และความไม่แน่นอนทางการเมือง โดยอุปสงค์จากสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยชะลอตัว และอุปทานภาคอสังหาริมทรัพย์ก็ชะลอตัวตาม ดังนั้น ความเสี่ยง
ที่จะเกิดฟองสบู่ในตลาดอสังหาริมทรัพย์ยังมีน้อย แต่ในระยะต่อไปที่อัตราดอกเบี้ยอยู่ในทิศทางขาลงและเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว ความเสี่ยงดังกล่าว
อาจจะเพิ่มขึ้น จึงจำเป็นต้องระมัดระวังมิให้ส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพเศรษฐกิจในอนาคต ขณะที่ผู้ว่าการ ธปท. กล่าวถึงภาพรวมเศรษฐกิจ
หลังจาก ธปท.ปรับประมาณการอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจในปี 50 ลดลงเหลือร้อยละ 3.75-4.75 จากเดิมร้อยละ 4-5 คาดว่าการลงทุน
ใหม่ ๆ ของภาคเอกชนจะฟื้นตัวได้ เพราะมีปัจจัยบวกปรับตัวดีขึ้น อาทิเช่น การปรับลดอัตราดอกเบี้ย ราคาน้ำมันที่ปรับตัวลดลง รวมถึงการเร่งรัด
เบิกจ่าย งปม.ของภาครัฐ (ข่าวสด, สยามรัฐ, กรุงเทพธุรกิจ)
2. ธปท.ขอความร่วมมือ ธพ.ให้รายงาน ธุรกรรมเงินตราต่างประเทศที่มีวงเงิน 1 ล้านดอลลาร์ สรอ.ขึ้นไปแบบรายวัน
ผอส.ฝ่ายตลาดการเงินและบริหารเงินสำรอง ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ธปท.ได้ขอความร่วมมือ ธพ.ให้รายงานธุรกรรม
เงินตราต่างประเทศที่มีวงเงิน 1 ล้านดอลลาร์ สรอ.ขึ้นไปแบบรายวัน จากเดิมที่รายงาน 2-3 วัน เพื่อให้ทราบภาวะตลาดเงินตราต่างประเทศ
เร็วขึ้น อย่างไรก็ตาม ธปท.เชื่อว่าจะไม่เป็นการเพิ่มภาระให้แก่ ธพ.แต่อย่างใด เนื่องจากได้หารือกับ ธพ.ต่างไม่ขัดข้อง แม้จะต้องทำงาน
เพิ่มขึ้นบ้างก็ตาม (ผู้จัดการรายวัน, ข่าวสด, โพสต์ทูเดย์)
3. ธปท.เผยกฎหมายทางการเงิน 4 ฉบับจะเสนอ ครม.ได้ภายในเดือน พ.ค.-มิ.ย.50 ผอส.ฝ่ายกฎหมายและคดี ธนาคาร
แห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ขณะนี้กระบวนการพิจารณาร่างกฎหมายทางการเงินทั้ง 4 ฉบับ ประกอบด้วย ร่าง พ.ร.บ.ธุรกิจ
สถาบันการเงิน ร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองเงินฝาก ร่าง พ.ร.บ.ธนาคารแห่งประเทศไทย และร่าง พ.ร.บ.เงินตรา ผ่านการพิจารณาของ
คณะกรรมการกฤษฎีกาเรียบร้อยแล้ว จะเสนอต่อ ครม.ได้ภายในเดือน พ.ค.-มิ.ย.นี้ จากนั้น ครม.จะส่งเรื่องให้สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.)
พิจารณายกร่างให้มีผลบังคับใช้เป็นกฎหมายต่อไป ทั้งนี้ หาก ร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองเงินฝาก มีผลบังคับใช้และดำเนินการจัดตั้งองค์กรเรียบร้อย
กฎหมายได้ลดวงเงินประกันเงินฝากของประชาชนสูงสุดไม่เกิน 1 ล้านบาทภายในระยะ 4 ปี ซึ่งแต่ละปีจะทยอยลดลงจากเริ่มต้น 100 ล้านบาท
ในปีแรก เหลือ 50 ล้านบาทในปีที่สอง 10 ล้านบาทในปีที่สาม และเหลือ 1 ล้านบาทในปีที่สี่ ซึ่งระบบดังกล่าวจะช่วยสร้างความเป็นธรรมให้
กับประชาชนที่ต้องรับภาระภาษีในการจ่ายเงินฝากเต็มจำนวน ให้กับผู้ฝากทุกบัญชี ขณะเดียวกันยังกระตุ้นให้ ธพ.มีวินัยในการทำธุรกิจมากขึ้น
เพราะธนาคารจะต้องนำส่งเงินสมทบเข้าองค์กรดังกล่าวตามความเสี่ยงของตนเอง (มติชน, ข่าวสด, บ้านเมือง, ไทยรัฐ, โพสต์ทูเดย์,
ผู้จัดการรายวัน, กรุงเทพธุรกิจ)
4. ม.หอการค้าปรับลดประมาณการเศรษฐกิจปี 50 อยู่ที่ร้อยละ 3.5-4 ผอ.ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ ม.หอการค้าไทย
กล่าวว่า ศูนย์ฯ ประเมินเศรษฐกิจปี 50 ว่ามีแนวโน้มชะลอตัวลง เนื่องจากการเมืองไทยขาดเสถียรภาพ และมีปัจจัยเสี่ยงรุมเร้าเศรษฐกิจ
ต่อเนื่อง ทั้งราคาน้ำมัน เงินบาทแข็งค่า ความเชื่อมั่นผู้บริโภคและผู้ประกอบการต่ำสุดในรอบ 5 ปี รวมทั้งสถานการณ์ความไม่สงบใน
3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ประกอบกับเศรษฐกิจโลกและปริมาณการค้าของโลกขยายตัวลดลง แม้ว่าจะเป็นอัตราที่ใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมาก็ตาม
อย่างไรก็ตาม ศูนย์ฯ คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจในปี 50 จะมีโอกาสขยายตัวประมาณร้อยละ 3.5-4 โดยในครึ่งปีแรกคาดว่าจะขยายตัว
ร้อยละ 3.4-3.8 ส่วนในครึ่งปีหลังคาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 3.2-4.5 ลดลงจากประมาณการเดิมที่คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะขยายตัว
ร้อยละ 4-4.5 ส่วนการส่งออกคาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 8-10 ลดลงจากเดิมร้อยละ 9-11.5 ส่วนการนำเข้าคาดว่าจะขยายตัว
ร้อยละ 7.5-9.5 ลดลงจากเดิมที่คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 10-12 (แนวหน้า, สยามรัฐ, บ้านเมือง, เดลินิวส์, ไทยรัฐ, กรุงเทพธุรกิจ)
5. ดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบ 5 เดือนอยู่ที่ระดับ 86.8 ประธานสภาอุตสาหกรรม
แห่งประเทศไทย (สอท.) เปิดเผยว่า จากการสำรวจกลุ่มตัวจำนวน 565 ตัวอย่าง ในเดือน มี.ค.50 พบว่า ค่าดัชนีความเชื่อมั่น
ภาคอุตสาหกรรมปรับตัวเพิ่มขึ้นอยู่ที่ระดับ 86.8 จากระดับ 82.7 ในเดือน ก.พ.ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นการปรับเพิ่มขึ้นเป็นครั้งแรกหลังจาก
ที่ค่าดัชนีลดลงอย่างต่อเนื่องติดต่อกันตลอด 5 เดือน ทั้งนี้ ดัชนีความเชื่อมั่นฯ เดือน มี.ค.เป็นเดือนที่ผู้ประกอบการเร่งการผลิตเพิ่มขึ้น
เนื่องจากเดือน เม.ย.เป็นเดือนที่มีวันหยุดมาก และเป็นเดือนที่มีการจับจ่ายของผู้บริโภค ทำให้มียอดการสั่งซื้อและยอดขายในประเทศ
ปรับเพิ่มขึ้นในช่วงเดือน มี.ค.นี้ ส่วนยอดขายต่างประเทศมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นตามฤดูกาลเช่นกัน (แนวหน้า, สยามรัฐ, เดลินิวส์)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1. ยอดการขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกของ สรอ.ในช่วงสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 21 เม.ย.50 ลดลง 20,000 คนจากสัปดาห์
ก่อนหน้า รายงานจากวอชิงตันเมื่อ 26 เม.ย.50 ก.แรงงาน สรอ. เปิดเผยว่า ยอดการขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกของ สรอ.ใน
ช่วงสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 21 เม.ย.50 ลดลงเหลือจำนวน 321,000 คน จากจำนวน 341,000 คนในช่วงสัปดาห์ก่อนหน้า เหนือความคาดหมาย
ของบรรดานักวิเคราะห์ซึ่งคาดว่า ยอดการขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกจะลดลงเหลือจำนวน 330,000 คน โดยนักวิเคราะห์จาก
ก.แรงงานกล่าวว่า ไม่พบปัจจัยผิดปกติที่ส่งผลให้ยอดการขอรับสวัสดิการว่างงานลดลงดังกล่าว สำหรับยอดการขอรับสวัสดิการว่างงานเฉลี่ย
4 สัปดาห์ ซึ่งเป็นดัชนีที่บ่งชี้สถานการณ์ตลาดแรงงานได้แม่นยำกว่า กลับเพิ่มขึ้นเป็นจำนวน 332,000 คน จากจำนวน 329,250 คนในสัปดาห์
ก่อนหน้า เป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่ช่วงต้นเดือน มี.ค.เป็นต้นมา เช่นเดียวกับยอดการขอรับสวัสดิการว่างงานในส่วนที่เคยขอรับสวัสดิการ
ว่างงานครั้งแรกไปแล้วซึ่งเพิ่มขึ้นเป็นจำนวน 2.59 ล้านคนจากจำนวน 2.53 ล้านคนในสัปดาห์ก่อนหน้า เหนือความคาดหมายของนักเศรษฐศาสตร์
ที่คาดว่าจะคงที่ที่ระดับเดิม ทั้งนี้ ตัวเลขการขอรับสวัสดิการว่างงานเป็นดัชนีที่บ่งชี้ถึงการมีงานทำของแรงงาน สรอ. ซึ่งทิศทางของตัวเลข
ยังคงสร้างความกังวลให้กับ ธ.กลาง สรอ.ว่าสถานการณ์แรงงานอาจเป็นอีกปัจจัยที่ก่อให้เกิดผลกระทบต่ออัตราเงินเฟ้อ (รอยเตอร์)
2. อัตราดอกเบี้ยเงินกู้จำนองของ สรอ.ลดลง ณ สัปดาห์ล่าสุด รายงานจากวอชิงตันเมื่อ 26 เม.ย.50 Freddie Mac
เปิดเผยผลการสำรวจอัตราดอกเบี้ยเงินกู้จำนองของ สรอ. ณ สัปดาห์ล่าสุด ว่า อัตราดอกเบี้ยเงินกู้จำนองระยะเวลา 30 ปี ลดลงที่ระดับ
ร้อยละ 6.16 จากระดับ 6.17 ในช่วงสัปดาห์ก่อนหน้า เช่นเดียวกับอัตราดอกเบี้ยเงินกู้จำนองระยะเวลา 15 ปี ซึ่งลดลงที่ระดับร้อยละ 5.87
จากระดับร้อยละ 5.89 และอัตราดอกเบี้ยเงินกู้จำนองระยะเวลา 1 ปี ซึ่งลดลงที่ระดับร้อยละ 5.43 จากร้อยละ 5.45 รวมทั้งอัตราดอกเบี้ย
เงินกู้จำนองทั้ง 3 ประเภทยังคงต่ำกว่าเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนซึ่งอยู่ที่ระดับร้อยละ 6.58, 6.21 และ 5.68 ตามลำดับ ทั้งนี้
จากการที่ภาวะเศรษฐกิจ สรอ.แสดงทิศทางชะลอตัว เนื่องจากยอดการขายบ้านในเดือน มี.ค.ชะลอตัว ประกอบกับความเชื่อมั่นของผู้บริโภค
ในเดือน เม.ย.ลดต่ำลง ล้วนเป็นสาเหตุให้ตลาดประเมินทิศทางการขยายตัวของเศรษฐกิจ สรอ.ในปีนี้ในอัตราที่ชะลอลง ซึ่งส่งผลให้อัตรา
ดอกเบี้ยเงินกู้จำนองทุกประเภทลดลงในช่วงสัปดาห์นี้ (รอยเตอร์)
3. ดัชนีชี้วัดการผลิตของผู้ประกอบการอุตสาหกรรมหรือ PMI ของญี่ปุ่น ลดลงในเดือน เม.ย.50 มาอยู่ในระดับต่ำสุดในรอบกว่า
2 ปี รายงานจากโตเกียว เมื่อ 27 เม.ย.50 ดัชนีชี้วัดการผลิตของผู้ประกอบการอุตสาหกรรมหรือ PMI ของญี่ปุ่นจากผลสำรวจความเห็นของ
ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมกว่า 350 คนลดลงหลังปรับตัวเลขตามฤดูกาลแล้วมาอยู่ที่ระดับ 52.3 ในเดือน เม.ย.50 จากระดับ 52.5 ใน
เดือน มี.ค.50 อยู่ในระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือน ก.พ.48 อย่างไรก็ดีดัชนีดังกล่าวยังอยู่ในระดับสูงกว่า 50 ซึ่งชี้ว่ากำลังขยายตัวเป็นเดือน
ที่ 47 ติดต่อกันแล้ว เช่นเดียวกับดัชนีในส่วนที่ชี้วัดคำสั่งซื้อใหม่ที่ลดลงมาอยู่ที่ระดับ 50.8 ต่ำสุดนับตั้งแต่เดือน ม.ค.48 บ่งชี้ว่าความต้องการ
ในประเทศเริ่มชะลอตัวลง ในขณะที่ดัชนีในส่วนที่ชี้วัดผลผลิตซึ่งใช้ประมาณการผลผลิตอุตสาหกรรมกลับเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 54.2 จากระดับ
53.5 ในเดือน มี.ค.50 อยู่ในระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือน พ.ย.49 โดยส่วนใหญ่เป็นการขยายตัวของอุตสาหกรรมผลิตเสื้อผ้า สิ่งทอและ
วิศวกรรมเครื่องจักรกล จากแนวโน้มที่ขัดแย้งกันระหว่างผลผลิตและคำสั่งซื้อใหม่ทำให้จำนวนคำสั่งซื้อค้างส่งมอบลูกค้าลดลง โดยดัชนีชี้วัด
งานค้างส่งมอบลูกค้าลดลงเป็นเดือนที่ 3 ติดต่อกันมาอยู่ที่ระดับ 48.0 ในเดือน เม.ย.50 ทั้งนี้ผู้ผลิตยังคงจ้างแรงงานเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
เพื่อเพิ่มการผลิตให้ทันต่อความต้องการของลูกค้า แต่อัตราการขยายตัวของการจ้างงานลดลงมาอยู่ในระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือน ม.ค.49
โดยดัชนีชี้วัดการจ้างงานลดลงมาอยู่ที่ระดับ 52.8 จากระดับ 53.1 ในเดือน มี.ค.50 (รอยเตอร์)
4. ผลผลิตจากโรงงานของสิงคโปร์เดือน มี.ค.50 ลดลงต่ำสุดในรอบกว่า 2 ปี รายงานจากประเทศสิงคโปร์ เมื่อวันที่ 26
เม.ย.50 ผลผลิตจากโรงงานหลังปรับข้อมูลตามฤดูกาลแล้วในเดือน มี.ค.50 ของสิงคโปร์ลดลงร้อยละ 9.3 จากเดือน ก.พ.50 ลดลง
มากกว่าที่คาดการณ์กันไว้ว่าจะลดลงร้อยละ 2.1 และสวนทางจากเดือนก่อนที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 10.8 ในขณะที่เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของ
ปีก่อนลดลงร้อยละ 2.9 นับเป็นการลดลงมากที่สุดในรอบ 2 ปี เนื่องจากการปรับลดลงของภาคเวชภัณฑ์ยาที่มีการเปลี่ยนแปลงรวดเร็วกว่า
ร้อยละ 25 โดยนักวิเคราะห์คาดว่าน่าจะมาจากการที่บริษัทยาบางแห่งเปลี่ยนแปลงสายการผลิต และบางบริษัทมีการปิดโรงงานเพื่อทำความ
สะอาดหรือเปลี่ยนแปลงส่วนผสมของผลิตภัณฑ์ ในขณะที่ข้อมูลที่ยังไม่ปรับตัวเลขตามฤดูกาลเทียบต่อเดือน ผลผลิตของทุกภาคการผลิตส่วนใหญ่
เพิ่มขึ้นรวมถึงภาคการผลิตที่สำคัญอย่างอิเล็กทรอนิกส์ที่หยุดชะงักมาเป็นเวลาหลายเดือนจากปัญหาการมีสินค้าคงคลังในระดับสูง ด้าน
ธ.กลางสิงคโปร์ยังยืนยันประมาณการตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจตลอดปี 50 ไว้ที่ร้อยละ 4.5 — 6.5 แถลงว่ามีมุมมองที่เป็นบวกต่อ
ภาคอิเล็กทรอนิกส์ในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ นอกจากนี้ นักเศรษฐศาสตร์ยังคาดว่าช่วงไตรมาสแรกปีนี้ภาคบริการจะขยายตัวมากกว่าที่คาดการณ์
ไว้ก่อนหน้า ซึ่งจะทำให้ในภาพรวมเศรษฐกิจในไตรมาสแรกจะเติบโตประมาณร้อยละ 5.9 ลดลงเล็กน้อยจากที่รัฐบาลคาดการณ์ไว้ที่ร้อยละ 6.0
(รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 27/4/2493 26/4/2550 29/12/2549 แหล่งข้อมูล
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 34.809 36.044 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 34.5843/34.9224 35.8601/36.2308 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 4.15516 5.12813 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 690.79/12.50 679.84/9.22 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 11,050/11,150 11,200/11,300 10,750/10,650 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 64.18 64.95 56.48 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล (บาท) 29.19*/25.34* 29.19*/25.34* 26.49/23.34 ปตท.
* ปรับเพิ่มลิตรละ 40 สตางค์เมื่อ 26 เม.ย. 50
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--