วันนี้ (24 มิ.ย. 50) ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่าเนื่องในโอกาสครบรอบ 75 ปี ของการเปลี่ยนแปลงการปกครองในประเทศไทยจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราช มาเป็นระบอบประชาธิปไตย ในวันที่ 24 มิถุนายนปีนี้ พรรคประชาธิปัตย์มองว่า มี 2 สาเหตุสำคัญที่ทำให้ 75 ปีของประชาธิปไตยของไทยนั้นแม้ว่าหนทางที่เดินมาอย่างยาวไกล แต่กลับยังไปไม่ถึงไหน และต้องประสบปัญหา อุปสรรคที่ทำให้ประชาธิปไตยของไทยนั้นต้องสะดุดหลายครั้ง
นายองอาจกล่าวว่า 2 สาเหตุดังกล่าว ประกอบด้วย 1. การใช้เงินเพื่อซื้อทุกอย่างเพื่อเข้ามาสู่อำนาจ และใช้เงินรักษาอำนาจของตนเอง ให้คงอยู่ตลอดไปตราบนานเท่านาน 2. การใช้อำนาจเกินขอบเขตของผู้มีอำนาจในบ้านเมือง โดยจะเห็นว่าเมื่อใดก็ตามที่ผู้มีอำนาจในบ้านเมืองใช้อำนาจเกิดขอบเขต ใช้อำนาจเพื่อประโยชน์ของตนเองและพวกพ้อง ครอบครัวของตัวเอง ขณะเดียวกันก็ใช้อำนาจนั้นทำลายบุคคลอื่น ก็จะทำให้เห็นว่าเป็นปัญหาเป็นอุปสรรคของประชาธิปไตย
“เมื่อสภาพบ้านเมืองของเราเป็นไปในลักษณะนี้ก็ทำให้ ประชาธิปไตย กลายเป็นธนาธิปไตย ไม่สามารถที่จะคงสภาพความเป็นประชาธิปไตยอย่างที่พวกเราอยากจะเห็นได้อีกต่อไป” นายองอาจกล่าว
พร้อมกันนี้นายองอาจ ยังได้เรียกร้องให้คนไทยหาทางช่วยกันไม่ทำให้อุปสรรคใหญ่ 2 ประการดังกล่าวเกิดขึ้นได้อีกต่อไป และต้องช่วยกันไม่ให้นักการเมืองหรือใครก็ตามใช้เงินซื้อทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อเข้ามาสู่อำนาจ และใช้เงินซื้อทุกอย่าง ทุกองค์กร ทุกสถาบันเพื่อรักษาอำนาจของตัวเองไว้
นอกจากนี้โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ยังเห็นว่าอนาคตการเมืองไทยนับจากนี้ไปประชาชนคนไทยจะต้องเดินหน้า ร่วมกันช่วยแก้ปัญหา และผลักดันให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน เพราะการจะทำให้ประเทศชาติบ้านเมืองเดินหน้าไปได้ไม่ใช่เป็นภาระหน้าที่ของใครคนใดคนหนึ่งแต่เป็นภาระหน้าที่ของคนไทยทุกคน สำหรับปัญหาเฉพาะหน้าของการเมืองไทยต้องมีความพยายามที่จะเดินหน้าไปสู่การเลือกตั้ง แต่การเลือกตั้งจะเกิดขึ้นไม่ได้ถ้าไม่มีรัฐธรรมนูญ และกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญที่ประชาชน คนในสังคมยอมรับ พร้อมทั้งองค์ประกอบสำคัญก็คือพรรคการเมือง นักการเมือง
“การที่เปิดโอกาสให้ทุก ๆ ฝ่ายได้มีโอกาสเข้ามามีส่วนร่วมทางการเมือง น่าจะเป็นสิ่งที่ดีกว่าที่จะไปหาทางปิดกั้นด้วยวิธีการต่าง ๆ ซึ่งจะไม่ก่อให้เกิดประโยชน์กับประเทศชาติโดยรวมของเราต่อไป และงานข้างหน้าของพรรคประชาธิปัตย์ในทางการเมืองนั้น ไม่ใช่งานที่เรามุ่งหวังที่จะไปเอาเปรียบทางการเมืองกับใคร ไม่ใช่เรื่องที่จะพยายามสร้างความได้เปรียบทางการเมือง หรือมีแต้มต่อเกี่ยวกับการเลือกตั้ง และเราไม่คิดจะใช้วิถีทางทางการเมืองไปหาทางเอาเปรียบคนอื่น ขณะเดียวกันในทางตรงข้ามเราต้องช่วยกันทำให้เกิดความเท่าเทียมกันในการแข่งขัน เมื่อใดก็ตามที่มีการเลือกตั้งนั้น ต้องเปิดโอกาสให้มีการแข่งขันกันอย่างเท่าเทียม โดยสุจริต และเที่ยงธรรม โดยมี กกต. เปรียบเสมือนเป็นกรรมการกลางช่วยดูแลให้การแข่งขันเป็นไปอย่างสุจริตและเที่ยงธรรม” นายองอาจกล่าวในที่สุด
และจากการที่พ.ต.ท.ทักษิณ และครอบครัวได้ถูกอายัดทรัพย์ ซึ่งอาจจะมีแนวโน้มว่าจะถูกดำเนินคดีอีกหลายคดีจนทำให้หลายคนมองว่า พ.ต.ท.ทักษิณ คงไม่สามารถกลับมาดำเนินกิจกรรมทางการเมืองได้อีกต่อไป นายองอาจมองเรื่องนี้ว่า แม้พ.ต.ท.ทักษิณจะถูกอายัดทรัพย์ ถูกดำเนินคดีหลายคดีก็ตาม แต่ พ.ต.ท.ทักษิณคงไม่ตัดสินใจที่จะละทิ้งการดำเนินกิจกรรมทางการเมือง และในทางตรงกันข้ามยังเห็นว่า เราไม่สามารถประมาท พ.ต.ท.ทักษิณได้
นายองอาจ แสดงความเห็นว่า พ.ต.ท.ทักษิณนั้นเป็นมหาเศรษฐีคนหนึ่งของประเทศไทย มีเงินมากมายมหาศาล และเชื่อว่า พ.ต.ท.ทักษิณยังมีเงินที่เรายังไม่รู้อีกจำนวนมาก ดังนั้นสิ่งเหล่านี้จึงไม่ควรประมาท และพ.ต.ท.ทักษิณอาจจะใช้เงินเพื่อกลับคืนมาสู่อำนาจได้อีกต่อไปในอนาคต
“ใครก็ตามที่สบประมาทคุณทักษิณ ว่าเมื่อถูกอายัดทรัพย์แล้ว ถูกดำเนินคดีแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างจะจบสิ้นลงนั้น ผมคิดว่ายังไม่สามารถไปประมาทได้ เพราะเชื่อมั่นว่าคุณทักษิณจะต้องใช้เงินมหาศาลที่ตนเองมีอยู่นั้นทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อให้วันเวลาเดิม ๆ ที่ตนเองเคยมีอยู่นั้นกลับคืนมาในอนาคตต่อไป” นายองอาจกล่าว
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 24 มิ.ย. 2550--จบ--
นายองอาจกล่าวว่า 2 สาเหตุดังกล่าว ประกอบด้วย 1. การใช้เงินเพื่อซื้อทุกอย่างเพื่อเข้ามาสู่อำนาจ และใช้เงินรักษาอำนาจของตนเอง ให้คงอยู่ตลอดไปตราบนานเท่านาน 2. การใช้อำนาจเกินขอบเขตของผู้มีอำนาจในบ้านเมือง โดยจะเห็นว่าเมื่อใดก็ตามที่ผู้มีอำนาจในบ้านเมืองใช้อำนาจเกิดขอบเขต ใช้อำนาจเพื่อประโยชน์ของตนเองและพวกพ้อง ครอบครัวของตัวเอง ขณะเดียวกันก็ใช้อำนาจนั้นทำลายบุคคลอื่น ก็จะทำให้เห็นว่าเป็นปัญหาเป็นอุปสรรคของประชาธิปไตย
“เมื่อสภาพบ้านเมืองของเราเป็นไปในลักษณะนี้ก็ทำให้ ประชาธิปไตย กลายเป็นธนาธิปไตย ไม่สามารถที่จะคงสภาพความเป็นประชาธิปไตยอย่างที่พวกเราอยากจะเห็นได้อีกต่อไป” นายองอาจกล่าว
พร้อมกันนี้นายองอาจ ยังได้เรียกร้องให้คนไทยหาทางช่วยกันไม่ทำให้อุปสรรคใหญ่ 2 ประการดังกล่าวเกิดขึ้นได้อีกต่อไป และต้องช่วยกันไม่ให้นักการเมืองหรือใครก็ตามใช้เงินซื้อทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อเข้ามาสู่อำนาจ และใช้เงินซื้อทุกอย่าง ทุกองค์กร ทุกสถาบันเพื่อรักษาอำนาจของตัวเองไว้
นอกจากนี้โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ยังเห็นว่าอนาคตการเมืองไทยนับจากนี้ไปประชาชนคนไทยจะต้องเดินหน้า ร่วมกันช่วยแก้ปัญหา และผลักดันให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน เพราะการจะทำให้ประเทศชาติบ้านเมืองเดินหน้าไปได้ไม่ใช่เป็นภาระหน้าที่ของใครคนใดคนหนึ่งแต่เป็นภาระหน้าที่ของคนไทยทุกคน สำหรับปัญหาเฉพาะหน้าของการเมืองไทยต้องมีความพยายามที่จะเดินหน้าไปสู่การเลือกตั้ง แต่การเลือกตั้งจะเกิดขึ้นไม่ได้ถ้าไม่มีรัฐธรรมนูญ และกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญที่ประชาชน คนในสังคมยอมรับ พร้อมทั้งองค์ประกอบสำคัญก็คือพรรคการเมือง นักการเมือง
“การที่เปิดโอกาสให้ทุก ๆ ฝ่ายได้มีโอกาสเข้ามามีส่วนร่วมทางการเมือง น่าจะเป็นสิ่งที่ดีกว่าที่จะไปหาทางปิดกั้นด้วยวิธีการต่าง ๆ ซึ่งจะไม่ก่อให้เกิดประโยชน์กับประเทศชาติโดยรวมของเราต่อไป และงานข้างหน้าของพรรคประชาธิปัตย์ในทางการเมืองนั้น ไม่ใช่งานที่เรามุ่งหวังที่จะไปเอาเปรียบทางการเมืองกับใคร ไม่ใช่เรื่องที่จะพยายามสร้างความได้เปรียบทางการเมือง หรือมีแต้มต่อเกี่ยวกับการเลือกตั้ง และเราไม่คิดจะใช้วิถีทางทางการเมืองไปหาทางเอาเปรียบคนอื่น ขณะเดียวกันในทางตรงข้ามเราต้องช่วยกันทำให้เกิดความเท่าเทียมกันในการแข่งขัน เมื่อใดก็ตามที่มีการเลือกตั้งนั้น ต้องเปิดโอกาสให้มีการแข่งขันกันอย่างเท่าเทียม โดยสุจริต และเที่ยงธรรม โดยมี กกต. เปรียบเสมือนเป็นกรรมการกลางช่วยดูแลให้การแข่งขันเป็นไปอย่างสุจริตและเที่ยงธรรม” นายองอาจกล่าวในที่สุด
และจากการที่พ.ต.ท.ทักษิณ และครอบครัวได้ถูกอายัดทรัพย์ ซึ่งอาจจะมีแนวโน้มว่าจะถูกดำเนินคดีอีกหลายคดีจนทำให้หลายคนมองว่า พ.ต.ท.ทักษิณ คงไม่สามารถกลับมาดำเนินกิจกรรมทางการเมืองได้อีกต่อไป นายองอาจมองเรื่องนี้ว่า แม้พ.ต.ท.ทักษิณจะถูกอายัดทรัพย์ ถูกดำเนินคดีหลายคดีก็ตาม แต่ พ.ต.ท.ทักษิณคงไม่ตัดสินใจที่จะละทิ้งการดำเนินกิจกรรมทางการเมือง และในทางตรงกันข้ามยังเห็นว่า เราไม่สามารถประมาท พ.ต.ท.ทักษิณได้
นายองอาจ แสดงความเห็นว่า พ.ต.ท.ทักษิณนั้นเป็นมหาเศรษฐีคนหนึ่งของประเทศไทย มีเงินมากมายมหาศาล และเชื่อว่า พ.ต.ท.ทักษิณยังมีเงินที่เรายังไม่รู้อีกจำนวนมาก ดังนั้นสิ่งเหล่านี้จึงไม่ควรประมาท และพ.ต.ท.ทักษิณอาจจะใช้เงินเพื่อกลับคืนมาสู่อำนาจได้อีกต่อไปในอนาคต
“ใครก็ตามที่สบประมาทคุณทักษิณ ว่าเมื่อถูกอายัดทรัพย์แล้ว ถูกดำเนินคดีแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างจะจบสิ้นลงนั้น ผมคิดว่ายังไม่สามารถไปประมาทได้ เพราะเชื่อมั่นว่าคุณทักษิณจะต้องใช้เงินมหาศาลที่ตนเองมีอยู่นั้นทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อให้วันเวลาเดิม ๆ ที่ตนเองเคยมีอยู่นั้นกลับคืนมาในอนาคตต่อไป” นายองอาจกล่าว
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 24 มิ.ย. 2550--จบ--