'อลงกรณ์'เสนอ รัฐบาลตั้งงบประมาณปี 2551 ขาดดุลเต็มพิกัด 10 % เป็นเครื่องมือขับเคลื่อนเศรษฐกิจปีหน้า แต่ต้องไม่เพิ่มภาระภาษี แนะเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารงบประมาณ ห่วงส่วนราชการล่าช้างบค้างท่อเสนอกระจายงบลงท้องถิ่นกระตุ้นเศรษฐกิจรากแก้ว
วันนี้( 26 พ.ค.50) ที่พรรคประชาธิปัตย์นายอลงกรณ์ พลบุตร รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์แถลง ว่า ตามที่คณะรัฐมนตรีจะมีการประชุมวันที่ 29 พฤษภาคมนี้เพื่อพิจารณากรอบวงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2551 นั้น พรรคประชาธิปัตย์เห็นด้วยกับแนวทางในการตั้งงบประมาณแบบขาดดุลเพื่อเป็นเครื่องมือในการกระตุ้นและขับเคลื่อนเศรษฐกิจโดยคณะรัฐมนตรีควรเพิ่มวงเงินขาดดุลงบประมาณเต็มพิกัดคือ 10 % ของงบประมาณรายจ่ายประจำปีซึ่งกรอบวงเงินงบประมาณรายจ่ายเดิมอยู่ที่ 1,635 ล้านล้านบาทจะทำให้วงเงินงบประมาณใหม่จะอยู่ที่ 1,660 ล้านล้านบาท เพราะเป็นอัตราการขาดดุลงบประมาณที่ยอมรับได้สอดคล้องกับความจำเป็นทางเศรษฐกิจและอยู่ในมาตรฐานการรักษาวินัยทางการคลัง ทั้งนี้โดยคำนึงถึงภาวะเศรษฐกิจที่ซบเซาจากปัญหาวิกฤติการณ์ทางการเมืองในปี 2550 ซึ่งคาดว่าจะมีอัตราการเติบโตของจีดีพี.ไม่เกิน4 % โดยเฉพาะจากปัญหาการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชนชะลอตัว ดังนั้นการลงทุนและรายจ่ายภาครัฐจะเป็นกลไกสำคัญในการฟื้นฟูเศรษฐกิจปีหน้าแต่ทั้งนี้จะต้องไม่เป็นการเพิ่มภาระทางภาษีแต่สามารถใช้มาตรการอื่นๆแทน
รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ยังเสนอเพิ่มเติมอีก 2 มาตรการเพื่อให้งบประมาณเป็นกลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจว่า รัฐบาลจะต้องปรับปรุงการบริหารงบประมารณและการใช้งบประมาณอย่างโปร่งใสและมีประสิทธิภาพ หากส่วนราชการใดมีปัญหาก็ต้องใช้ความเด็ดขาดในการปรับลดหรือยกเลิกโครงการและแผนงานที่บริหารงบประมาณล่าช้าหรือทุจริตในขั้นตอนการจัดทำและพิจารณางบประมาณ นอกจากนั้นรัฐบาลควรใช้งบประมาณรายจ่ายที่เพิ่มขึ้นอีกอย่างน้อย 2.5 หมื่นล้านสนับสนุนโครงการลงทุนขนาดใหญ่(เมกกะโปรเจ็ค)และถ่ายโอนงบประมาณให้องค์กรปกครองท้องถิ่นเพื่อให้เม็ดเงินกระจายและกระตุ้นเศรษฐกิจระดับรากแก้วในภูมิภาคทั่วประเทศอย่างทั่วถึง
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 26 พ.ค. 2550--จบ--
วันนี้( 26 พ.ค.50) ที่พรรคประชาธิปัตย์นายอลงกรณ์ พลบุตร รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์แถลง ว่า ตามที่คณะรัฐมนตรีจะมีการประชุมวันที่ 29 พฤษภาคมนี้เพื่อพิจารณากรอบวงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2551 นั้น พรรคประชาธิปัตย์เห็นด้วยกับแนวทางในการตั้งงบประมาณแบบขาดดุลเพื่อเป็นเครื่องมือในการกระตุ้นและขับเคลื่อนเศรษฐกิจโดยคณะรัฐมนตรีควรเพิ่มวงเงินขาดดุลงบประมาณเต็มพิกัดคือ 10 % ของงบประมาณรายจ่ายประจำปีซึ่งกรอบวงเงินงบประมาณรายจ่ายเดิมอยู่ที่ 1,635 ล้านล้านบาทจะทำให้วงเงินงบประมาณใหม่จะอยู่ที่ 1,660 ล้านล้านบาท เพราะเป็นอัตราการขาดดุลงบประมาณที่ยอมรับได้สอดคล้องกับความจำเป็นทางเศรษฐกิจและอยู่ในมาตรฐานการรักษาวินัยทางการคลัง ทั้งนี้โดยคำนึงถึงภาวะเศรษฐกิจที่ซบเซาจากปัญหาวิกฤติการณ์ทางการเมืองในปี 2550 ซึ่งคาดว่าจะมีอัตราการเติบโตของจีดีพี.ไม่เกิน4 % โดยเฉพาะจากปัญหาการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชนชะลอตัว ดังนั้นการลงทุนและรายจ่ายภาครัฐจะเป็นกลไกสำคัญในการฟื้นฟูเศรษฐกิจปีหน้าแต่ทั้งนี้จะต้องไม่เป็นการเพิ่มภาระทางภาษีแต่สามารถใช้มาตรการอื่นๆแทน
รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ยังเสนอเพิ่มเติมอีก 2 มาตรการเพื่อให้งบประมาณเป็นกลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจว่า รัฐบาลจะต้องปรับปรุงการบริหารงบประมารณและการใช้งบประมาณอย่างโปร่งใสและมีประสิทธิภาพ หากส่วนราชการใดมีปัญหาก็ต้องใช้ความเด็ดขาดในการปรับลดหรือยกเลิกโครงการและแผนงานที่บริหารงบประมาณล่าช้าหรือทุจริตในขั้นตอนการจัดทำและพิจารณางบประมาณ นอกจากนั้นรัฐบาลควรใช้งบประมาณรายจ่ายที่เพิ่มขึ้นอีกอย่างน้อย 2.5 หมื่นล้านสนับสนุนโครงการลงทุนขนาดใหญ่(เมกกะโปรเจ็ค)และถ่ายโอนงบประมาณให้องค์กรปกครองท้องถิ่นเพื่อให้เม็ดเงินกระจายและกระตุ้นเศรษฐกิจระดับรากแก้วในภูมิภาคทั่วประเทศอย่างทั่วถึง
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 26 พ.ค. 2550--จบ--