หนุนแนวคิด”พล.อ.สนธิ”ทวงคืนดาวเทียมสมบัติชาติจากสิงคโปร์“อลงกรณ์”เสนอออกพันธบัตรและตั้งกองทุนกู้สมบัติชาติระดมเงินคนไทยซื้อหุ้นคืนจากเทมาเส็ก เตรียมหารือ”ประธานคมช.”สัปดาห์หน้าพร้อมเสนอกลุ่มคอร์รัปชันวอทช์รับเป็นเจ้าภาพขับเคลื่อนทั่วประเทศ
นายอลงกรณ์ พลบุตร รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ แถลงสนับสนุนเจตนาของ พล.อ.สนธิ บุณยรัตกลิน ประธาน คมช.กรณีต้องการทวงดาวเทียมซึ่งเป็นสมบัติชาติคืนจากสิงคโปร์ เสนอตั้ง”กองทุนกู้สมบัติชาติ”ระดมเงินจากคนไทยทั้งประเทศเตรียมหารือกลุ่มคอร์รัปชันวอทช์(corruptionwatch)รับเป็นเจ้าภาพขับเคลื่อนขบวนการทวงคืนสมบัติชาติพร้อมเดินสายทั่วประเทศและจะนัดหมายเพื่อหารือกับประธานคมช.ในสัปดาห์หน้า
ในการแถลงข่าวที่พรรคประชาธิปัตย์วันนี้(๑๗ ก.พ.) รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์กล่าวว่า การขายหุ้นบริษัทชินคอร์ปอเรชันของตระกูลชินวัตรให้กับบริษัทเทมาเส็กของสิงคโปร์มูลค่า ๗๓,๐๐๐ ล้านบาทเมื่อเดือนมกราคม ๒๕๔๙ ได้รับการคัดค้านจากประชาชนคนไทยผู้รักชาติรักแผ่นดินเพราะกิจการที่ถูกขายออกไปนั้นมีกิจการอันเป็นสมบัติของชาติไทยและเป็นกิจการที่เป็นความมั่นคงของประเทศได้แก่ กิจการสื่อสารโทรคมนาคมและวงโคจรของดาวเทียมไทยคมและไอพีสตาร์ และกิจการสื่อสารมวลชน ซึ่งไม่ควรให้รัฐบาลต่างชาติครอบครอง เนื่องจากบริษัทเทมาเส็กไม่ใช่บริษัทของเอกชนแต่เป็นของรัฐบาลต่างชาติโดยตรง การต่อต้านการซื้อขายดังกล่าวขยายไปถึงการเรียกร้องให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีในขณะนั้นลาออกเนื่องจากขาดจริยธรรมของผู้นำเพราะขายกิจการอันเป็นความมั่นคงและสมบัติของประเทศไทยให้ต่างชาติจนท้ายที่สุดระบอบทักษิณก็ล่มสลาย ดังนั้นท่าทีของประธานคมช.จึงเป็นแนวทางที่ควรดำเนินการต่ออย่างเป็นรูปธรรมและน่าจะเป็นการส่งสัญญาณให้รัฐบาลสิงคโปร์ต้องแสดงท่าทีออกมาว่า เห็นด้วยหรือไม่กับการให้บริษัทเทมาเส็กขายหุ้นคืนในราคาตลาดเพื่อแสดงความตั้งใจในการเยียวยาสัมพันธไมตรีระหว่างไทยกับสิงคโปร์ว่าความสัมพันธ์ระหว่าง ๒ ประเทศอยู่เหนือผลประโยชน์ทางธุรกิจและเคารพต่อความมั่นคงของกันและกัน
บริษัทชินแซลเทลไลท์ซึ่งเป็นบริษัทลูกของบริษัทชินคอร์ปฯ.ได้รับสัมปทานดาวเทียมจากรัฐบาลไทยตั้งแต่ปี ๒๕๓๔ และยิงดาวเทียมไทยคมดวงที่ ๔หรือไอพีสตาร์เมื่อปี ๒๕๔๙ เป็นดาวเทียมรุ่นใหม่ให้บริการรับส่งสัญญานดิจิตัลความเร็วสูงครอบคลุมพื้นที่เอเชียและแปซิฟิก เมื่อมีการขายหุ้นให้เทมาเส็กของสิงคโปร์ทำให้สัมปทานและวงโคจรของดาวเทียมไทยคมรวมถึงจุดที่จอดดาวเทียมในอวกาศของประเทศไทยซึ่งถือเป็นโควต้าของชาติไทยและเป็นสมบัติของชาติตกไปอยู่ในมือรัฐวิสาหกิจของสิงคโปร์ด้วย
รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์กล่าวว่า อย่างไรก็ตาม กรณีนี้มีความละเอียดอ่อนในสายตาต่างประเทศ ด้วยเหตุนี้รัฐบาลไทยจะต้องระมัดระวังไม่ให้เกิดความเข้าใจผิดในกลุ่มนักลงทุนทั้งไทยและต่างประเทศว่า ประเทศไทยใช้นโยบาย ยึดกิจการต่างชาติ(nationalization)ในเรื่องนี้ โดยต้องยืนยันว่าเป็นเรื่องความมั่นคงของประเทศไทยเหมือนกรณีที่รัฐสภาและประชาชนคนอเมริกันไม่ยอมให้รัฐวิสาหกิจของจีนซื้อบริษัทน้ำมันยูโนแคลของตน ฉะนั้น การซื้อคืนจะต้องดำเนินการโดยประชาชนคนไทยภายใต้ความยินยอมพร้อมใจของทั้ง ๒ ฝ่ายโดยทางการของทั้ง ๒ ประเทศจะต้องให้ความร่วมมือ
“ผมเสนอแนวทางการซื้อคืนดังนี้ ๑. รัฐบาลสนับสนุนให้บริษัทกสท.(CAT) รัฐวิสาหกิจด้านการสื่อสารโทรคมนาคมออกพันธบัตรขายให้ประชาชนเพื่อนำเงินไปซื้อคืนกิจการสื่อสารโทรคมนาคมดาวเทียม ๒. ขบวนการประชาชนกู้สมบัติชาติตั้งกองทุนเพื่อเป็นศูนย์กลางในการระดมทุนซื้อพันธบัตรโดยจะหารือกับคณะกรรมการกลุ่มคอร์รัปชันวอทช์ว่าจะรับเป็นเจ้าภาพร่วมกับองค์กรประชาชนอื่นๆในการขับเคลื่อนเรื่องนี้หรือไม่
กลุ่มคอร์รัปชันวอทช์ประกอบด้วย คุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา นายกล้าณรงค์ จันทิก รศ.ดร.วรากรณ์ สามโกเศส รศ.ดร.ธีรภัทร เสรีรังสรรค์ , ดร.สังสิต พิริยะรังสรรค์ , รศ.ดร.ต่อตระกูล ยมนาค , นายวีระ สมความคิด ,นางกาญจนี วัลลยะเสวี , ดร.นิติภูมิ นวรัตน์ , นายชูวิทย์ กมลวิศิษฐ์ , นายกษิต ภิรมย์ , ดร.ณรงค์ พิริยะอเนก , นายวัฒนา งอกขาว และนายอลงกรณ์ พลบุตร
“ผม เชื่อว่า คนไทยทั้งประเทศรักชาติและหวงแหนสมบัติชาติแม้พลีชีพเพื่อชาติก็ยอม ดังนั้นมั่นใจว่าจะสามารถระดมกองทุนกู้สมบัติชาติเพื่อซื้อคืนกิจการสื่อสารโทรคมนาคมดาวเทียมของเรากลับคืนมา”นายอลงกรณ์กล่าว
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 17 ก.พ. 2550--จบ--
นายอลงกรณ์ พลบุตร รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ แถลงสนับสนุนเจตนาของ พล.อ.สนธิ บุณยรัตกลิน ประธาน คมช.กรณีต้องการทวงดาวเทียมซึ่งเป็นสมบัติชาติคืนจากสิงคโปร์ เสนอตั้ง”กองทุนกู้สมบัติชาติ”ระดมเงินจากคนไทยทั้งประเทศเตรียมหารือกลุ่มคอร์รัปชันวอทช์(corruptionwatch)รับเป็นเจ้าภาพขับเคลื่อนขบวนการทวงคืนสมบัติชาติพร้อมเดินสายทั่วประเทศและจะนัดหมายเพื่อหารือกับประธานคมช.ในสัปดาห์หน้า
ในการแถลงข่าวที่พรรคประชาธิปัตย์วันนี้(๑๗ ก.พ.) รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์กล่าวว่า การขายหุ้นบริษัทชินคอร์ปอเรชันของตระกูลชินวัตรให้กับบริษัทเทมาเส็กของสิงคโปร์มูลค่า ๗๓,๐๐๐ ล้านบาทเมื่อเดือนมกราคม ๒๕๔๙ ได้รับการคัดค้านจากประชาชนคนไทยผู้รักชาติรักแผ่นดินเพราะกิจการที่ถูกขายออกไปนั้นมีกิจการอันเป็นสมบัติของชาติไทยและเป็นกิจการที่เป็นความมั่นคงของประเทศได้แก่ กิจการสื่อสารโทรคมนาคมและวงโคจรของดาวเทียมไทยคมและไอพีสตาร์ และกิจการสื่อสารมวลชน ซึ่งไม่ควรให้รัฐบาลต่างชาติครอบครอง เนื่องจากบริษัทเทมาเส็กไม่ใช่บริษัทของเอกชนแต่เป็นของรัฐบาลต่างชาติโดยตรง การต่อต้านการซื้อขายดังกล่าวขยายไปถึงการเรียกร้องให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีในขณะนั้นลาออกเนื่องจากขาดจริยธรรมของผู้นำเพราะขายกิจการอันเป็นความมั่นคงและสมบัติของประเทศไทยให้ต่างชาติจนท้ายที่สุดระบอบทักษิณก็ล่มสลาย ดังนั้นท่าทีของประธานคมช.จึงเป็นแนวทางที่ควรดำเนินการต่ออย่างเป็นรูปธรรมและน่าจะเป็นการส่งสัญญาณให้รัฐบาลสิงคโปร์ต้องแสดงท่าทีออกมาว่า เห็นด้วยหรือไม่กับการให้บริษัทเทมาเส็กขายหุ้นคืนในราคาตลาดเพื่อแสดงความตั้งใจในการเยียวยาสัมพันธไมตรีระหว่างไทยกับสิงคโปร์ว่าความสัมพันธ์ระหว่าง ๒ ประเทศอยู่เหนือผลประโยชน์ทางธุรกิจและเคารพต่อความมั่นคงของกันและกัน
บริษัทชินแซลเทลไลท์ซึ่งเป็นบริษัทลูกของบริษัทชินคอร์ปฯ.ได้รับสัมปทานดาวเทียมจากรัฐบาลไทยตั้งแต่ปี ๒๕๓๔ และยิงดาวเทียมไทยคมดวงที่ ๔หรือไอพีสตาร์เมื่อปี ๒๕๔๙ เป็นดาวเทียมรุ่นใหม่ให้บริการรับส่งสัญญานดิจิตัลความเร็วสูงครอบคลุมพื้นที่เอเชียและแปซิฟิก เมื่อมีการขายหุ้นให้เทมาเส็กของสิงคโปร์ทำให้สัมปทานและวงโคจรของดาวเทียมไทยคมรวมถึงจุดที่จอดดาวเทียมในอวกาศของประเทศไทยซึ่งถือเป็นโควต้าของชาติไทยและเป็นสมบัติของชาติตกไปอยู่ในมือรัฐวิสาหกิจของสิงคโปร์ด้วย
รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์กล่าวว่า อย่างไรก็ตาม กรณีนี้มีความละเอียดอ่อนในสายตาต่างประเทศ ด้วยเหตุนี้รัฐบาลไทยจะต้องระมัดระวังไม่ให้เกิดความเข้าใจผิดในกลุ่มนักลงทุนทั้งไทยและต่างประเทศว่า ประเทศไทยใช้นโยบาย ยึดกิจการต่างชาติ(nationalization)ในเรื่องนี้ โดยต้องยืนยันว่าเป็นเรื่องความมั่นคงของประเทศไทยเหมือนกรณีที่รัฐสภาและประชาชนคนอเมริกันไม่ยอมให้รัฐวิสาหกิจของจีนซื้อบริษัทน้ำมันยูโนแคลของตน ฉะนั้น การซื้อคืนจะต้องดำเนินการโดยประชาชนคนไทยภายใต้ความยินยอมพร้อมใจของทั้ง ๒ ฝ่ายโดยทางการของทั้ง ๒ ประเทศจะต้องให้ความร่วมมือ
“ผมเสนอแนวทางการซื้อคืนดังนี้ ๑. รัฐบาลสนับสนุนให้บริษัทกสท.(CAT) รัฐวิสาหกิจด้านการสื่อสารโทรคมนาคมออกพันธบัตรขายให้ประชาชนเพื่อนำเงินไปซื้อคืนกิจการสื่อสารโทรคมนาคมดาวเทียม ๒. ขบวนการประชาชนกู้สมบัติชาติตั้งกองทุนเพื่อเป็นศูนย์กลางในการระดมทุนซื้อพันธบัตรโดยจะหารือกับคณะกรรมการกลุ่มคอร์รัปชันวอทช์ว่าจะรับเป็นเจ้าภาพร่วมกับองค์กรประชาชนอื่นๆในการขับเคลื่อนเรื่องนี้หรือไม่
กลุ่มคอร์รัปชันวอทช์ประกอบด้วย คุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา นายกล้าณรงค์ จันทิก รศ.ดร.วรากรณ์ สามโกเศส รศ.ดร.ธีรภัทร เสรีรังสรรค์ , ดร.สังสิต พิริยะรังสรรค์ , รศ.ดร.ต่อตระกูล ยมนาค , นายวีระ สมความคิด ,นางกาญจนี วัลลยะเสวี , ดร.นิติภูมิ นวรัตน์ , นายชูวิทย์ กมลวิศิษฐ์ , นายกษิต ภิรมย์ , ดร.ณรงค์ พิริยะอเนก , นายวัฒนา งอกขาว และนายอลงกรณ์ พลบุตร
“ผม เชื่อว่า คนไทยทั้งประเทศรักชาติและหวงแหนสมบัติชาติแม้พลีชีพเพื่อชาติก็ยอม ดังนั้นมั่นใจว่าจะสามารถระดมกองทุนกู้สมบัติชาติเพื่อซื้อคืนกิจการสื่อสารโทรคมนาคมดาวเทียมของเรากลับคืนมา”นายอลงกรณ์กล่าว
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 17 ก.พ. 2550--จบ--